เช้าวันต่อมา... เมื่อเจแปนรู้สึกตัวตื่นแล้ว สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากนั้นก็คือการกวาดสายตามองหาร่างดอพเพลแกงเกอร์ที่ควรจะนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน ทว่าเวลานี้เจแปนกลับพบแต่เพียงความว่างเปล่าเสียอย่างนั้น อีกฝ่ายหายไปจากห้องคล้ายกับเมื่อคืนนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่
“เมื่อคืนนี้เหมือนกับฝันเลยแฮะ” พอดันตัวเองขึ้นจากเตียงได้แล้วนั่งทบทวนเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่พักหนึ่ง เจแปนก็พึมพำเสียงแ่ ถึงค่อยลุกลงจากเตียง
เขาพยายามจะบอกตัวเองว่าอย่างนั้นเพื่อความสบายใจ แต่ต่อมาการหลอกตัวเองอย่างนั้น มันกลับไม่สามารถทำได้แล้ว เมื่อในจังหวะที่เขากำลังจะเดินไปเข้าห้องน้ำ สายตาของเจแปนก็ดันเหลือบไปเห็นชุดนอนของพัตเตอร์ที่ถูกถอดทิ้งไว้ในตะกร้าผ้าเข้าพอดี
ซึ่งการที่เขาเห็นแบบนั้น มันก็ได้ตอกย้ำว่าเมื่อคืนนี้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความฝันเลย แต่มันคือเื่จริงต่างหาก เจแปนได้เจอกับร่างดอพเพลแกงเกอร์ของคนรักจริง ๆ และเื่ที่ตัวเขาเคยนอกกายพอร์ตมันก็คือเื่จริงเช่นกัน
“ทุเรศ” เจแปนเอ่ยเสียงแ่ โดยเขาก็ไม่ได้ว่าใครทั้งนั้นนอกจากตัวเอง
เพราะสิ่งที่เจแปนเจอมาเมื่อคืนนี้มันเป็เื่เหนือธรรมชาติ และเขาก็ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับดอพเพลแกงเกอร์ขนาดนั้น หลังเดินทางมาถึงมหาลัยแล้วอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนที่คิดว่าปลอดภัยแล้ว เจแปนจึงหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดหาข้อมูลของดอพเพลแกงเกอร์อย่างหนักหน่วง เพราะหวังว่าตัวเองจะได้เข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น
“ทำอะไรอยู่!”
“ไอ้บ้านี่! ใหมดเลย” ระหว่างที่กำลังค้นหาข้อมูลผ่านโทรศัพท์ด้วยท่าทีเคร่งเครียด เจแปนก็หันไปพูดกับเพื่อนสนิททั้งเสียงใ เมื่ออีกฝ่ายได้โผล่เข้ามาจากทางด้านหลังเขาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง ทำเอาคนที่ไม่ได้ระมัดระวังตัวนักถึงกับใจร่วงไปถึงตาตุ่ม
“โห มีด่าด้วยงั้นแสดงว่าใจริง ๆ สินะ” บัวเอ่ยทั้งรอยยิ้ม ดูไม่ได้ถือสากับคำพูดของเจแปนนัก
“ก็ใช่น่ะสิ” เจแปนตอบกลับไปและถามกลับ “ว่าแต่มึงมีอะไร ทำไมถึงมาก่อกวนั้แ่เช้าเลย คนยิ่งกำลังเครียด ๆ อยู่”
“แล้วเครียดเื่อะไรจ๊ะ เื่จับกิ๊กพอร์ตเหรอ?” เธอถาม พร้อมถือวิสาสะชะโงกหน้ามาดูหน้าจอโทรศัพท์ของเจแปนอย่างไร้มารยาท ซึ่งพอบัวเห็นว่าเจแปนกำลังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับดอพเพลแกงเกอร์อยู่ เธอถึงค่อยถามต่อด้วยความกระหายรู้
“ค้นหาเื่นี้งั้นเหรอ ทำไมอ่ะ? นี่อย่าบอกนะว่ามึงกำลังสนใจเื่นี้”
“...”
“มึงจะเอาเื่นี้ไปทำงานส่งอาจารย์ใช่ไหมล่ะ เฮ้ย! กูว่าเื่นี้มันก็ดีนะมึง เพราะมันไม่ซ้ำใครแน่นอนแล้วทำไมกูถึงลืมนึกถึงเื่นี้ไปเลยเนี่ย” บัวร่ายยาว ขณะที่เจแปนก็ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะตอนแรกเขากำลังเกิดอาการคิดหาคำตอบไม่ทัน
“อืม กูว่ากูจะเอาเื่นี้แหละไปทำงานส่งอาจารย์” พอตั้งหลักได้ เจแปนก็พยักหน้าตอบรับกลับไป
“แต่ว่าเื่นี้มันก็มีข้อมูลแค่ที่กูเคยเล่าให้ฟังนะมึง ข้อมูลของดอพเพลแกงเกอร์มันมีค่อนข้างน้อยเลย เพราะมันเป็ตำนานที่ถูกเขียนลงแค่ไม่กี่เว็บเท่านั้น ข้อมูลมันจะพอเหรอวะ” บัวถาม
“กูคิดว่าพอนะ” เจแปนบอกกลับไปทั้งน้ำเสียงสบาย ๆ คล้ายกับว่าเื่นี้มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขานัก ซึ่งมันก็เป็แบบนั้นจริง ๆ
“เออ... บัว” ต่อมา เขาก็ตัดสินใจเรียกชื่อเพื่อนเสียงแ่ เมื่อเจแปนคิดว่าเขาอยากจะเอาเื่ที่เขาเจอมาเมื่อคืนนี้เล่าให้เพื่อนสนิทฟัง เผื่อว่าเธอจะเสนอความคิดดี ๆ ให้กับเขาได้ เพราะไหน ๆ บัวก็เป็เพื่อนที่คอยรับฟังทุกปัญหาของเจแปนอยู่แล้ว
“อะไรของมึงอ่ะ เรียกชื่อแล้วก็เงียบไป คราวนี้กูจะด่ากลับแล้วนะข้อหาทำให้กูรู้สึกใจไม่ดี” บัวเอ่ย ระหว่างที่เจแปนกำลังใช้ความคิดอย่างหนักว่าเขาจะเอายังไงต่อดี
“...”
“มึงรีบพูดมาเร็วสิ มีปัญหาหรือมีเื่จะปรึกษาอะไรก็พูดมาเลย เพราะตอนนี้กูเริ่มใจไม่ดีจริง ๆ แล้วนะเนี่ย” เธอพูดต่อเสียงเครียดและนั่นก็ทำให้เจแปนต้องรีบทำอะไรสักอย่าง
“กูว่ากูเจอร่างดอพเพลแกงเกอร์แล้วว่ะ” เขาเลือกที่จะเกริ่นนำขึ้นก่อน เพื่อสังเกตท่าทีของเพื่อนสนิทว่าเธอมีอาการแบบไหน หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น ซึ่งหลังจากที่เขาบอกไปอย่างนั้น บัวก็มีท่าทีนิ่งไปพักใหญ่และตัวของเจแปนก็เดาไม่ออกเสียด้วยว่าภายใต้ความนิ่งนั้น หญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่
“ร่างดอพเพลของใครวะ” นานเกือบนาทีกว่าที่บัวจะถามกลับมา
“ของพอร์ต”
“...”
“มึงคิดว่ายังไงบ้าง” เจแปนถามต่อ โดยระหว่างนั้นเขาก็คาดหวังอย่างยิ่งว่าบัวจะเชื่อกัน เหมือนที่เธอเคยเชื่อทุกเื่ที่เขาเล่าไป
“กูคิดว่ามึงกำลังเพ้อเจ้อหรือไม่ก็หมกมุ่นนะ...” เธอให้คำตอบกลับมาพร้อมคำอธิบาย “กูว่ามึงใช้เวลาหาข้อมูลมาทำงานอาจารย์เยอะ จนมึงหลอนคิดไปเองว่าแฟนตัวเองมีร่างดอพเพล มันมีเปอร์เซ็นต์มากกว่าที่มึงจะเจอร่างดอพเพลจริง ๆ นะ”
“แล้วอะไรถึงทำให้มึงคิดอย่างนั้น” เจแปนถามต่อ ซึ่งขณะนั้นเขาก็ทั้งรู้สึกผิดหวังและเข้าใจเธอในเวลาเดียวกัน เนื่องจากเื่นี้มันไม่ใช่เื่ที่พบเจอได้ทั่ว ๆ ไป แต่มันเป็เื่เหนือธรรมชาติ
“ก็เราเพิ่งคุยเื่นี้ไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง แล้ววันนี้มามึงที่กำลังง่วนอยู่กับการหาข้อมูลร่างดอพเพลก็มาบอกว่าตัวเองเจอร่างนั้นจริง ๆ มันยากเกินกว่าจะเชื่อนะมึง” บัวพูดยาว
“...”
“หรือว่ามันมีเหตุการณ์อะไรเหรอ มึงพิสูจน์ได้ไหมล่ะ” เธอถามต่อ เมื่อเห็นว่าเจแปนนิ่ง
“ไม่หรอก กูพิสูจน์อะไรไม่ได้ทั้งนั้นแหละ” เจแปนตอบกลับไปเสียงแ่แล้วพูดต่อ “กูน่าจะหลอนเื่นี้จนคิดไปเองว่าพอร์ตมีร่างดอพเพลแน่ ๆ เลย”
เพราะแม้แต่บัวก็ยังไม่เชื่อว่าเจแปนได้เจอร่างดอพเพลของพอร์ตมาแล้วจริง ๆ นั่นจึงทำให้เจแปนไม่คิดจะนำเื่นี้ไปเล่าให้ใครฟังอีก เพราะคนอื่น ๆ ก็คงคิดแบบเดียวกันกับเพื่อนสนิทเขา เจแปนจึงเลือกที่จะเก็บเื่ราวต่าง ๆ ไว้กับตัวเองก่อน แล้วค่อยคิดต่อว่าเขาควรจะทำยังไงดีกับสถานการณ์เช่นนี้
มันควรจะเป็แบบนี้แหละ... เพราะไม่มีใครเข้าใจเขาจริง ๆ หรอก ยิ่งกับเื่ทำนองนี้ยิ่งเป็ไปได้ยาก
ไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่เจแปนจะกลับมาทำตัวสดใสได้อย่างปกติคล้ายกับคนไม่มีเื่ทุกข์ใจ
่บ่าย ขณะที่กำลังรอเรียนวิชาสุดท้ายของวันพร้อมกับเพื่อน เจแปนก็เข้ามานั่งรอในห้องเรียนก่อนใคร เขาเลือกที่จะนั่งตรงริมหน้าต่างแล้วทอดมองออกไปด้านนอกตึกอย่างใช้ความคิด โดยสิ่งที่อยู่ในหัวมันก็ยังคงหนีไม่พ้นเื่หนักอกหนักใจที่เจแปนพบเจอมา
“ทำยังไงดี ไม่อยากรับสายเลย” เจแปนพูดกับตัวเองเสียงแ่และรีบกดปิดเสียงโทรศัพท์โดยพลัน เมื่อเครื่องมือสื่อสารที่เขาวางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะได้แผดเสียงร้อง เพื่อบอกว่าตอนนี้กำลังมีสายโทรเข้ามา
และคนที่โทรมาหาเขานั้นก็คือพอร์ต
หากเป็เมื่อก่อน เจแปนคงจะรีบกดรับสายคนรักทันที เพราะเขากลัวว่าพอร์ตจะกดตัดสายไปเสียก่อน ทว่าเวลานี้เจแปนกลับไม่ได้รู้สึกอยากกดรับสายพอร์ตเลย เขาเกิดความลังเลขึ้นมา ไม่อยากกดรับสายพอร์ตอย่างไร้สาเหตุ ซึ่งทำไมมันถึงเป็เช่นนี้ได้นั้น เจแปนก็ไม่รู้จริง ๆ
“แล้วนี่ใช่พอร์ตตัวจริงไหมวะ” ในจังหวะที่เจแปนกลั้นใจเตรียมจะกดรับสาย เจแปนก็มีเหตุให้ชะงักไปอีกหน เมื่อความคิดหนึ่งได้ผุดขึ้นมาในหัวเสียก่อน
“ถ้างั้นก็ไม่รับสายเลยก็แล้วกัน ขอปล่อยไปก่อน” เจแปนตัดสินใจแล้วเลือกที่จะปล่อยให้โทรศัพท์ปรากฎเบอร์ของพอร์ตเอาไว้อย่างนั้น
พอมันเกิดเหตุการณ์อะไรหลาย ๆ อย่างขึ้น ทั้งเื่ระแวงคิดว่าคนรักนอกใจตัวเองและล่าสุดก็ยังเป็เื่ดอพเพลแกงเกอร์อีก นั่นจึงทำให้ความสัมพันธ์ที่ก่อนหน้านี้ค่อนข้างกระท่อนกระแท่นเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ แทนที่ทั้งสองจะได้รีบเคลียร์ใจกันเหมือนอย่างที่เคยทำมาตลอดหลายปี ตอนนี้มันกลับยืดเยื้อและใช้เวลานานกว่าที่คิด
“เจแปน”
“ว่าไง”
“เหมือนกูเห็นแฟนมึงมานั่งรอที่ใต้ตึกคณะเลยอ่ะ ทะเลาะกันเหรอ?” เพื่อนร่วมคณะถามขึ้น ทำเอาเจแปนได้ยินแล้วถึงกับชะงักไป เนื่องจากเขาไม่เคยเล่าปัญหาระหว่างตัวเองกับคนรักให้ใครฟังเลยยกเว้นเพื่อนสนิท
“ทำไมถึงรู้” เจแปนถามกลับไป ขณะที่ในหัวของเขาก็เอาแต่คิดว่าใครเป็คนเอาเื่นี้ไปเล่า
“ก็ตอนที่กูขึ้นมา หน้าตาพอร์ตมันดูเอาเื่มากเลย เหมือนมันมารอเคลียร์กับมึงอ่ะ” อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติ
“...”
“รีบลงไปคุยกับมันนะมึง ก่อนที่จะได้สร้างตำนานคู่รักมายืนทะเลาะกันที่หน้าคณะ” พูดจบ อีกฝ่ายก็เดินไปนั่งประจำที่ของตัวเองทันที ส่วนเจแปนก็เกิดความชั่งใจว่าเขาควรจะใช้เวลานี้ตอนที่อาจารย์ยังไม่เข้าสอนเดินลงไปหาพอร์ตที่ใต้ตึกดีไหม
“กูว่ามึงรีบลงไปเถอะ ก่อนที่เื่มันจะบานปลาย ยิ่ง่เลิกคลาสตอนบ่ายพวกนักศึกษาชอบไปนั่งเล่นอยู่ใต้คณะอีก เดี๋ยวคนจะมองเอานะ” บัวที่เดินเข้ามานั่งในห้องเรียนแล้วและได้ยินบทสนทนาทุกอย่างมีการออกความคิดเห็น ซึ่งเจแปนก็เห็นพ้องตรงกันกับเธอ
เมื่อตัดสินใจได้อย่างนั้น เจแปนก็รีบพาตัวเองออกมาจากห้องเรียนแล้วเดินลงไปที่ใต้ตึกคณะทันที โดยเขาก็ใช้เวลาเดินตามหาพอร์ตอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ต่อมาดวงตาของเขาจะสบเข้ากับคนรักด้วยความบังเอิญ
คนนี้แหละพอร์ตไม่ใช่พัตเตอร์ เจแปนนึกในใจแล้วรีบสาวเท้าเดินเข้าไปหาคนรักของตัวเองเป็พัลวัน แม้ว่าเวลานี้ใบหน้าของพอร์ตจะเต็มไปด้วยอารมณ์โมโหก็ตาม แต่เจแปนก็คิดว่ามันคงไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าที่เขาได้เจอกับร่างดอพเพลแกงเกอร์ของคนรักแล้วล่ะ
“ทำไมถึงไม่รับสาย?” นั่นเป็ประโยคแรกที่พอร์ตเอ่ยขึ้น หลังเจแปนได้ไปยืนอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายแล้ว
“พอดีปิดเสียงโทรศัพท์เอาไว้น่ะ” เจแปนตอบกลับไปทั้งหน้านิ่งและยังกล้าที่จะโกหกคนรัก ทั้งที่ตัวเขาเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองเป็คนโกหกไม่เก่ง
“งั้นเหรอ ปิดเสียงโทรศัพท์เอาไว้หรือว่าไม่อยากรับสายกันแน่” อีกฝ่ายถามกลับมา โดยคำพูดคำจาของพอร์ตมันก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของเจแปนนัก
“ก็แล้วแต่จะคิด แต่เรายังยืนยันคำเดิม”
“...”
“แล้วนี่มีอะไรเหรอ ทำไมถึงต้องมาดักรอกันที่ใต้ตึกคณะเลยล่ะ” เจแปนถามต่อ เพื่อไม่ให้ทั้งคู่เสียเวลากันมากกว่านี้
“ก็ตั้งใจจะมาเคลียร์กันน่ะสิ เพราะพวกเราทะเลาะกันนานเกินไปแล้วนะ”
“ที่มาหาก็เพราะเื่นี้เองน่ะเหรอ เราก็นึกว่ามีเื่ด่วนอะไรเสียอีก” เจแปนพึมพำเสียงแ่แล้ว เงยหน้าขึ้นมองคนรักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกมาอย่างใจเย็น “ถ้าอย่างนั้นเราค่อยเคลียร์กันคืนนี้ได้ไหม เพราะว่าตอนนี้เรามีเรียน”
“ไม่อ่ะ อยากคุยตอนนี้เลย” พอร์ตตอบกลับมาอย่างเอาแต่ใจ
“แล้วพอร์ตไม่มีเรียนเหรอ”
“ไม่มี”
“พอร์ตไม่มี แต่เรามีไง” เจแปนพูด หลังเขาเริ่มจะรู้สึกหัวเสียกับคนรัก แต่เขาก็ยังพยายามจะสะกดกลั้นอารมณ์นั้นเอาไว้อยู่ เนื่องจากเจแปนไม่อยากตกเป็จุดสนใจของใคร
“ก็เคลียร์กันก่อนแล้วค่อยขึ้นไปเรียนสิ เพราะเราไม่ได้ห้ามให้เจแปนไปเรียนสักหน่อย”
“แล้วทำไมพอร์ตถึงเอาแต่ใจแบบนี้ล่ะ นี่เราไม่เคยทำแบบนี้กับพอร์ตเลยนะ” เจแปนเอ่ยอย่างโมโห เมื่อเขาเริ่มจะสะกดอารมณ์โกรธของตัวเองไม่ไหวแล้ว หากพอร์ตยังทำตัวเอาแต่ใจแบบนี้อยู่
“...”
“เวลาเรามีปัญหากัน เราไม่เคยเอาเื่ส่วนตัวไปกระทบกับเื่เรียนของพอร์ตเลยนะ แล้วทำไมพอร์ตถึงไม่ทำแบบนั้นกับเราบ้างล่ะ เคยนึกถึงกันบ้างหรือเปล่า”
“ตอนนี้เจแปนเปลี่ยนไปมากเลยนะ รู้ตัวหรือเปล่า”
“...”
“ที่เจแปนเป็แบบนี้ เพราะเจแปนกำลังมีคนอื่นนอกเหนือจากเราใช่ไหม” พอร์ตพูดเสียงเข้มและดังยิ่งกว่าเดิม ซึ่งนั่นก็ทำให้เจแปนที่ไม่ชอบตกเป็เป้าสายตาหรือจุดสนใจของใครเริ่มเกิดความอาย เจแปนอยากจะเดินหนีออกไปจากตรงนี้ แล้วพอเขาคิดได้แบบนั้น เขาก็ทำตามอย่างที่ตัวเองคิดทันที
แต่ทว่าตัวพอร์ตเองก็ไม่ยอมเช่นกัน หลังจากที่อีกฝ่ายเห็นว่าเจแปนตั้งท่าจะเดินหนี ร่างสูงก็รีบคว้าแขนของเจแปนเอาไว้ ทำให้ทั้งสองกลายเป็จุดสนใจยิ่งกว่าเดิม
“ปล่อยเดี๋ยวนี้ เราอายคน” เจแปนพูดกับคนตรงหน้า หวังเตือนสติให้อีกฝ่ายตระหนักว่าพวกเขากำลังอยู่ที่ไหน
“แปนอายแต่ว่าเราไม่อายไง” อีกฝ่ายว่าอย่างไม่รู้สึกรู้สา
“ทำไมพอร์ตถึงเป็คนแบบนี้นะ” เจแปนพูดพร้อมจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาผิดหวัง
จากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดพร่ำทำเพลงอะไรทั้งนั้น เจแปนเลือกที่จะสะบัดแขนของตัวเองอย่างแรงให้มันหลุดจากการเกาะกุมของอีกคน เพราะเวลานี้เจแปนไม่อยากคุยกับพอร์ตและไม่มีอารมณ์คุยด้วยแล้ว
“ไว้อารมณ์เย็นแล้วค่อยคุยกันนะ” เขาพูดต่อเสียงห้วน แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขายังไม่พร้อมที่จะมายืนเคลียร์ใจกับคนรักที่ใต้ตึกคณะจริง ๆ
“แต่เราอยากคุยตอนนี้ไง” พอร์ตยังคงยืนกรานคำเดิม
“แต่เราไม่อยากไง ทำไมพอร์ตถึงพูดจาไม่รู้เื่วะ!” คราวนี้เจแปนถึงกับขึ้นเสียงใส่คนรักอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เมื่อฟางเส้นสุดท้ายของเขาได้ขาดสะบั้นลงเป็ที่เรียบร้อย โดยความอดทนที่ขาดลงนี้มันก็มาจากตัวของพอร์ตทั้งนั้น ไม่ใช่ใครอื่น
“...”
“ขอร้องล่ะ เราค่อยคุยกันตอนค่ำเถอะนะ เพราะยิ่งคุยกันตอนนี้ทุกอย่างมันก็ยิ่งจะบานปลายกว่าเดิม ถ้าพอร์ตยังไม่อยากเลิกกับเราน่ะนะ...” เจแปนวอนขอคนรักและหมุนตัวเตรียมจะเดินออกมาจากพอร์ต ทว่าระหว่างที่เขากำลังหมุนตัวเดินกลับขึ้นไปบนตึก เจแปนก็มีเหตุให้ต้องชะงักไปเล็กน้อย เนื่องจากตึกฝั่งตรงข้ามกันที่เป็คณะวิทยาศาสตร์ เวลานี้มันกำลังมีร่างดอพเพลแกงเกอร์ยืนมองเหตุการณ์ทะเลาะกันระหว่างพวกเขาทั้งรอยยิ้ม
มีการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าชื่นชอบเหตุการณ์เมื่อครู่นี้มากแค่ไหน
่เย็นของวัน
“บัว วันนี้กูขอไปนอนค้างที่ห้องมึงได้หรือเปล่า”
“หืม นึกยังไงอ่ะ ทำไมถึงอยากไปนอนค้างที่ห้องกูล่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอก กูก็แค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศเฉย ๆ น่ะ” เมื่อการเรียนวิชาใน่บ่ายเสร็จสิ้นไปแล้วและเวลาก็ล่วงเลยมาถึงตอนเย็น ระหว่างที่นักศึกษาในห้องกำลังทยอยเก็บสัมภาระลงใส่กระเป๋า เจแปนก็ได้พูดบางอย่างกับบัว หลังในคืนนี้เจแปนไม่อยากอยู่เพียงลำพัง
และในเมื่อเขาพึ่งพาคนรักไม่ได้ เจแปนจึงต้องมาพึ่งพาเพื่อนของตัวเองแทน
“ตกลงกูขอไปนอนค้างที่ห้องมึงได้หรือเปล่า” เขาทวงคำตอบ
“ได้สิ ยินดีต้อนรับอยู่แล้ว”
“โอเค ถ้างั้นเดี๋ยววันนี้มึงกลับกับกูนะ เพราะกูเอารถมา... เราจะแวะไปเอาของที่คอนโดกูก่อนแล้วค่อยไปที่ห้องมึงเลย” เจแปนวางแผนการเดินทาง
“ได้เลย เอาตามนี้แหละ แต่ก่อนจะเข้าหอกู พวกเราต้องแวะซื้ออาหารหรือกินข้าวก่อนนะมึง เพราะในห้องกูไม่มีอะไรเลย” บัวตอบกลับมาทั้งน้ำเสียงสบาย ๆ
“ได้ งั้นเราจะแวะหาของกินที่ตลาดนัดแถวนั้นก่อนก็แล้วกัน”
เอาเข้าจริง... มันมีหลายเหตุผลมากที่ทำให้เจแปนต้องไปนอนค้าง ณ ห้องเพื่อนในคืนนี้ ทั้งที่คอนโดของเขามันสะดวกสบายมากกว่า
หนึ่ง คือหลังจากที่เจแปนได้รับรู้อะไร ๆ แล้ว และเริ่มรู้ตัวว่าเวลานี้เขากำลังถูกร่างดอพเพลแกงเกอร์ของคนรักติดตามอยู่ชนิดที่ไม่ห่างสายตา นั่นก็ทำให้เจแปนรู้ว่าเวลานี้เขาไม่ควรจะอยู่เพียงลำพัง เนื่องจากมันมีโอกาสสูงที่ร่างดอพเพลแกงเกอร์จะเข้ามาหาเจแปนอีกครั้ง
สอง การที่เขาอยู่เพียงลำพัง มันจะทำให้เจแปนเกิดความฟุ้งซ่านและเกิดอาการจิตตกได้ง่าย ซึ่งเจแปนก็ไม่รู้ทำไมสภาพจิตใจของเขามันถึงกลายเป็เช่นนี้ได้ แต่ทุกครั้งที่เขาอยู่เพียงลำพัง แม้กระทั่งตอนเข้าห้องน้ำ...เจแปนก็รู้สึกหวาดระแวงอย่างบอกไม่ถูก
ดังนั้นทางออกเดียวที่เขาพอจะทำได้ในเวลานี้ คือการเกาะกลุ่มอยู่กับเพื่อนเข้าไว้หรือไม่ก็หากิจกรรมทำร่วมกับคนหมู่มาก
“กูลืมถามไปเลย เมื่อตอนบ่ายตอนที่มึงลงไปคุยกับพอร์ต เป็ยังไงบ้างไม่เห็นจะเล่าให้ฟัง” ่ค่ำของวัน หลังเจแปนกับเพื่อนกินมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ทั้งสองกำลังนอนดูโทรทัศน์ด้วยกันแบบที่ไม่ต้องรีบร้อนไปไหน บัวก็เอ่ยถามขึ้น คล้ายเธอเพิ่งนึกได้
“ก็ไม่มีอะไรอ่ะ กูก็แค่บอกให้มันมาเคลียร์ใจตอนค่ำ”
“...”
“อยากจะไปต่อหรือพอแค่นี้ก็ให้มาคุยกันตอนค่ำเอา ไปคุยกันตอนนั้นไม่ได้อ่ะ เพราะทั้งกูทั้งมันต่างใจร้อนทั้งคู่” เจแปนตอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงปกติ โดยเขาก็ตั้งใจจะเล่าให้ฟังแบบพอผิวเผินเท่านั้น ไม่คิดจะเล่ารายละเอียดอะไรที่ลงลึกกว่านี้ เนื่องจากมันอาจไปกระตุ้นต่อมโมโหของบัวให้ลุกโชนขึ้นมาได้
“นัดคุยกับมันตอนค่ำ แต่คืนนี้มึงมานอนกับกูเนี่ยนะ”
“...”
“นี่มึงจงใจหนีปัญหาหรือเปล่า” บัวถามกลับมาทั้งคิ้วขมวด
“ไม่ได้หนีปัญหาสักหน่อย” เจแปนส่ายหน้าปฏิเสธกลับไปแล้วพูดต่อ “มึงก็รู้นี่ว่าพอร์ตมันฉลาดจะตาย”
“...”
“ถ้าคนมันอยากเคลียร์กันจริง ๆ นะ ต่อให้ตอนนี้กูจะไม่ได้อยู่ห้องยังไงมันก็คงหาวิธีการมาเคลียร์ใจกับกูให้ได้นั่นแหละ”
“ก็จริงของมึง พอร์ตมันฉลาดจะตาย มันรู้จักใช้คำพูดกับมึงด้วยแหละ มึงก็เลยทนคบกับมันได้มาจนถึงทุกวันนี้”
“นี่มึงก็หาเื่ด่ามันจนได้นะ” เจแปนเอ่ยพร้อมระบายยิ้มออกมาจาง ๆ เนื่องจากเขานึกขำที่บัวยังคงสามารถเชื่อมโยงเื่ราวจนหาเื่มาด่าคนรักของเขาได้ ทั้งที่เจแปนก็พยายามจะเลี่ยงไม่ให้พอร์ตถูกด่าแล้วเชียว
“แต่ว่ากูรู้สึกว่ามึงนิ่งขึ้นนะ นิ่งกับเื่มันมาพักใหญ่แล้ว”
“ยังไงเหรอ” เจแปนถามเพื่อนสนิทอย่างใคร่รู้
“ถ้ากูพูดออกไปตรง ๆ มึงจะโกรธไหมล่ะ” เธอถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยแน่ใจนัก
“ไม่โกรธ มึงพูดออกมาเถอะ” เจแปนยืนยันกลับไป โดยนั่นก็ทำให้บัวนอนนิ่งไปครู่หนึ่ง คล้ายกับกำลังคิดอะไรบางอย่างถึงค่อยพูดต่อ “ถ้าเป็เมื่อก่อน... มึงดูรักมันยิ่งกว่าตัวเองอีกนะ แปน”
“...”
“สำหรับกู ณ ตอนนั้นมึงดูเหมือนคนไม่มีค่าเลยอ่ะ มึงยอมมันทุกอย่างแม้ในเื่ที่มึงฝืนตัวมึง แต่มึงก็ยังยอมมัน เพราะไม่อยากเสียมันไป” บัวพูดเสียงจริงจัง ในขณะที่เจแปนก็ได้แต่เงียบไม่คิดจะโต้แย้งอะไร เนื่องจากเขาเองก็พอจะรู้ตัวเองในตอนนั้นอยู่พอสมควร
แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อเจแปนไม่อยากให้ความรักของเขามันพังลงจริง ๆ
“ซึ่งพอกูเห็นแบบนี้ มึงที่ดูนิ่งขึ้น พูดตามตรงเลยนะ...กูโคตรจะดีใจเลยว่ะ เหมือนกับว่าความพยายามของกูกับเพื่อนคนอื่น ๆ มันไม่สูญเปล่าแล้ว” เธอว่าต่อทั้งเสียงภูมิใจ และในเวลาเดียวกันนั้นเสียงเคาะประตูที่หน้าห้องก็ดังขึ้นพอดี ทำเอาคนที่อยู่ในห้องถึงกับสะดุ้งโหยง โดยเฉพาะเจแปนที่จิตตกเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“ค—ใครมาหามึงเหรอ?” เจแปนถามเพื่อนด้วยน้ำเสียงหวาดระแวง พร้อมมองไปยังประตูห้องตาไม่กะพริบ
“ไม่แน่ใจแฮะ เดี๋ยวกูขอเดินไปดูแป๊บ” พูดจบ บัวก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินไปส่องตาแมวทันที โดยบัวก็ใช้เวลายืนส่องตาแมวอยู่นานพักใหญ่ ก่อนที่เธอจะหันมาให้คำตอบกับเจแปนทั้งหน้างง
“แปลกจังแฮะ ทำไมไม่มีใครยืนอยู่หน้าห้องเลยวะ”