บทที่ 4 แสงสว่างแห่งความหวัง
รุ่งเช้าของอีกวัน แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในตำหนักเย็นเป่ยอิงผ่านหน้าต่างที่แตกร้าว ท่ามกลางความหม่นหมองของสถานที่ หลินชิงซานกลับมีรอยยิ้มบนใบหน้าเป็ครั้งแรกนับั้แ่ทะลุมิติมา หลานหลานและชุนเทียนกำลังจัดเตรียมข้าวของส่วนหนึ่งที่ได้มาจากการขายเครื่องประดับเมื่อคืนก่อน ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความสุขที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ท่านพี่…พวกเราไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้” ชุนเทียนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือด้วยความดีใจ
“ใช่แล้วเพคะ…พวกเราไม่ต้องทนหิวอีกแล้ว” หลานหลานกล่าวเสริม
นางยังชินกับการที่ใช้คำพูดแบบเดิมอยู่ หลินชิงซานยิ้มอบอุ่นให้นางทั้งสอง “ข้าบอกแล้ว…ว่าเราจะรอดไปด้วยกัน”
นางเหลือบไปมองอาหารที่หลี่จี๋หัวหน้าขันทีในโรงครัวแอบส่งมาให้เมื่อเช้า มันเป็เพียงข้าวต้มกับผักต้มเปื่อยๆ ที่ไร้รสชาติ นางรู้สึกขอบใจในน้ำใจของหลี่จี๋มาก ถึงไม่มีรสชาติอะไรก็ยังดีกว่าไม่ได้กิน นางไม่ได้สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว เพราะบัดนี้นางมีแผนการที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
หลังจากจัดการกับข้าวของเสร็จเรียบร้อย หลินชิงซานก็ตัดสินใจที่จะไปเข้าเฝ้าไทเฮา นางรู้ดีว่าหากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างราบรื่น นางต้องได้รับอนุญาตจากพระองค์เสียก่อน หลานหลานและชุนเทียนเป็ห่วงนางมาก แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง
เมื่อไปถึงตำหนักเฉิงกวนของไทเฮา นางได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้าทันที มู่หลิง ขันทีคนสนิทของไทเฮามองมาที่นางด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความสงสารและเห็นใจ
“ฝ่าา…พระชายาหลินมาขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ” มู่หลิงเอ่ยขึ้นเบาๆ
ไทเฮาที่กำลังนั่งจิบชาอยู่ถึงกับวางถ้วยชาลง เมื่อเห็นสภาพของหลินชิงซานที่ดูอิดโรยและผอมบางลงกว่าเดิม พระองค์รู้สึกสงสารจับใจ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง พระองค์ก็เห็นประกายความมุ่งมั่นที่เปล่งประกายออกมา
“หลินชิงซาน…เ้ามีธุระอันใดหรือ” ไทเฮาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น
หลินชิงซานคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระองค์ “ทูลไทเฮา…หม่อมฉันและบ่าวทั้งสองไม่อาจทนอยู่ในตำหนักเย็นได้อีกต่อไปเพคะ” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือแต่แฝงไปด้วยความแน่วแน่ “หากเป็เช่นนี้ต่อไป พวกเราคงจะต้องอดตายในไม่ช้า”
ไทเฮารับฟังด้วยความเงียบสงบ พระองค์รู้ดีว่าสิ่งที่นางพูดเป็เื่จริง แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้อย่างเต็มที่
“ข้าเข้าใจเ้าดี…แต่ข้าก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก” ไทเฮากล่าวอย่างเ็ป
“หม่อมฉันไม่ได้มาขอความช่วยเหลือเพคะ” หลินชิงซานเอ่ยขึ้น “แต่หม่อมฉันมาขอพระราชทานอนุญาตที่จะออกไปหาเลี้ยงชีพเองเพคะ”
คำพูดของนางทำให้ไทเฮาประหลาดใจ พระองค์ไม่คิดว่าหญิงสาวที่เคยอ่อนแอและว่าง่ายคนนี้จะมีความคิดเช่นนี้ “เ้าจะหาเลี้ยงชีพอย่างไร”
“หม่อมฉันจะทำขนมขายเพคะ” หลินชิงซานตอบด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหวัง “หม่อมฉันมีสูตรขนมที่ไม่เหมือนใครและรับรองว่าจะสามารถทำเงินได้เพคะ และอีกอย่างหม่อมฉันได้เช่าห้องไว้เพื่อสะดวกในการทำขนมเพคะ”
มู่หลิง ขันทีคนสนิทของไทเฮาได้ยินเข้าถึงกับแปลกใจ เขาคิดว่า“ถ้าไม่พึ่งพาตัวเอง…พระชายาก็จะไม่มีวันเอาชนะพระสนมชุยิเซียงได้”
ไทเฮานิ่งคิดไปชั่วขณะ พระองค์มองไปที่แววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของนาง แล้วก็ตัดสินใจที่จะให้นางได้ลองทำในสิ่งที่้า
“ถ้าเช่นนั้น…ข้าจะให้เ้าได้ลองทำ” ไทเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ข้าจะอนุญาตให้เ้าออกจากตำหนักเย็นได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของข้า และมีปัญหาอะไรก็ให้มาหาข้า”
“ขอบพระทัยเพคะองค์ไทเฮา” หลินชิงซานก้มลงคารวะด้วยความซาบซึ้งใจ
ไทเฮาเรียก มู่หลิง ให้เข้ามาใกล้ “เ้าไปหยิบกล่องเครื่องประดับที่ข้าเก็บไว้มาให้หลินชิงซาน”
“พะยะค่ะฝ่าา” มู่หลิงกล่าวพลางเดินออกไปหยิบกล่องเครื่องประดับเก่าๆ ที่ไม่ได้ใช้แล้วมาให้หลินชิงซาน “นี่คือของที่เ้าสามารถนำไปขายเพื่อเป็ทุนได้”
หลินชิงซานเปิดกล่องออกดู ภายในมีเครื่องประดับเก่าๆ แต่ก็เป็หยกแท้ที่สามารถขายได้ราคา นางจะนำมาขัดล้างให้สะอาด ก็คงจะดูดีขึ้นและได้ราคาดีแน่นอน นางจึงรับมาด้วยความขอบพระทัย
“ขอบพระทัยเพคะองค์ไทเฮา”
“และข้าจะแจ้งทหารยามให้รับรู้ว่าเ้าสามารถเข้าออกจากตำหนักเย็นได้ ตลอดเวลาและห้ามผู้ใดขัดขวาง…หากมีเื่ใดเกิดขึ้นกับเ้า จงมาหาข้าทันที” ไทเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด
หลินชิงซานรับคำและก้มลงคารวะอีกครั้ง จากนั้นก็ขอตัวกลับไปยังตำหนักเย็นทันที
หลังจากกลับมาถึงตำหนักเย็น นางก็เริ่มลงมือทำขนมอย่างจริงจัง นางและสาวใช้ทั้งสองคนใช้เวลาหลายวันในการทดลองทำขนม ขนมลูกชุบ และ ขนมบัวลอย ถูกทำขึ้นมาหลายครั้งจนได้สูตรที่ลงตัวที่สุด
“พระชายา…นี่เป็ครั้งแรกที่เราทำขนมได้อร่อยขนาดนี้เลยนะเพคะ” หลานหลานเอ่ยอย่างตื่นเต้น
“ใช่แล้วเพคะ…รสชาติหวานกำลังดี” ชุนเทียนกล่าวเสริม
หลินชิงซานยิ้มอย่างพอใจ “ในเมื่ออร่อยแล้ว…เราก็นำไปให้ไทเฮาเสวยกันเถิด”
เมื่อไปถึงตำหนักเฉิงกวน หลินชิงซานได้นำขนมที่ตนทำมาถวายไทเฮา พระองค์รับมาแล้ว ดวงตาของพระองค์ถึงกับเป็ประกายด้วยความประหลาดใจ
ขนมลูกชุบถูกจัดวางเรียงรายอยู่ในกล่องไม้ที่แกะสลักอย่างประณีต แต่ละชิ้นมีขนาดพอดีคำและถูกปั้นอย่างบรรจงเป็รูปทรงของผลไม้เล็กๆ เช่น มะม่วงสีเหลืองทอง ส้มจิ๋วสีส้มสด ชมพู่สีชมพูระเรื่อ และพริกสีแดงเม็ดเล็กๆ ที่ดูราวกับของจริง
ผิวของขนมลูกชุบแต่ละชิ้นถูกชุบด้วยวุ้นใสๆ จนดูเงาวาวคล้ายแก้วสะท้อนแสง ทำให้สีสันของเนื้อขนมด้านในดูสดใสยิ่งขึ้น เมื่อมองใกล้ๆ จะเห็นเนื้อถั่วเขียวบดละเอียดที่เนียนละเอียดราวกับเนื้อครีม ไม่หลงเหลือแม้แต่ร่องรอยของความหยาบกร้าน กลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ของถั่วกวนอบควันเทียนลอยออกมาแตะจมูกชวนให้น้ำลายสอ
อีกอย่างขนมบัวลอยถูกบรรจุอยู่ในถ้วยกระเบื้องเคลือบสีขาว เนื้อบัวลอยถูกปั้นเป็เม็ดเล็กๆ สีสันสดใสราวกับดอกไม้นานาชนิดที่ลอยอยู่ในน้ำข้นขาวของกะทิ ได้แก่ สีม่วงจากอัญชัน สีชมพูจากดอกกระเจี๊ยบ สีเขียวจากใบเตย และสีส้มอ่อนๆ จากแครอท แต่ละเม็ดมีความกลมมนสวยงาม
เมื่อใช้ช้อนตักขึ้นมา จะเห็นเนื้อบัวลอยที่นุ่มนิ่มจนแทบละลายในปาก ด้านในมีไส้ถั่วเหลืองบดละเอียดที่หอมหวานและเค็มเล็กน้อยตัดกันอย่างลงตัว น้ำกะทิที่ราดบนบัวลอยมีความเข้มข้น หอมกลิ่นมะพร้าวอ่อนๆ และหอมกลิ่นควันเทียนเล็กน้อย ทำให้รสชาติกลมกล่อมและน่าลิ้มลองยิ่งขึ้น
“ขนมนี้…เป็รสชาติที่ไม่เคยกินที่ไหนมาก่อนทั้งลักษณะน่ารักน่ากินแถมรสชาติหวานหอมอร่อยมาก ส่วนในถ้วยก็มีกลิ่นหอม รสชาติกลมกลอมที่สุด” ไทเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงที่ชื่นชม “เ้าคิดสูตรนี้ขึ้นมาได้อย่างไร”
“หม่อมฉันได้ความคิดมาจากความฝันเพคะ” หลินชิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“รสชาติอร่อยมาก…เ้าช่างเก่งยิ่งนัก” ไทเฮาตรัสด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข “ต่อไปนี้…เ้าจะไม่อดอยากอีกต่อไปแล้ว”
ในขณะที่ไทเฮาเสวยขนมอย่างมีความสุข หลินชิงซานก็ได้เห็นรอยยิ้มที่จริงใจของพระองค์ ซึ่งเป็รอยยิ้มที่สว่างไสวที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมา และในยามนั้นเอง นางก็รู้สึกว่าความพยายามของนางไม่ได้สูญเปล่า
ขณะที่นางกำลังจะเดินทางกลับ มู่หลิง ขันทีคนสนิทของไทเฮาได้เดินเข้ามาหานางแล้วกระซิบเบาๆ
“พระชายา…ท่านอ๋องหยางเทียนหลง กำลังจะเสด็จไปเยือนตำหนักเย็นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โปรดระวังพระองค์ด้วยพะยะค่ะ”
คำพูดของมู่หลิงทำให้นางต้องหยุดชะงัก นี่เป็อีกหนึ่งบททดสอบที่นางต้องเผชิญ การที่หยางเทียนหลงจะมาเยือนตำหนักเย็นในยามนี้คงจะไม่ใช่เื่บังเอิญอย่างแน่นอน
“ท่านมู่หลิง…ท่านอ๋องจะมาทำอะไรที่ตำหนักเย็นเ้าคะ” หลินชิงซานถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย
มู่หลิงมองไปรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ แล้วกระซิบเบาๆ ว่า “บ่าวได้ยินมาว่ามีคนในจวนรายงานเื่ที่พระชายาออกจากตำหนักเย็นไปพะยะค่ะ”
“ใครกันที่รายงานเื่นี้!” หลานหลานเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ไม่ผิดจากที่ข้าคิด” หลินชิงซานกัดริมฝีปากแน่นในใจ “ต้องเป็ชุยิเซียงแน่ๆ”
“ไม่ว่าจะใครก็ช่างเถิดเพคะท่านพี่” ชุนเทียนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล “พวกเราควรจะทำอย่างไรดีเพคะ”
หลินชิงซานยิ้มบางๆ แล้วหันไปมองมู่หลิง “ขอบใจที่ท่านเตือนข้าเ้าค่ะ” นางเอ่ยอย่างมั่นใจ
“พระชายาโปรดระวังพระองค์ด้วย” มู่หลิงกล่าวพลางก้มคำนับให้นาง แล้วเดินจากไป
หลินชิงซานมองตามหลังมู่หลิงไปจนลับตา จากนั้นจึงหันไปมองหลานหลานและชุนเทียนที่ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความกังวล “ไม่ต้องห่วง…ข้าจะไม่ยอมให้เื่นี้มาทำลายแผนการของเรา” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยว “ในเมื่อท่านอ๋องอยากจะมา…เราก็จะเตรียมการต้อนรับให้ดีที่สุด”
***///***
