“อีหลานเอ๋ยอีหลาน ถือว่าเปิ่นกงเจอเ้าแล้ว หากยังหาเ้าไม่พบ เพื่อเ้าแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงกับนายท่านหนานกงคงจะถามหากับเปิ่นกงสุดชีวิต อีหลาน ยังไม่รีบไปให้ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงดูอีก ให้นางดูเสียหน่อยว่า ่ที่เ้าอยู่ในตำหนักชีอู๋ของเปิ่นกงใช้ชีวิตเป็อย่างไร เป็เื่ดีที่จะทำให้ผู้เฒ่าอย่างนางวางใจมิใช่หรือ?” ฮองเฮาอวี่เหวินรู้สึกสนพระทัยจะชมงิ้วขึ้นมาเสียแล้ว หัวเราะเบิกบาน กล่าวชี้ชัดตรงประเด็น พลางเหลือบมองฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง
ภายในพระทัยของฮองเฮาอวี่เหวินมีความแน่นอนถึงเจ็ดส่วน ตระกูลหนานกงคงจะทำบางสิ่งกับเหนียนอีหลาน และยามที่เหนียนอีหลานปรากฏตัวออกมาเมื่อครู่นี้ ท่าทีตอบสนองของฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง...ตกตะลึงจนทำอันใดไม่ถูก ดูเหมือนเื่บางเื่ แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเองก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเช่นกัน
ฮองเฮาอวี่เหวินเริ่มตื่นตัวขึ้นมา เื่นี้ดูจะซับซ้อนยิ่งกว่าที่นางจินตนาการเสียอีก
และในความซับซ้อนนี้...นางเข้ามาแทรกแซงด้วยหรือไม่?
ฮองเฮาอวี่เหวินชำเลืองพระเนตรมองสตรีในชุดราบเรียบทว่าสง่างามผู้นั้นอย่างสงบเสงี่ยม ใบหน้าของสตรีสงบนิ่ง มองไม่ออกถึงความผิดแปลกแม้แต่น้อย
ฮองเฮาอวี่เหวินกล่าวจบ ทว่าเหนียนอีหลานกลับไม่ขยับเขยื้อน ยังคงคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ก้มศีรษะงุด ไม่กล้าเคลื่อนไหว
“อีหลาน ยังไม่รีบไปอีกหรือ?” ฮองเฮาอวี่เหวินถอนความคิดกลับมา เอ่ยปากเร่งเร้าเหนียนอีหลานต่อไป “นั่นคือท่านยายที่คิดถึงเ้าอยู่ตลอดเวลา ดูท่าทีของเ้าทำราวกับนางเป็ตัวอันตรายใหญ่หลวงก็ไม่ปาน หากไม่รู้คงคิดว่าเพราะเจอหน้าศัตรู!”
ฮองเฮาอวี่เหวินทรงพระสรวลแ่เบา ประโยคเดียวทิ่มแทงจิตใจทุกคำพูด
ทุกคนสังเกตเห็นความตื่นตระหนกในดวงตาของเหนียนอีหลาน สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงดำมืดขึ้นเล็กน้อย ทว่าเก็บงำได้อย่างรวดเร็ว นางโบกมือให้หนานกงเลี่ยประคองนางลุกจากตั่ง “ฮองเฮาทรงตรัสล้อเล่นแล้วเพคะ คนมากมายเยี่ยงนี้บางทีอีหลานคงจะใ อีหลาน...อีหลานของยาย หลายวันนี้มิได้พบหน้า ยายถึงกับฝันเห็นเ้า เร็วเข้า มาให้ยายดูเ้าหน่อย...”
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเข้าไปใกล้ เหนียนอีหลานเองก็ลุกขึ้น คารวะทักทายหญิงชราที่เดินมาหานาง
"ท่านยาย..."
ดวงตาของเหนียนอีหลานเป็ประกายสั่นระริก หัวใจราวกับถูกมือข้างหนึ่งบีบเคล้นอย่างรุนแรง ทุกก้าวที่ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเข้ามาใกล้ จิตใจของนางพลันยิ่งคับแน่นขึ้นทุกส่วน สุดท้ายแม้แต่หายใจยังอึดอัดและยากลำบาก
หลานกับยายสองเดินก้าวเข้ามาใกล้ ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงจับมือของเหนียนอีหลาน ััเย็นเยียบ ทำให้นางขมวดคิ้ว ในใจนางยังคงพะว้าพะวังอยู่ตลอดเวลา เพราะการปรากฏตัวของเหนียนอีหลาน
เหนียนอีหลานควรจะตายไปแล้ว ฉี่เอ๋อร์ลงมือทำสิ่งใดมั่นใจได้เสมอ ทว่าเหตุใดยามนี้ถึงเป็เยี่ยงนี้?
อีหลานยังไม่ตาย เช่นนั้นวันนี้เื่ที่พวกเขาอยากกดดันฮ่องเต้หยวนเต๋อกับฮองเฮาอวี่เหวิน เพื่อให้คนสกุลหนานกงรับ่ต่อตำแหน่งแม่ทัพหลวง กลับต้องเสียแต้มเป็ต่อไปโดยสิ้นเชิง
เหนียนอีหลาน...
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงจ้องมองหญิงสาวผู้นี้ตรงหน้า ใบหน้าซีดขาว รูปร่างหน้าตาซีดเซียวอิดโรย ไร้ซึ่งความอ่อนเยาว์ดั่งวันวาน ต่อให้เป็คุณหนูสกุลธรรมดาผู้หนึ่งก็ยังสามารถบดบังความงามของนางได้
ครู่หนึ่ง ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงพาดผ่านประกายเย็นเยียบ อีหลานไม่ตาย มันช่างเป็เื่ใหญ่ที่ทำลายตระกูลหนานกงอย่างแท้จริง!
ทว่ายามนี้ นางควรจะแก้ไขอย่างไรอีก?
แม้จะฉลาดเฉลียวผ่านโลกมามากเช่นนางก็ยังไร้วิธีอย่างสิ้นเชิง
ในใจรู้สึกไม่พอใจ ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงลูบมือของเหนียนอีหลานเบาๆ “อีหลาน เหตุใดมือของเ้าถึงเย็นเยี่ยงนี้? ใบหน้าก็ดูขาวซีด...มิใช่ว่า...”
“ไม่ ไม่เลยเ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงยังไม่ทันกล่าวจบ เหนียนอีหลานกลับเอ่ยปากขึ้นมาอย่างรีบร้อน นึกถึงคำสั่งของหลีอ๋องจ้าวเยี่ยนเมื่อครู่นี้ ใบหน้าฉีกยิ้มเสี้ยวหนึ่ง “อีหลานอยู่ในวังสบายดี เดิมทีอีหลานกระทำความผิด ฮองเฮากลับยังพระทัยกว้างเมตตาเช่นนี้ พาอีหลานเข้ามาดูแลในวังหลวง เมื่อครู่นี้เป็อีหลานเองที่เห็นแก่เที่ยวเล่น จึงลอบหนีออกไปจนมีสภาพที่ดูตกระกำลำบาก ทำให้ท่านยายต้องกังวลเสียแล้ว”
“งั้นหรือ? เช่นนั้นก็ดี...เช่นนั้นก็ดี” ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงนึกไม่ถึงว่าเหนียนอีหลานจะช่วยพูดให้ฮองเฮาอวี่เหวินเช่นนี้ จึงยกยิ้มอย่างกระดากอาย “พระคุณของฮองเฮา หม่อมฉันจะจดจำให้ขึ้นใจเพคะ”
“หึ โชคดีที่อีหลานเป็คนรู้จักเหตุผล กล่าวถ้อยคำอย่างยุติธรรม ไม่เช่นนั้น เปิ่นกงคงจะกลายเป็คนชั่วร้ายไปเสียแล้ว” ฮองเฮาอวี่เหวินก้าวไปข้างหน้า ความหมายในถ้อยคำนี้ชัดเจนอย่างยิ่ง
เมื่อครู่นี้ตระกูลหนานกงเอ่ยวาจาก้าวร้าวบีบคั้นนาง ทุกคนต่างเฝ้ามองอยู่ทั้งนั้น
ชั่วขณะหนึ่ง สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงบูดบึ้งไม่น่ามองเล็กน้อย นางซึ่งกำลังถือไม้เท้าพลันรีบคุกเข่าลงบนพื้นและโขกศีรษะคำนับอย่างรุนแรง “หม่อมฉันสมควรตายเพคะ เมื่อครู่นี้หม่อมฉันเป็ห่วงอีหลาน เลอะเลือนไปชั่ววูบหนึ่ง จึงเอ่ยวาจาไม่น่าฟังต่อฮองเฮาไปเสียแล้วเพคะ”
"เลอะเลือนไปชั่ววูบหนึ่ง..." ฮองเฮาอวี่เหวินทรงพระสรวลแ่เบา “ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงรักใคร่เอ็นดูหลานสาว การเลอะเลือนไปชั่ววูบหนึ่งย่อมเป็เื่ที่สมเหตุสมผล หากเปิ่นกงตำหนิ เหมือนว่าจะยิ่งทำให้เปิ่นกงดูใจแคบได้”
“เสด็จพี่สะใภ้ คำพูดนี้ท่านกล่าวผิดแล้ว เหนียนอีหลานกระทำผิดก่อน เสด็จพี่กลับยังพานางเข้ามาดูแลในตำหนัก รักษาหน้าตาของตระกูลหนานกงอย่างเต็มที่ ตรงกันข้ามกับครอบครัวขุนนางบางคน อาศัยอำนาจบางส่วนในราชสำนัก แม้แต่ราชวงศ์ยังไม่อยู่ในสายตา ปล่อยให้คนในครอบครัวตัวเองอาศัยอำนาจ รังแกคนนั้นคนนี้ เปิ่นกงคิดว่า สุนัขดุร้ายที่รังแกนายตัวเองเช่นนี้ ควรจะซักไซ้ไล่เลียงให้ดี หากมีตำแหน่งยศศักดิ์ในท้องพระโรงมากเกินไป เสด็จพี่เองก็ปัดกวาดออกไปสักสองสามคนนะเพคะ คนอายุน้อยมากความสามารถในเป่ยฉีมิได้มีแค่ตระกูลหนานกง!”
องค์หญิงใหญ่ชิงเหอตรัสอย่างเ็า ระหว่างที่กล่าว ไม่เพียงแต่ใบหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเท่านั้น แม้แต่หนานกงเลี่ยยังดูอึดอัดเล็กน้อย กระทั่งที่เหงื่อเย็นๆ ผาดผุดออกมา
ไม่ว่าผู้ใดล้วนแต่ฟังออก องค์หญิงใหญ่ชิงเหอมิได้กล่าวถ้อยคำเช่นนี้ในฐานะองค์หญิง ผู้คนล้วนจำได้ว่า นอกจากฐานะที่เป็องค์หญิงใหญ่ นางยังรับผิดชอบในการตรวจตราดูแลแคว้นเป่ยฉีอีกด้วย หากนางประสงค์จะปลดตำแหน่งขุนนางของใครสักคนออก ก็แค่กล่าวออกมาเพียงประโยคเดียว
วันนี้ตระกูลหนานกงกล่าวโจมตีฮองเฮาอวี่เหวิน แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะยั่วโทสะของนายเหนือหัวผู้สูงส่งอีกคน
ทันใดนั้น หนานกงเลี่ย หนานกงจื้อ และแม้แต่หนานกงฉี่ต่างคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกันอย่างตื่นตระหนก
ฮ่องเต้หยวนเต๋อผู้ซึ่งคอยเฝ้ามองอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด ชำเลืองพระเนตรมององค์หญิงใหญ่ชิงเหอ ในยามนั้นชิงเหอรับผิดชอบตรวจตราดูแลบ้านเมือง เดิมทีนางมิได้สมัครใจทำ ถึงแม้หลังรับ่ต่อก็ยังแทบไม่มาร่วมว่าราชกิจ วันนี้เหตุใดจึงมีโทสะเพราะตระกูลหนานกงได้?
และท่ามกลางฝูงชน เหนียนยวี่เฝ้ามององค์หญิงใหญ่ชิงเหอ สีหน้าดูเยือกเย็น ประโยคที่กล่าวว่า ‘ปล่อยให้คนในครอบครัวตัวเองอาศัยอำนาจรังแกคนนั้นคนนี้’ เป็คำพูดที่ออกหน้าพูดเพื่อข้าหรือ?
ในใจพลันรู้สึกซาบซึ้ง ‘ข่าวการตาย’ ของตน เสด็จแม่บุญธรรมคงจะรู้แล้วกระมัง?
นางรู้ดีว่ามันปวดใจอย่างไร?
เหนียนยวี่ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว อยากจะรีบบอกเสด็จแม่บุญธรรมว่า ตนเองยังมีชีวิตอยู่อย่างดี ทว่าสติปัญญากลับทำให้จิตใจของนางค่อยๆ สงบนิ่งลง...
อีกไม่นาน...เมื่อผ่านวันนี้ไป ขอเพียงแค่ผ่านวันนี้ไปเท่านั้น รอให้แผนการในวันนี้ของนางสำเร็จลุล่วง...
“องค์หญิงใหญ่เพคะ เื่ในวันนี้ หม่อมฉันล่วงเกินแล้ว ลูกหลานตระกูลหนานกงรับใช้ราชวงศ์มาหลายชั่วอายุคน บรรพบุรุษทุกชั่วโคตรล้วนสั่งสอนอบรมลูกหลานรุ่นหลังให้รักษาหน้าที่ เมื่อครู่นี้เป็หม่อมฉันที่เลอะเลือน หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว มิกล้าทำตัวล่วงเกินอีกแล้วเพคะ” ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงกล่าวอย่างเร่งรีบ เื่ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้ เกินกว่าเส้นทางที่นางคาดการณ์ไว้ พวกเขาไร้ความหวังต่อตำแหน่งแม่ทัพหลวงเสียแล้ว หากผู้ใดในตระกูลหนานกงต้องถูกปลดอีก จะกลับกลายเป็ว่าขโมยไก่ไม่ได้ ยังเสียข้าวสารอีกกำมือ[1]
“ชิงเหอ ตระกูลหนานกงกับราชวงศ์มิอาจแยกออกจากกันมาั้แ่ไหนแต่ไร ทั้งคุณงามความดีและทำงานอย่างหนักล้วนมีทั้งสิ้น วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเป็กังวลเพราะลูกหลาน ก็เป็อย่างที่ฮองเฮากล่าวทั้งหมดจริงๆ เื่นี้เป็เื่ที่ให้อภัยได้ โชคยังดีที่อีหลานเองก็มิได้เป็อันใด ทุกอย่างเป็เื่เข้าใจผิดกันทั้งสิ้น เื่นี้มิสู้ลืมมันไปเสียดีกว่า” เสียงกล่าวเรียบง่ายดังขึ้น ทุกคนต่างตกตะลึง แม้แต่องค์หญิงใหญ่ชิงเหอ ครั้นเห็นคนที่กล่าวคำนั้นยังอดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้
ฉางไทเฮา!
[1] ขโมยไก่ไม่ได้ ยังเสียข้าวสารอีกกำมือ หมายถึง ฉวยโอกาสไม่สำเร็จยังขาดทุนอีก