ท้องฟ้าสีครามปราศจากมลพิษ อากาศสดชื่นแจ่มใส ทั้งสี่ทิศล้อมรอบไปด้วยูเาที่มีต้นไม้เขียวขจี บรรยากาศเงียบสงบแต่งแต้มด้วยดอกไม้ใบหญ้า และเมื่อสายลมพัดผ่านกลิ่นหอมของดอกไม้ก็โชยมาปะทะใบหน้า
กระแสน้ำไหลผ่านเท้าของเขา และเสียงของน้ำก็ดูเหมือนจะไหลเข้าสู่ส่วนลึกในหัวใจของหลัวเลี่ย
เขามองไปรอบๆ ด้วยความสับสน
“ที่นี่ที่ไหน?”
“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“หรือเพราะจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์นั่น?!”
หลัวเลี่ยเต็มไปด้วยความสงสัย แล้วนั่งยองๆ วักน้ำในลำธารขึ้นมาล้างหน้า พยายามปลุกตัวเองให้ตื่น แต่เมื่อมองในน้ำ เขาก็เห็นว่าจริงๆ แล้วเขาสวมชุดโบราณที่หรูหรามาก
เขาก้มมองสำรวจ
เสื้อผ้าที่สวมกลายเป็ชุดโบราณแล้ว เป็ชุดผู้ฝึกวรยุทธ์สีฟ้าปักลายั รองเท้าบูตหนังสีดำ และบนหัวยังสวมกวานห้อยพู่สีแดง
เมื่อรวมกับใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาแล้ว ให้ความรู้สึกคล้ายกับคุณชายสูงศักดิ์อย่างบอกไม่ถูก
ในระหว่างที่เขาสับสนกับเื่ทั้งหมดนี้ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่วุ่นวายดังมาจากระยะไกล
หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงเรียก
“ท่านอ๋องน้อย!”
“ท่านอ๋องน้อย ท่านอยู่ที่ไหน”
เสียงนั้นดังมาจากหลายที่ เป็กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่กระจายกันตามหา
หลัวเลี่ยยืนขึ้นและมองไปไกลๆ เกี่ยวกับคำเรียกท่านอ๋องน้อยนี้ ทำให้เขายิ่งงุนงง คนสมัยใหม่ที่ไหนใช้คำแบบนี้
เมื่อเขายืดตัวขึ้นตรง สูงกว่าวัชพืชที่อยู่ข้างหน้า ก็ถูกคนเห็นทันที
“ท่านอ๋องน้อย!”
“ข้าเจอท่านอ๋องน้อยแล้ว อยู่ที่นี่”
ชายร่างสูงที่แต่งตัวเป็องครักษ์ะโเสียงดัง
ผู้คนที่ต่างกระจายกันตามหา เมื่อพวกเขาเห็นหลัวเลี่ยต่างก็วิ่งเข้ามา
คนที่เร็วที่สุดคือชายวัยกลางคนในวัยสี่สิบกว่า ที่สวมชุดเกราะหนัง มีผิวคล้ำ และเคราสั้นสีดำหนาใต้กราม หลังจากเห็นหลัวเลี่ยเขาก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงด้วยสีหน้าตื่นเต้น
คนอื่นๆ ก็คุกเข่าลงเช่นกัน
“คำนับท่านอ๋องน้อย!”
หลัวเลี่ยกะพริบตาและชี้มาที่จมูกของเขา “ฉัน ฉันคือท่านอ๋องน้อย?”
ชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นและพูดยืนยันว่า “ท่านคือท่านอ๋องน้อย”
“ท่านอ๋องน้อย? ท่านอ๋องน้อยอะไร”
“บุตรชายคนเดียวของอ๋องหนานหลี่แห่งเมืองเป่ยสุ่ย ท่านอ๋องน้อยหลัวเลี่ย อนาคตอ๋องหนานหลี่”
“บุตรชายคนเดียวของอ๋องหนานหลี่? หลัวเลี่ย?!”
ในหัวของหลัวเลี่ยมีเสียงดังวิ้งๆ เขารู้สึกสับสนเล็กน้อยกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
คำถามของเขาทำให้ชายวัยกลางคนและองครักษ์หลายคนงุนงง หนึ่งในองครักษ์ถึงกับชี้ไปที่ชายวัยกลางคน ชายวัยกลางคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดว่า “ท่านอ๋องน้อย ที่นี่อันตราย เราต้องออกไปให้เร็วที่สุด ผู้น้อยขออนุญาต”
ทันทีที่เขาโบกมือ องครักษ์สองคนก็ก้าวมาข้างหน้าหลัวเลี่ย และกลุ่มคนก็ถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้หลัวเลี่ยก็ตระหนักได้
คงไม่ใช่ว่าเขาทะลุมิติมาใช่ไหม
รถม้าแล่นไปตามถนน
ภายในรถม้า หลัวเลี่ยจ้องมองอย่างว่างเปล่าไปที่สาวงามสองคนที่ไม่มีใครงามเทียบได้ตรงหน้าเขา หัวใจของเขาแตกสลาย เขาแน่ใจว่าเขาได้ทะลุมิติมาแล้วจริงๆ
หลังจากที่ถูกชายวัยกลางคนคนนั้นพากลับมา สาวสวยสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขาเอาแต่ถามคำถามบางอย่างกับเขา สีหน้าหลัวเลี่ยดูหมดหวังไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้บ่งชี้ชัดเจนว่าเขาคือท่านอ๋องน้อย เพราะความแปลกประหลาดของการข้ามมิติ แต่เขายังคงมีชื่อเดิม สวมเสื้อผ้าของท่านอ๋องน้อยตัวจริง และยังฝันถึงจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อีก เื่ราวเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกว่าเหมือนมีโชคชะตาบางอย่าง ดังนั้นเขาไม่รู้จะรับมืออย่างไร สุดท้ายจึงทำเป็ความจำเสื่อม
ด้วยวิธีนี้เขาจึงได้รู้เื่มากมายจากปากของสาวงามทั้งสอง
อย่างเช่นชายวัยกลางคนก่อนหน้านี้คือซูชิวเชิง หัวหน้าองครักษ์ของจวนอ๋องหนานหลี่ องครักษ์เ่าั้ล้วนเป็คนของจวนอ๋องหนานหลี่ กล่าวคือพวกเขาเป็คนของท่านอ๋องน้อยตัวจริง
ในขณะนี้ซูชิวเชิงเป็ผู้นำกลุ่มองครักษ์คุ้มกันรอบๆ รถม้า
สำหรับสาวงามที่ไม่มีใครเทียบได้ทั้งสองที่อยู่ต่อหน้าเขาก็ล้วนมีภูมิหลังยิ่งใหญ่
คนที่ใส่ชุดสีแดง คือองค์หญิงคนปัจจุบันของเมืองเป่ยสุ่ย...หลิวหงเหยียน!
คนที่ใส่ชุดสีขาว คือคนสนิทคนแรกของหลิวหงเหยียน และยังเป็เพื่อนที่ดีที่สุดที่เติบโตมากับเธอั้แ่ยังเด็ก...เสวี่ยปิงหนิง!
สถานที่ที่เขาเดินทางไปเรียกว่าดินแดนเหยียนหวง
ดินแดนเหยียนหวงมีอาณาจักรใหญ่สองแห่ง และเมืองเล็กๆ อีกแปดร้อยเมือง
เมืองเป่ยสุ่ยเป็แค่หนึ่งในเมืองเล็กๆ แปดร้อยเมืองนั้น
และยังมีชื่อผู้ยิ่งใหญ่ของโลกเทพเ้าที่กว้างขวาง เพราะหลิวหงเหยียนและเสวี่ยปิงหนิงยังพูดถึงจีฉาง ตัวตนของพวกเขาไม่ใช่ซีป๋อโหว แต่เป็จักรพรรดิแห่งอาณาจักรโจวที่ก้าวทันอาณาจักรซาง และเจียงจื่อหยา เขาเป็จอมพลแห่งอาณาจักรโจว ได้รับการยอมรับว่าเป็หนึ่งในอัจฉริยะที่น่าทึ่งและยอดเยี่ยมที่สุดในดินแดนเหยียนหวงใน่พันปีที่ผ่านมา
“องค์หญิง พ่อของข้าจากไปแล้วจริงหรือ” หลัวเลี่ยกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนึ่ง นั่นคือถ้าพ่อแม่ของท่านอ๋องน้อยตัวจริงยังอยู่ บางทีอาจพบว่าเขาเป็ตัวปลอม
หลิวหงเหยียนถอนหายใจและพูดเบาๆ “หลัวเลี่ย ต่อไปตอนที่ปลอดคนแล้วเ้าเรียกข้าว่าพี่สาวเถอะ พ่อแม่ของเ้า ทั้งคู่เสียชีวิตเพื่อช่วยข้า ครั้งนี้ข้าไปอย่างลับๆ เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นสังเกตเห็น ข้าปล่อยให้เ้าออกไปล่าสัตว์แล้วซ่อนตัวอยู่ในนี้ แต่ก็ถูกค้นพบจนได้ เพื่อหลอกล่อคนอื่น เ้าไม่เพียงแต่พบอันตราย หากยังได้รับาเ็ที่หัวจนสูญเสียความทรงจำ ข้าติดหนี้เ้าแล้ว”
“เพื่อองค์หญิง อ้อ ไม่ใช่สิ เพื่อพี่สาว ให้บุกนำลุยไฟที่ไหน ข้าน้อยก็เต็มใจ” หลัวเลี่ยหลังได้ยินว่าพ่อแม่ของท่านอ๋องน้อยไม่อยู่แล้ว ก็หมายความว่าเขาจะไม่ถูกเปิดเผย ดังนั้นสติของเขาก็กลับมา เขาตบที่หน้าอกและพูดอย่างมีน้ำใจ
“คิดไม่ถึงเลยว่า หลังจากเ้าความจำเสื่อมจะแตกต่างไปจากเดิมมากจริงๆ เมื่อก่อนเ้าน่าเบื่อมาก" หลิวหงเหยียนกล่าว
หลัวเลี่ยพึมพำ "แตกต่างแน่นอน ข้าทั้งสูง รวย หล่อ"
หลิวหงเหยียนถาม “เ้าพูดอะไร”
“เปล่า ข้าแค่กำลังคิดว่าจะฝึกวรยุทธ์ดีไหม” หลัวเลี่ยพูดความคิดจริงๆ ในหัวออกมา
จากการแนะนำของหลิวหงเหยียนและเสวี่ยปิงหนิง หลัวเลี่ยได้เรียนรู้ว่า ดินแดนเหยียนหวงเป็โลกที่การใช้กำลังภายในในการต่อสู้เป็สิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ที่นี่ไม่ได้มองที่ศักดินา แต่ให้มองการเผชิญหน้ากับจักรพรรดิด้านวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุด ชีวิตของพวกเขาจะอยู่หรือตายก็ได้ตามใจปรารถนาทั้งนั้น
ดังนั้นอยากเป็อิสระก็ต้องแข็งแกร่งให้พอ
แน่นอนว่าหลัวเลี่ยก็มีความคิดเช่นนั้น เขาเคยเป็นักเรียนที่อ่อนแอมาก่อน ดังนั้นเมื่อมาที่นี่แล้วเขาคิดจะเป็นักเรียนผู้นำ ถ้าเขาไม่ได้เป็จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ อย่างน้อยก็ควรจะกลายเป็ที่เคารพบูชาของทุกชีวิต
“เ้าเต็มใจที่จะฝึกวรยุทธ์?” หลิวหงเหยียนกล่าวอย่างมีความสุข
เสวี่ยปิงหนิงก็ยังแสดงความประหลาดใจ
หลัวเลี่ยกล่าว “ข้าไม่ชอบฝึกหรือ”
“เ้าเคยเกลียดวรยุทธ์มาก ดังนั้นสิ่งตกทอดจากอ๋องหนานหลี่จึงมีแค่ความว่างเปล่า เ้าเป็ได้แค่คนธรรมดา” หลิวหงเหยียนยิ้ม “ดูเหมือนว่าการความจำเสื่อมของเ้าในครั้งนี้จะมีประโยชน์อยู่”
"ตอนนี้ข้าสนใจวรยุทธ์มาก หากวันหนึ่งข้าสามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้า เคลื่อนูเาและทะเล หยิบดาวและดวงจันทร์ได้ แค่คิดก็หล่อแล้ว” หลัวเลี่ยมองไปข้างหน้า
"เ้าแค่อยากหล่อหรือ"
“ถ้าไม่หล่อแล้วจะจีบสาวได้อย่างไร อ้อ ไม่ ไม่ใช่ ถ้าไม่หล่อจะปกป้องพี่หงเหยียนจากคนที่หมายปองท่านเ่าั้ได้อย่างไร ลองคิดดูสิ เวลามีคนหล่ออย่างข้ายืนอยู่ข้างๆ พี่สาว แล้วคนเ่าั้มองดูตัวเอง ก็คงละอายใจและยอมแพ้”
หลิวหงเหยียนยิ้มและส่ายหัว "พี่สาวขอบใจเ้ามาก” เธอเอื้อมมือหยิบตำราออกมาจากกระเป๋าเฉียนคุณที่เอวของเธอ “ข้าบังเอิญมีแบบฝึกที่สืบทอดกันมาจากครอบครัวของเ้า ที่เมื่อก่อนเ้าไม่ชอบและให้ข้าเก็บไว้ นี่คือตำราฝึกร่างกายหนานหลี่”
หลัวเลี่ยเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา แต่จู่ๆ ก็มีคำหนึ่งคำผุดขึ้นมาในหัวของเขา
การฝึกร่างกาย ต้องฝึกตำราเทียนหลงเซียงก่อน
การปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันของคำนี้ ดูเหมือนจะอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำของหลัวเลี่ย ซึ่งทำให้เขานึกถึงความฝันของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งโดยไม่รู้ตัว เพราะเขาไม่เคยได้ยินเื่เช่นสถานะของการฝึกวรยุทธ์ ตำราเทียนหลงเซียง และอื่นๆ มาก่อน นี่คงเป็สิ่งลึกลับที่ในความฝันของเขา ที่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์แตกสลายและรวมเข้ากับร่างกายทำให้เขามีความทรงจำเช่นนี้ได้
เขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์นำมาจะเป็ของจริงหรือไม่ เขาจึงพยายามพูดว่า "ข้า้าฝึกฝนตำราเทียนหลงเซียง"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้