ในขณะที่ติงเหว่ยกำลังวาดรูปเล่นบนกระดาษก็เห็นท่าทางถูกอกถูกใจเช่นนั้นของต้าหวา ทันใดนั้นนางก็มีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในสมองของนาง
ไหนๆ ก็ต้องทำของเล่นให้อันเกอเอ๋อร์อยู่แล้ว เหตุใดไม่เปิดร้านขายของเล่นเด็กสักแห่งหนึ่งล่ะ ถึงแม้ชาวบ้านในยุคสมัยนี้จะใช้ชีวิตค่อนข้างลำบาก แต่สำหรับพ่อแม่แล้วต่อให้จะลำบากขนาดไหนก็ไม่ลืมที่จะรักลูก ยิ่งไปกว่านั้นในเมืองมีครอบครัวที่ร่ำรวยไม่น้อย กิจการนี้เองก็ใช้ต้นทุนต่ำ ร้านก็เป็ของครอบครัวนางเอง ดูแล้วแทบจะหาเงินได้โดยไม่ต้องกลัวขาดทุน
ติงเหว่ยยิ่งคิดถึงเื่นี้มากเท่าไรก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น นางหยิบกระดาษแผ่นใหม่ออกมาและจดรายการของเล่นที่พอจะนึกออกได้ทั้งหมดลงไปหนึ่งรอบ นางตั้งปณิธานว่าั้แ่พรุ่งนี้เป็ต้นไปต่อให้กิจการจะล้มเหลวจริงๆ ก็เก็บของเอาไว้ให้ลูกของนางเล่นก็ได้ อย่างไรก็ไม่ถึงขั้นปล่อยไว้จนฝุ่นจับอยู่แล้ว
พอมีเื่ยุ่งๆ มากมายให้ทำ วันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากหิมะตกหนัก โลกทั้งใบก็กลายเป็สีขาวโพลนไปหมด และวันส่งท้ายปีเก่าก็ผ่านไปพร้อมกับหิมะสีขาวเช่นกัน
ในเช้าตรู่ของวันปีใหม่ มีเศษประทัดร่วงกระจัดกระจายอยู่หน้าบ้านทุกหลังในที่ราบลุ่มระหว่างูเาแห่งนี้ เหล่าผู้าุโในบ้านต่างก็พาเด็กๆ ออกไปเดินเล่นในหมู่บ้าน และพากันไปคารวะผู้ใหญ่ พวกผู้ใหญ่ก็ดื่มชาสักแก้วพลางกินเมล็ดแตงโมและถั่วลิสง ส่วนเด็กที่ซุกซนทั้งหลายต่างก็ดีใจที่ได้รับอั่งเปาที่ใส่เงินไว้สองเหวิน พวกเขาต่างก็ยิ้มราวกับเก็บโก่วโถวจิน [1] ได้
อู๋ต้าเชิ่งเป็คนที่มีไหวพริบดีและเชื่อฟัง เขาอวยพรปีใหม่ที่จวนสกุลอวิ๋นก่อน ท่านลุงอวิ๋นเองก็ไม่ใช่จะไม่รู้จักปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ เขาได้ให้หลินลิ่วมอบของขวัญปีใหม่ชิ้นใหญ่ให้แก่สกุลอู๋ตั้งนานแล้ว ตอนนี้ก็ให้อั่งเปาใบใหญ่แก่ลูกๆ ทั้งสองคนของสกุลอู๋อีก ดังนั้นทำให้เวลาที่ทั้งสองคนคุยกันก็มีความสนิทสนมและเข้ากันได้ดี
หลังออกจากจวนสกุลอวิ๋น ลูกชายทั้งสองของอู๋ต้าเชิ่งคิดไปเองว่ากำลังจะไปบ้านคนอื่นต่อ นึกไม่ถึงว่าพ่อของพวกเขากลับมุ่งตรงไปที่บ้านสกุลติง
ผู้าุโติงเดิมทีคิดว่าจะไม่มีใครมาอวยพรปีใหม่เสียแล้ว ในขณะที่เขากำลังพาลูกชายทั้งสองคนเดินดูรอบๆ บ้านทั้งข้างหน้าและข้างหลัง เพื่อวางแผนสร้างกำแพงบ้านขึ้นมาใหม่ใน่ต้นฤดูใบไม้ผลิ ปรากฏว่าอู๋ต้าเชิ่งและลูกรวมกันสามคนได้มาที่บ้าน พวกเขาจึงได้รับการต้อนรับจากครอบครัวสกุลติงอย่างอบอุ่นไปโดยปริยาย
ผู้าุโติงนึกถึงตอนที่ผู้ใหญ่บ้านดูแลครอบครัวของเขา เขาเลยตั้งใจว่าจะต้องให้อู๋ต้าเชิ่งอยู่กินข้าวเที่ยงและดื่มเหล้าต่อให้ได้ อู๋ต้าเชิ่งเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขาส่งลูกชายที่ได้อั่งเปาซองใหญ่กลับไปที่บ้านก่อนและบอกกับฮูหยินของเขา จากนั้นก็ดื่มอยู่ที่บ้านสกุลติงอย่างมีความสุข
คงไม่ต้องพูดถึงว่าบ้านสกุลติงจะคึกคักขนาดไหน แค่พูดว่าในจวนสกุลอวิ๋นยังคงเงียบสงัดเหมือนดั่งที่เคยเป็มาตลอด
ติงเหว่ยผู้ควบคุมที่แสนเข้มงวดกลับปล่อยให้กงจื้อิพักผ่อนได้หนึ่งวัน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดอันเกอเอ๋อร์ถึงได้ชอบปีนขึ้นไปเล่นอยู่บนหน้าท้องของท่านพ่อของเขานัก ติงเหว่ยเคยลองพยายามอุ้มเขาลงมา แต่ทุกครั้งเขาก็จะร้องไห้งอแงเสียงดัง ท้ายที่สุดจึงทำได้เพียงปล่อยให้เขาเกาะอยู่บนกงจื้อิราวกับเป็ลิงตัวอ้วนๆ
กงจื้อิใช้มือข้างหนึ่งอุ้มลูกชายของเขา และอีกมือหนึ่งก็พลิกดูสมุดบัญชีที่ติงเหว่ยคำนวณไว้เสร็จแล้ว บางครั้งที่เขาเงยหน้าขึ้นมาเห็นติงเหว่ยที่กำลังพูดอธิบายให้เฟิงจิ่วฟังอยู่ เขาก็รู้สึกงุนงงไปชั่วขณะหนึ่ง
ในตอนที่กงจื้อิยังเด็ก ทั้งท่านปู่ ท่านพ่อ และท่านแม่ต่างก็ยังมีชีวิตอยู่ วันหยุดใน่เทศกาลปีใหม่จวนสกุลกงจื้อมักจะเสียงดังและวุ่นวายอยู่เสมอ เรือนแต่ละหลังก็เต็มไปด้วยคนรู้จักและคนแปลกหน้า
แม้แต่เรือนที่คนรับใช้อาศัยอยู่ก็ไม่ได้เงียบสงบขนาดนั้น แต่หลังจากผ่านไปหลายปี ในบ้านที่เงียบสงบและเรียบง่ายเช่นนี้ เขากลับรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไม่อาจอธิบายได้ในใจ
บางทีอันเกอเอ๋อร์อาจไม่พอใจที่ท่านพ่อของเขาไม่สนใจตน ปากเล็กๆ ที่มีน้ำลายไหลออกมาก็กัดไปที่หน้าของท่านพ่ออย่างแรงหนึ่งคำ กงจื้อิใจนได้สติกลับมา จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “เ้าเด็กน้อย ช่างเป็เด็กที่กล้าหาญจริงๆ!”
ติงเหว่ยได้ยินเสียงแล้วก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นผู้ใหญ่หนึ่งและเด็กอีกหนึ่งกำลังยิ้มอย่างสดใส ความรู้สึกแปลกๆ เ่าั้ย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง หรือว่านางหลงผิดไปเองอย่างนั้นจริงๆ หรือ? นางเองก็เคยสอบถามกับอวิ๋นอิ่งและเฟิงจิ่ว ในตอนที่นางเพิ่งเริ่มตั้งครรภ์่แรก สกุลอวิ๋นยังอยู่ที่เมืองหลวงทั้งหมด ไม่มีทางที่พวกเขาจะเคยเจอกันได้เลย
ว่ากันว่าความคิดที่แสดงออกมาเป็ผลมาจากจิตใจ หรือว่าจะเป็เพราะใช้เวลาด้วยกันมากขึ้นจริงๆ อันเกอเอ๋อร์ถึงได้ค่อยๆ โตไปเหมือนคนอื่นแล้ว?
นางส่ายศีรษะไปมา เื่นี้ทำอย่างไรก็คิดไม่ตกสักทีจึงทำได้แค่พักไว้ข้างหลังก่อนชั่วคราว จากนั้นนางก็คุยกับเฟิงจิ่วเื่การขัดกันของฟันเฟือง จากนั้นก็เริ่มพูดเื่หลักการในการหมุนของมันขึ้นมา
แต่เฟิงจิ่วเพิ่งจะเคยฟังหลักการนี้เป็ครั้งแรก ทำอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใจได้สักที ติงเหว่ยพูดจนคอแห้งไปหมด ดวงตาของเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยความงุนงง
ในขณะที่ติงเหว่ยไม่รู้จะทำอย่างไร กงจื้อิที่เพิ่งกล่อมให้อันเกอเอ๋อร์นอนหลับไปก็พูดว่า “เอามาให้ข้าดูสิ กลไกอะไรถึงได้ซับซ้อนขนาดนั้น?”
ราวกับว่าเฟิงจิ่วได้รับการอภัยโทษอย่างไรอย่างนั้น เขารีบลุกขึ้นและส่งรูปให้กงจื้อิอย่างรวดเร็ว
“นายน้อย พี่ติงบอกว่าเมื่อล้อเหล่านี้ประกอบเข้าด้วยกัน รถม้าก็สามารถวิ่งได้ด้วยตนเอง ข้าน้อยฟังยังไงก็ไม่เข้าใจจริงๆ…”
กงจิ้อิที่ตอนแรกยังไม่ได้สนใจเท่าไร แต่เมื่อเขาหยิบภาพวาดนั้นขึ้นมาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งดวงตาของเขากลับทอประกายขึ้นมา ในขณะที่เขากำลังหันไปมองติงเหว่ยสีหน้าของเขาก็มีความสงสัยสามส่วนและประหลาดใจอีกเจ็ดส่วน
“ภาพวาดนี้เ้าเป็คนวาดอย่างนั้นหรือ?”
“เอ่อ” ติงเหว่ยถูกถามจึงตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง นางรู้สึกว่าภาพวาดนี้ไม่มีอะไรผิดปกติเกินไป นางจึงพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?”
“ไม่มี ถูกต้องเกินไปต่างหาก” กงจื้อิโบกมือให้เฟิงจิ่วออกไป เมื่อในห้องเหลือแค่ครอบครัวของพวกเขาสามคน เขาจึงพูดว่า “ภาพวาดภาพนี้เ้าเคยให้คนอื่นดูหรือไม่?”
“ไม่มี เดิมทีข้าอยากจะส่งไปให้พี่รองของข้า แต่่หลังมานี้เกรงว่าร้านของเขากำลังยุ่งมากก็เลยหยิบมาให้เฟิงจิ่วคิดและลองทำออกมาดูสักหน่อย”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี ต่อไปจำไว้ว่าอย่าให้ใครดูภาพวาดเหล่านี้เป็อันขาด”
ติงเหว่ยมองไปที่กงจื้อิที่มีสีหน้าเคร่งขรึม ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่นางก็ยังคงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของลูกชายนาง “แต่ข้ายังต้องทำของเล่นให้อันเกอเอ๋อร์...”
“ถ้าเช่นนั้นก็ทำอย่างอื่น ตราบใดที่การออกแบบเกี่ยวข้องกับฟันเฟืองและกลไกจะไม่สามารถเผยแพร่ออกไปได้” กงจื้อิไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่นิดเดียว และบางทีเขาอาจคิดว่าตนเองเอาแต่ใจเกินไปจึงพูดอธิบายเพิ่มอย่างง่ายๆ ว่า “ข้ากำลังพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารชนิดหนึ่งอยู่ ภาพวาดนี้มีประโยชน์มาก”
หลังจากพูดจบ เขาก็รีบพูดสำทับว่า “แน่นอนว่าภาพวาดนี้จะเอาไปใช้เฉยๆ ไม่ได้ เดี๋ยวให้ท่านลุงอวิ๋นแบ่งร้านให้เ้าอีกสักสองร้าน เ้าสามารถเลือกสถานที่ที่้าได้เลย”
“ไม่ๆ” ติงเหว่ยรีบโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว ก็แค่ภาพวาดของเล่นภาพหนึ่งเท่านั้นเอง จะไปมีค่าถึงร้านค้าตั้งสองแห่งได้อย่างไร อีกอย่างสกุลอวิ๋นเองก็ปฏิบัติต่อนางสองแม่ลูกอย่างดีมาโดยตลอด ต่อให้นางจะรักเงินมากขนาดไหน แต่ก็ไม่สามารถที่จะไม่มีหลักการได้
“ในเมื่อนายน้อยเห็นว่ามีประโยชน์ก็เอาไปใช้ได้เลย ท่านลุงอวิ๋นได้ให้บ้านหนึ่งหลังและร้านค้าอีกสองแห่งแก่ข้าตั้งนานแล้ว ซึ่งเพียงพอให้พวกเราสองแม่ลูกใช้ในการเลี้ยงชีพ หากนายน้อยมอบทรัพย์สินให้อีกข้าเกรงว่าพวกเราจะรับเอาไว้ไม่ได้ อีกอย่างกลไกง่ายๆ เช่นนี้ ข้ายังพอรู้อยู่บ้าง เดี๋ยวรอให้ข้านึกออกชัดเจนแล้วจะวาดเอามาให้ใหม่”
กงจื้อิพยักหน้า จากนั้นก้มศีรษะลงและเริ่มนึกถึงภาพวาดอีกครั้ง ติงเหว่ยแอบรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย ั้แ่ที่นางมาอยู่ที่ยุคสมัยนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางเข้าไปยุ่งล้วนมีแต่เื่เล็กเช่น การทำอาหาร การเปลี่ยนรูปแบบเครื่องใช้ในครัวเรือน นางได้รับผลประโยชน์โดยที่ไม่เคยทำร้ายใคร ทว่าวันนี้ภาพวาดที่นางได้ให้ไป หากว่าทำอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารจริงๆ บางทีในอนาคตอาจมีคนนับไม่ถ้วนต้องตาย นี่ถือว่าเป็ไปตามทฤษฎีผลกระทบผีเสื้อ [2] ใช่หรือไม่ ถ้าใช่จะทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่หรือเปล่า?
เมื่อคิดเช่นนี้ติงเหว่ยก็รู้สึกสับสนมาก นางก้าวไปข้างหน้าและห่อผ้าให้ลูกชายที่กำลังหลับอยู่อย่างเงียบๆ จากนั้นก็ค่อยๆ ออกจากห้องไป
มือของกงจื้อิที่กำลังขีดเขียนและวาดรูป เมื่อเขาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของประตูก็เงยหน้าขึ้นมามองและถอนหายใจ “หรือเป็เพราะหญิงคนนั้น...”
……
ติงเหว่ยไม่รู้ว่านางแค่มีความสงสัยอยู่ในใจ หรือว่าความจริงแล้วก็เป็เช่นนั้นจริงๆ นางมักจะรู้สึกว่าั้แ่วันที่นางให้ภาพวาดนั้นไป จวนสกุลอวิ๋นก็แปลกประหลาดเป็อย่างมาก ตอนกลางวันยังเงียบสงบเหมือนเช่นทุกวัน แต่พอถึงเวลากลางคืนกลับมีคนเข้าออกมากมาย นางพยายามอดทนอย่างถึงที่สุดที่จะไม่ไปแอบเปิดหน้าต่างดู
แต่โชคดีที่ทุกคนในจวนสกุลอวิ๋นยังคงปฏิบัติต่อนางเช่นเดิม และนางก็ค่อยๆ ตำหนิตนเองว่าจะไปยุ่งเื่ของคนอื่นทำไม ไม่ต้องพูดถึงว่าก่อนที่นางจะตกลงลงนามในสัญญาจ้างงานก็รู้อยู่แล้วว่าจวนสกุลอวิ๋นมีอะไรแปลกๆ หรือต่อให้วันนี้เพิ่งจะรู้แล้วมันจะสำคัญอะไร อย่างไรนางก็เป็แค่แม่ครัวคนหนึ่ง ตั้งใจทำงานให้คู่ควรต่อเงินเดือนที่ได้รับก็พอแล้ว
เมื่อคิดเช่นนี้ นางจึงรวบรวมสมาธิอีกครั้งและเริ่มศึกษาเื่บำรุงสุขภาพด้วยอาหารกับซานอี ศึกษาระดับการฟื้นตัวของกงจื้อิ หรือเมื่อไรที่นางควรจะเปลี่ยนเป็ฝึกใช้ไม้คำยันทั้งสองข้างต่อ และบางครั้งหากมีเวลาก็ยังต้องทบทวนผลงานทั้งหมดของเฟิงจิ่วใน่ที่ผ่านมา แล้วนางก็กำลังพิจารณาว่าจะให้เฉิงต้าโหยวแบ่งพื้นที่กึ่งหนึ่งในร้านผ้าไหมเพื่อใช้ทดลองขายของเล่นดูสักหน่อย
เด็กจอมซุกซนเ่าั้ง่ายต่อการโดนหลอกไม่ว่าจะเป็ตัวต่อไม้หลากสี ไพ่สีต่างๆ กระดานปาเป้า ตัวต่อขนาดใหญ่ และเกมปริศนาต่างๆ ของทุกอย่างที่หยิบออกมาต่างก็ทำให้พวกเขาเล่นอย่างเพลิดเพลินเป็เวลานาน แต่ของเล่นสำหรับเหล่าเด็กผู้หญิงต้องใช้ความคิดและความพยายามสักเล็กน้อย โชคดีที่หลินลิ่วเป็คนขยันขันแข็งขนเป็ดที่เขาหามารวมไว้ทั้งก่อนและหลังปีใหม่ ติงเหว่ยก็นำมาเย็บเป็ตุ๊กตากระต่าย ขนาดของมันพอให้อันเกอเอ๋อร์สามารถกอดไว้ในอ้อมแขนได้พอดี ปรากฏว่าอันเกอเอ๋อร์เอาตุ๊กตากระต่ายเป็ลูกอมและกัดกินมันอย่างบ้าคลั่ง ทว่ากลับทำให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็หญิงชราหรือเด็กหญิงก็มองเขาด้วยความเอ็นดู
ท่านป้าหลี่เข้ามาส่งผลไม้เชื่อมแช่แข็งให้กับติงเหว่ยพอดี เสี่ยวชิงเองก็ตามมาด้วยโดยปริยาย ทั้งสองคนเห็นกระต่ายในมือของอันเกอเอ๋อร์ต่างก็พากันอุทานว่าน่ารัก และแย่งมันออกไปจากมือของอันเกอเอ๋อร์อย่างหน้าไม่อาย ท่านป้าหลี่ส่งกลับคืนให้ แต่เสี่ยวชิงเกือบจะกอดไว้ไม่ยอมปล่อยมือ แม้แต่อวิ๋นอิ่งที่กำลังยุ่งอยู่กับการรินชาอยู่ด้านข้างก็แอบเหลือบมองตุ๊กตากระต่ายเป็ระยะๆ
ติงเหว่ยเห็นแล้วก็หัวเราะออกมา นางจึงพูดทันทีว่า “กระต่ายตัวนี้ถูกอันเกอเอ๋อร์เคี้ยวจนเต็มไปด้วยน้ำลายหมดแล้ว คงไม่เหมาะที่จะให้แก่พวกเ้า เดี๋ยวรอข้าคิดรูปแบบอื่นๆ ออกมาได้ข้าจะให้พวกเ้าคนละหนึ่งตัว”
“จริงหรือ?” เสี่ยวชิงเป็คนแรกที่ดีใจจนะโออกมา “พี่ติงเป็คนดีที่สุดเลย ข้าอยากได้ตัวใหญ่ๆ เอาไว้นอนกอดตอนกลางคืน”
ท่านป้าหลี่ก็มีความสุขและพูดติดตลกว่า “เหตุใดเ้าไม่รีบแต่งงานกับชายหนุ่มเร็วๆ ล่ะ ตอนกลางคืนจะได้ไม่ขาดคนกอดเ้า และแม่นางติงเองก็ไม่ต้องเย็บปักถักร้อยอีกด้วย!”
“ไอ๊หยา ท่านป้า ท่าน...” เสี่ยวชิงกระทืบเท้าด้วยความเขินอาย นางหันหลังกลับแล้ววิ่งออกไป “ข้าจะไม่สนใจท่านอีกแล้ว!”
ทุกคนต่างก็หัวเราะออกมา ติงเหว่ยวาดคิตตี้หนึ่งตัวและสนูปี้หนึ่งตัวลงไปบนกระดาษอย่างไม่ได้ตั้งใจ อวิ๋นอิ่งตกหลุมรักสนูปี้ในทันที และนางก็พูดออกมาอย่างหาได้ยากยิ่งว่า “แม่นาง ข้าอยากได้อันนี้”
“ตกลง อีกเดี๋ยวค่อยไปหาผู้ดูแลหลินให้เขาเอาหนังกระต่ายสีขาวและสีดำมาให้เพิ่มอีกสักหน่อย เอาแบบจับแล้วลื่นๆ นุ่มๆ เวลากอดจะได้สบายสักหน่อย”
“ตกลง ข้าจะไปหาเดี๋ยวนี้” อวิ๋นอิ่งวางกาน้ำชาแล้วไปหาหลินลิ่ว ทิ้งให้ท่านป้าหลี่คอยช่วยติงเหว่ยแบ่งเส้นด้าย
ติงเหว่ยคิดว่าหากร้านเปิดแล้วนางคงจะยุ่งมาก ตนเองจะต้องทำไม่ทันอย่างแน่นอนจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านป้า ข้าอยากขายของเล่นพวกนี้ที่ร้านของครอบครัวข้า แต่ข้าเองก็เย็บไม่ค่อยเก่งเท่าไร หากว่าหาคนไม่ได้จริงๆ ตอนกลางคืนหากท่านป้าหลี่ไม่มีธุระอะไรก็มาช่วยข้าหน่อยนะ!”
ท่านป้าหลี่เป็คนมีน้ำใจอยู่แล้ว และติงเหว่ยก็ปฏิบัติต่อครอบครัวของพวกเขาเป็อย่างดี ดังนั้นนางจึงตอบตกลงอย่างรวดเร็วว่า “ได้สิ หากเ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกข้ามาได้เลย”
ในความคิดของนาง ติงเหว่ยและลูกก็ใช้ชีวิตลำบากไม่น้อย ทุกวันนี้เกรงว่าพวกเขาพยายามเก็บเงินไว้เพื่อใช้สำหรับแผนการในอนาคต ส่วนนางก็แค่อยากจะช่วยเหลือก็เท่านั้น แต่นางไม่รู้เลยว่าการตอบตกลงรับปากในวันนี้จะนำไปสู่รายได้มหาศาลให้กับแต่ละครอบครัวในอนาคต...
ติงเหว่ยเองก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ นางขยับเข็มในมือไปมาไม่นานก็เย็บตุ๊กตาธรรมดาออกมาได้หนึ่งตัว ใบหน้าสีขาว คิ้วและดวงตาดำขลับ แก้มสีชมพูอ่อน ปากเล็กๆ สีแดง มือและเท้าครบถ้วน เมื่อเอาไปวางไว้บนเตียงเตาก็ดูเหมือนกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่ถูกย่อส่วนไปหลายเท่าไม่มีผิด
-----------------------------------------
[1] โก่วโถวจิน 狗头金 หมายถึง ทองรูปหัวสุนัข เป็ก้อนทองธรรมชาติแต่ไม่บริสุทธิ์และยังไม่ได้หลอม
[2] ทฤษฎีผลกระทบผีเสื้อ(Butterfly Effect) 小蝴蝶扇动翅膀 คือ ทฤษฎีที่พยายามอธิบายเหตุผลที่เกิดความยุ่งเหยิง เป็แิที่ใช้อธิบายความซับซ้อนของการมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ จนเกิดผลกระทบที่เปลี่ยนแปลงออกไปแบบคาดไม่ถึง หลายครั้งเราได้ยินคนเรียกทฤษฎีนี้ว่า ทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีก โดยมาจากแิที่ว่า เื่เล็กในบางโอกาส ก็อาจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต เช่น การที่ผีเสื้อตัวเล็กกระพือปีกในที่หนึ่งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศถึงขนาดเป็พายุใหญ่ขึ้นมาได้ หรือที่รู้จักกันในภาษาไทยว่า ‘เด็ดดอกไม้ะเืถึงดวงดาว’