พระตำหนักิจูเป็ตำหนักที่กว้างใหญ่และเงียบสงบ ไม้ถงแดงต้นมหึมาที่ขนาบอยู่สองด้านทำให้พระตำหนักแห่งนี้อวลไปด้วยกลิ่นอายความอ้างว้างเดียวดาย ด้วยเ้าของตำหนักไม่นิยมความหรูหราเหมือนพระสนมและองค์หญิงพระองค์อื่นๆ แม้แต่หน้าประตูก็ไร้บุปผาประดับ เหล่านางกำนัลภายในแต่งกายสีเรียบจนแทบไม่มีใครเชื่อว่าที่นี่ก็คือพระราชวังที่เต็มไปด้วยยอดพธูและความหรูหราอลังการ เป็สถานที่ที่ร้อยบุปผามาประชันความงาม เหตุที่เป็เช่นนี้เพราะผู้ที่พำนักอยู่ก็คือองค์หญิงิจูพระขนิษฐาผู้ซึ่งเป็ม่ายั้แ่อายุยังไม่มาก
องค์หญิงอภิเษกสมรสได้ไม่นาน พระสวามีก็ป่วยหนักและจากโลกนี้ไป เหลือเพียงนางอยู่ตัวคนเดียว นางจึงตั้งปณิธานไว้ว่าจะครองตัวบริสุทธิ์เป็ม่ายตลอดชีวิต จักรพรรดิจงเหวินตี้ทรงกังวลว่านางจะรู้สึกอ้างว้างเดียวดาย และเวทนาที่ต้องสูญเสียพระสวามีั้แ่อายุยังน้อย จึงให้นางย้ายกลับเข้ามาอยู่ในพระตำหนักิจูอีกครั้ง นอกจากนี้เป็เพราะไทเฮาทรงรักและห่วงใยนางยิ่ง ด้วยทรงเป็องค์หญิงที่ไทเฮาชุบเลี้ยงมาั้แ่ทรงพระเยาว์จนเติบใหญ่ ความรู้สึกผูกพันจึงมีมากแตกต่างกับองค์หญิงพระองค์อื่นๆ จึงมีพระราชเสาวนีย์เรียกนางให้มาเฝ้าอยู่ข้างพระวรกายที่ตำหนักฉือหนิงอยู่บ่อยครั้ง
บุรุษรูปงามผู้หนึ่งเดินนำหน้าขันทีผ่านประตูตำหนักเข้ามา ทรงอาภรณ์หรูหราสีม่วง ปักลายนกเป็ดน้ำด้วยเส้นใยทองคำอันมีลวดลายอ่อนช้อยงามวิจิตร คาดเอวด้วยสายคาดหยกสีนิล ดวงตาเรียวหรี่พาดเฉียงดุจั์ตาหงส์งดงามดั่งภาพวาด ริมฝีปากแดงชาดดูเย้ายวนชวนใจสั่น จมูกโด่งคมสันสอดรับกับเส้นลายโค้งมนของคางสวยได้รูป ทำให้เขาดูทรงเสน่ห์ราวกับภูตพรายยามราตรีที่เย้ายวนอย่างร้ายกาจ
เป็บุรุษรูปงามที่มีเสน่ห์สะกดิญญาราวกับปีศาจโดยแท้!
เหล่านางกำนัลเห็นเขาแล้วก็ชะงักเท้าถอยไปด้านหลัง ใบหน้าแดงซ่านร้อนวูบวาบ หัวใจหวิวไหว นิ้วมือที่จับกระโปรงขณะยอบกายคำนับสั่นน้อยๆ ความตื่นเต้นฉายชัด ทว่าชายหนุ่มไม่แม้แต่จะเหลือบแล กว่านางกำนัลเ่าั้จะคืนสติกลับมา เขาก็เดินลิ่วไปไกลแล้ว เพียงชั่ววูบที่ได้สบตาคู่งามเปี่ยมเสน่ห์คู่นั้น พวกนางก็ลืมสิ้นทุกสิ่งแม้กระทั่งถ้อยคำทักทาย เป็หนักถึงขั้นไม่มีใครนึกได้ว่าจะต้องไปกราบทูลองค์หญิงให้ทรงทราบ
จนมาถึงระเบียงทางเชื่อม พลันได้ยินเสียงแหลมเล็กร้องขึ้น “ท่านอ๋องรูปงามมาแล้ว ท่านอ๋องรูปงามมาแล้ว แม่นางทั้งหลายรีบมาต้อนรับแขกเร็วๆ”
เมื่อแหงนหน้าขึ้นจึงพบกรงนกแขวนอยู่เหนือชานระเบียง เ้านกแก้วขนเขียวจะงอยปากแดงเอียงคอมองบุรุษรูปงามซึ่งกำลังเดินเข้ามาอยู่ตรงฝั่งข้าม ทันใดนั้นมันก็ตีปีกพั่บๆ บินโฉบไปมาอย่างตื่นกลัว โก่งคอร้องลั่นคล้ายจำบางอย่างได้
“ช่วยด้วยๆ ใครก็ได้มาเร็วๆ มาช่วยข้าด้วย ท่านเซวียนอ๋องมาแล้ว”
“เ้าตัวเล็กนี่ ผ่านมาตั้งนานโขแล้วยังไม่ลืมอีก ช่างเ้าคิดเ้าแค้นเสียจริง” เซวียนอ๋องยืนนิ่ง หุบยิ้มแล้วยื่นนิ้วเรียวไปดีดกรงนกสองที นกแก้วตัวนั้นก็ยิ่งตื่นกลัว ร้องลั่นขึ้นมาอีก “องค์หญิง องค์หญิง ช่วยเอามือสกปรกของเขาออกไปที ช่วยเอามือสกปรกของเขาออกไปที”
“เ้าแปด เข้ามาเถิด อย่าไปขู่มันอีกเลย คราวที่แล้วใกลัวจนไม่กล้าพูดไปหลายวัน แม้แต่กินอาหารก็ยังไม่กล้า” เสียงนุ่มนวลของสตรีลอยมาจากในตำหนัก
“เสด็จอาวางพระทัยเถิด เ้าตัวเล็กนี่แข็งแรงจะตาย ไม่กี่วันก็ออกมาะโโลดเต้นได้แล้ว” ริมฝีปากสีแดงชาดงดงามของเซวียนอ๋องหยักยกขึ้นน้อยๆ เผยความเกียจคร้านไม่ใส่ใจอยู่หลายส่วน ใบหน้างดงามราวกับกระชากจิติญญาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ก้าวเท้าเข้ามาในโถงพระตำหนัก
ภายในห้องโถง สตรีงดงามที่ดูท่าทางเหมือนคนอายุยี่สิบกว่าปี กำลังจัดวางกระถางดอกกล้วยไม้ไว้บนโต๊ะข้างหน้าต่าง
นางสวมอาภรณ์แบบเรียบง่าย เรือนผมดำสนิทขดเป็วงซ้อนกันคล้ายเมฆลอยราวกับเป็ทวยเทพเหินหาวที่ดูอ่อนช้อย บนศีรษะประดับด้วยปิ่นเพียงชิ้นเดียว สวมชุดสีพื้นเรียบๆ ราวกับนักพรตสตรี สะท้อนความสูงส่งอยู่เหนือธุลีแห่งแดนโลกีย์ ใบหน้านั้นงดงามสลักเสลา ทว่าภายใต้ดวงตาประกายหยาดสีนิลละเมียดละไมไม่อาจซ่อนความอ้างว้างเดียวดายไว้ได้
“เสด็จอา ทรงขยับตำแหน่งกล้วยไม้ต้นนี้อีกแล้ว ดูไม่เห็นจะสวยตรงไหน ยังงามสู้ดอกโบตั๋นซึ่งเป็ราชันย์แห่งบุปผาที่ตำหนักของข้าไม่ได้เลย อีกสองสามวัน หลานจะคัดเลือกต้นที่งดงามที่สุดส่งมาถวายสักสองกระถางดีหรือไม่” เซวียนอ๋องเดินเข้ามาคารวะ แล้วหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ไม้หนานมู่ตัวใหญ่ในท่วงท่าเกียจคร้าน แสงสว่างสาดส่องจากนอกหน้าต่าง ทอทาบบนใบหน้าที่เสมือนหนึ่งสุรารสเลิศ แค่มองเพียงวูบเดียวก็ทำให้ลุ่มหลงมึนเมา
“โบตั๋นเ่าั้งามบาดตาเกินไปข้าคงรับไม่ไหว เก็บไว้ให้คนงามทั้งหลายของเ้าชมเถิด แค่ไม่กี่วันเรือนหลังของเ้าก็มีสาวงามมาเพิ่มจนนับไม่ไหว ไม่กลัวว่าพระราชบิดาจะตำหนิเอาหรือ” องค์หญิงเหลือบสายตามาที่ชายหนุ่ม กล่าวเสียงดุ วางกระถางรดน้ำในมือลง แล้วรับผ้าแพรจากนางกำนัลมาเช็ดฝุ่นละอองที่เกาะอยู่บนต้นกล้วยไม้อย่างทะนุถนอม
“โธ่... เสด็จอา เสด็จพ่อทรงคร้านจะมากวดขันเกี่ยวกับสาวงามในเรือนหลังของหลานแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่หลานกลับรู้สึกสนใจกล้วยไม้ต้นนี้ของเสด็จอามากกว่า” ว่าแล้วเซวียนอ๋องก็ตีหน้ามึน ยื่นมือเข้ามาััใบของกล้วยไม้ แววตาเ้าชู้พราวระยับคู่นั้นมีเสน่ห์ตามธรรมชาติ แค่จ้องมองคราเดียวก็ทำให้คนไม่อาจขัดขืนได้ แม้ว่าจะต้องถลำลึกสู่ด้านมืดของเขาก็ยินยอมพร้อมใจ
“หยุดมือเดี๋ยวนี้ หากเ้ากล้าเด็ดดอกไม้ ข้าก็ไม่รับประกันว่าจะไปช่วยพูดต่อหน้าพระราชบิดาของเ้าหรือไม่” องค์หญิงเห็นมือของเขากำลังทำท่าจะเด็ดช่อกล้วยไม้ ก็โยนผ้าแพรทิ้งอย่างร้อนใจแล้วถลึงตาดุใส่
นิ้วมือเรียวยาวไล้บนใบกล้วยไม้อย่างเบามือสองที ชายหนุ่มผู้มีเสน่ห์เหลือร้ายหันศีรษะมามองด้วยแววตาเปี่ยมเสน่ห์ที่คนไม่อาจปฏิเสธ ทั้งยังยินยอมมอบสิ่งที่เขาปรารถนาด้วยความเต็มใจ
“เสด็จอากล่าวกระไรเช่นนั้น ดอกกล้วยไม้งดงามชวนมองเพียงนี้ หลานก็แค่สนใจอยากลูบคลำนิดหน่อยเท่านั้นเอง” เซวียนอ๋อง-เฟิงเจวี๋ยหร่านตีสีหน้าระทม ทว่าเบื้องลึกของดวงตากลับฉายแววยั่วยิ้ม ปลายนิ้วยังอ้อยอิ่งคลอเคลียอยู่อีกสองสามทีอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะถอนมือกลับราวกับหมดธุระแล้ว
“หากว่าเ้าสนใจ ก็อย่าคิดทำให้ต้นกล้วยไม้ที่กว่าข้าจะได้มาไม่ง่ายต้นนี้ตายได้ไหมเล่า” องค์หญิงกล่าวน้ำเสียงห้วน นิสัยหลานชายตนเองเป็อย่างไร มีหรือที่นางจะไม่รู้ มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาบอกพึงใจต้นโบตั๋นกระถางหนึ่ง ผลสุดท้ายโบตั๋นกระถางนั้นแม้แต่ใบก็ไม่เหลือซาก!
และมีอีกครั้งหนึ่ง เขาบอกพึงใจูเาหินจำลอง ผลสุดท้ายแม้แต่ที่ตั้งูเาหินก็ยังกลายเป็หลุม!
นางไม่อยากให้กล้วยไม้ของตนเองต้องพบจุดจบแบบเดียวกัน
“เสด็จอาตรัสเช่นนี้ หลานก็เสียใจแย่ แต่ดอกไม้กระถางนี้เสด็จอาก็มิใช่ว่าได้มายากเสียหน่อย แค่ยื่นมือออกไปก็ได้มาแล้วมิใช่หรือ หลานเสียอีกช่วยนำกลับมาเมืองหลวง เช่นนี้จะเรียกว่าลำบากได้อย่างไร เสด็จอายังไม่ทรงประทานรางวัลให้หลานสักชิ้นเลย” เฟิงเจวี๋ยหร่านไม่มีท่าทางละอายใจที่ถูกองค์หญิงรู้ทัน นิ้วมือเคาะโต๊ะเบาๆ อย่างสบายใจไร้กังวล แฝงความขี้เล่นอยู่หลายส่วน
“พูดมาเถอะ ว่าจะขอให้ช่วยอะไร ถึงวิ่งมาทวงผลงานถึงที่นี่” องค์หญิงแย้มยิ้มน้อยๆ นางกำนัลยกอ่างสำริดขึ้นให้ล้างมือ
“เสด็จอาช่างราวกับเทพเซียนทีเดียว แม้กระทั่งความคิดเล็กๆ ในใจข้า ยังทายได้ถูกเผงราวกับตาเห็น มิน่าเล่าข้างนอกจึงเล่าลือกันว่าเสด็จอาทรงมีพระปรีชาสามารถเป็เลิศ ในวังหลังแห่งนี้ทรงเป็ผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดที่สุด”
“พอแล้วๆ ไม่ต้องมาทำป้อยอ พูดมา แต่ถ้าเื่ยากเกินไปอย่ามาหาข้า ข้าทนรับโทสะจากพระราชบิดาของเ้าไม่ไหวหรอกนะ”
“เสด็จอาโปรดวางพระทัย ไม่ใช่เื่ยากจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานเลี้ยงชมบุปผา เสด็จอาก็ช่วยหลานเื่เล็กๆ สักเื่ก็พอแล้ว” ดวงตาของเซวียนอ๋องดูผ่อนคลาย ทำทีคล้ายจะฉกต้นกล้วยไม้นั้นไป แต่ดูไม่ออกว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ มุมปากหยักโค้งขึ้นเล็กน้อยให้ความรู้สึกเอ้อระเหยไม่ทุกข์ร้อน
“อ้อ... ที่แท้ก็มีธุระให้ช่วยเลยมาหาถึงที่นี่?” องค์หญิงเลิกคิ้วถามด้วยรอยยิ้ม
“สำหรับเสด็จอาแล้วง่ายเหมือนดั่งพลิกฝ่ามือ...” เซวียนอ๋องลุกขึ้นแล้วเข้ามากระซิบข้างหูองค์หญิงสองประโยค
“ได้สิ เ้าแปด มองไม่ออกเลยว่าเ้าจะ...” องค์หญิงยิ้มพราย คล้ายอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูดให้จบ เหลือบตามองพิจารณาหลานชายอย่างไม่อยากเชื่อ เหมือนกับคนไม่เคยรู้จักเยี่ยงนั้น
“เสด็จอาก็ช่วยข้าครั้งนี้ด้วยเถิด ดูสิ ข้าไปรอท่านที่วัดเป้าเอินตั้งหลายวัน ท่านก็ไม่มา ถือว่าเสียคำพูดกับข้าแล้ว ต้องทรงชดเชยให้กับหัวใจที่เปราะบางของข้าด้วย” เซวียนอ๋องมุ่นคิ้วงาม ยกมือกุมหน้าอกราวกับปวดใจ หากองค์หญิงกลั้นไว้ไม่อยู่ก็คงหัวเราะลั่นออกมาแล้ว
“เ้าแปด ตกลงกันไว้แล้ว แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ มิเช่นนั้นข้าคงถูกเ้ารบเร้าไม่เลิก ว่าแต่ว่า... เ้าให้ข้าเข้าหานาง แล้วไม่กลัวว่าเสด็จอาอย่างข้าจะเสียเปรียบหรือ”
“เสด็จอาโปรดวางพระทัย แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว” เฟิงเจวี๋ยหร่านโค้งริมฝีปากทอยิ้ม “แน่นอนว่าหากครั้งหน้าเสด็จอาทรงเป็ฝ่ายประสงค์สิ่งใดก่อน... นั่นย่อมเป็สิ่งที่หลานปรารถนาอยู่แล้ว”
“เ้าเด็กคนนี้นี่!” องค์หญิงถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง มีนางกำนัลนำน้ำชาเข้ามาถวาย
องค์หญิงทรงถามถึงบรรยากาศในวัดเป้าเอิน ตอนนั้นนางติดธุระจึงไปไม่ได้จริงๆ
เซวียนอ๋องคุยเป็เพื่อนอยู่อีกครู่หนึ่งก็ลุกขึ้น กล่าวว่ายังมีธุระขออำลากลับก่อน อาภรณ์สีม่วงปักลายนกเป็ดน้ำดึงความผึ่งผายหล่อเหลาของเขาออกมา ร่างสูงหมุนตัวก้าวออกไปอย่างงามสง่า
นกแก้วที่อยู่ใต้ชายคาระเบียงเห็นเขาออกมา ก็ะโไปมาด้วยความใ ร้องเสียงแหลมขึ้นมาอีก “ท่านอ๋องเซวียนมาอีกแล้ว ท่านอ๋องเซวียนมาอีกแล้ว ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!”
เสียงหัวเราะนุ่มนวลลอยออกมาจากในห้องโถงตำหนักอีกครา
มิได้มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่กล่าวถึงงานเลี้ยงชมบุปผาซึ่ง 'มาเดี่ยวแต่กลับเป็คู่' ยังมีใครบางคนกำลังพูดถึงงานชมบุปผาครั้งนี้อยู่เช่นเดียวกัน
เรือนหลีหวาของฟางอี๋เหนียง
สองแม่ลูก โม่เสวี่ยิ่กับฟางอี๋เหนียง คนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืน
“ิ่เอ๋อร์ เ้าวางใจได้ ครานี้ข้าจะต้องจัดการได้แน่ บิดาเ้านึกว่าขังข้าไว้ก็ไม่มีเื่แล้ว จวนโม่ที่ข้าลำบากดูแลจัดการมานานจะตกไปอยู่ในมือของนังแพศยานั่นง่ายเช่นนี้ได้อย่างไร มารดาของนางแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า แค่เด็กสาวที่ยังไม่โตคนหนึ่งไยจะบีบเอาไว้ในมือไม่ได้ ขอเพียงกำจัดนังเด็กนั่นสำเร็จ ต่อไปจวนโม่ทั้งหมดก็ตกเป็ของพวกเราแล้ว บิดาเ้าไม่พอใจแล้วอย่างไร เขามีพี่ชายเ้าเป็ทายาทสืบสกุลแค่คนเดียว แล้วเขาจะมาจัดการอะไรแม่ได้” ฟางอี๋เหนียงกล่าวอย่างเข่นเขี้ยว
ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวดูร้ายกาจภายใต้แสงเทียน เพียงแค่คิดถึงนังแพศยาน้อยที่โต้กลับแผนการของตนเองอีกครั้ง นางก็อยากจะเหยียบอีกฝ่ายให้จมดิน เอาห้าม้าแยกร่างจนแทบทนไม่ได้
“หากอี๋เหนียงเรียกข้ามาด้วยเื่แค่นี้ ข้าขอกลับก่อนล่ะ ตอนนี้ท่านถูกกักบริเวณอยู่ อย่าหาเื่ท้าทายท่านพ่อจะดีที่สุด” โม่เสวี่ยิ่ยืนอยู่ที่เดิม กล่าวด้วยท่าทางเ็า
“ิ่เอ๋อร์ สองสามครั้งมานี้ข้าประมาทนางเกินไป ทำให้เ้าต้องลำบากไปด้วย แต่วางใจเถอะ ครั้งนี้ข้าวางแผนมาดีแล้วจริงๆ จะไม่ให้นางแย่งชิงความสนใจไปจากเ้าได้อีก นังแพศยานั่นอย่าฝันจะได้ไปร่วมงานชมบุปผาเลย” เมื่อถูกบุตรสาวทิ่มแทงด้วยวาจา ฟางอี๋เหนียงก็กล่าวด้วยน้ำเสียงชิงชังอย่างลืมตัว
“อี๋เหนียงคิดตอนนี้ยังเร็วเกินไป ควรคิดว่าจะทำอย่างไรให้ออกไปจากที่นี่ได้ก่อนจะดีกว่า หากถูกท่านพ่อลดขั้นลงมาจริงๆ แม้แต่ข้าก็จะพลอยลำบากไปด้วย” โม่เสวี่ยิ่กวาดตามองอย่างไม่ยี่หระ ราวกับไม่เห็นว่านางโมโหจนหน้าเขียวคล้ำ หมุนตัวยกชายกระโปรงขึ้นแล้วเดินนวยนาดออกไป
ฟางอี๋เหนียงแค้นใจอย่างมากหยิบแจกันหยกข้างมือได้ก็ปาลงพื้น เสียงของแตกดังออกมา เพียงแต่ก็ยังไม่อาจรั้งเท้าของโม่เสวี่ยิ่ไว้ได้ นางทำราวกับว่าไม่ได้ยิน แม้แต่ศีรษะก็ไม่หันกลับ ยกเท้าเดินออกจากประตูไป
“นี่น่ะหรือบุตรสาวที่ข้าคลอดออกมา...” ฟางอี๋เหนียงอาละวาดเสียงดังลั่นด้วยโทสะ ประโยคหลังยังมิได้กล่าวให้จบก็ถูกหลี่มามาปิดปากไว้ก่อน
“เบาๆ หน่อยเ้าค่ะ อย่าให้ทำลายถึงชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่จริงๆ ได้”
“เ้าดูสิ แค่นี้ก็ไม่มีความกตัญญูแล้ว กล้าแสดงท่าทางแบบนี้กับแม่ของตนเอง จะยัง้าชื่อเสียงดีงามอะไรอีก” แม้ว่าน้ำเสียงจะยังคงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง แต่ก็ลดเสียงลงมาแล้วอย่างชัดเจน
“คุณหนูใหญ่ก็กำลังโมโห ดูเหมือนว่าครานี้คุณหนูจะไม่้าให้ท่านกระทำการบุ่มบ่าม แต่ท่านก็เพียรแต่อยากจะลงมือ สุดท้ายผลก็เลยกลายเป็เช่นนี้ แล้วคุณหนูจะไม่โทษท่านได้อย่างไร” หลี่มามาพูดเกลี้ยกล่อมอย่างระมัดระวัง
“จะโทษว่าเป็ความผิดข้าอีกหรือ ที่ทำไปก็มิใช่เพื่อพวกเขาสองพี่น้องหรือไร” น้ำเสียงยิ่งพูดยิ่งเบาลงไปเรื่อยๆ ทั้งยังเจือเสียงสะอื้นไห้เบาๆ
ที่หน้าประตูเรือน โม่เสวี่ยิ่กวาดตามองไปยังทิศทางของเรือนชิงเวยด้วยสายตาเย็นเยียบ ก้นบึ้งของดวงตาฉายแววอำมหิตเข้มข้น ครานี้นางจะไม่ใจร้อน ค่อยๆ ก้าวทีละก้าว ในที่สุดโม่เสวี่ยถงจะอยู่หรือตายล้วนขึ้นอยู่กับวาจาของนาง
ข้าให้เ้าอยู่ เ้าก็อยู่ ข้าให้เ้าตาย เ้าก็ต้องตาย
โม่เสวี่ยถง นี่คือจุดจบของการที่เ้ายั่วโทสะข้า!