“ยุคสมัยสงบเงียบ ชีวิตนี้มั่นคง [1]”
ทัศนียภาพหมู่บ้านเล็กๆ ที่สงบเงียบไม่ว้าวุ่น ประโยคที่คุ้นเคยเป็อย่างดีที่ปรากฏอยู่ในสมองของเจินจู อดกล่าวออกมาตามใจปากทันทีไม่ได้
“น้องสาวเจินจู… เ้า… รู้หนังสือ?” กู้ฉีใเล็กน้อย การสนทนาด้วยไม่กี่ครั้งก่อนหน้านี้ ก็สังเกตเห็นว่ากิริยาท่าทางและรูปแบบการพูดจาของเด็กสาวไม่เหมือนกับเด็กทั่วไปของครอบครัวชนบท
“อ่า… เอ่อ… ได้นิดหน่อย ฮ่าๆ” เจินจูหัวเราะขึ้น โธ่ ดูเอาเถิด เด็กสาวหมู่บ้านชนบทหนึ่งคนจะแสร้งสำเนียงเ้าบทเ้ากลอนได้ที่ไหนกัน เช่นนี้จึงต้องอธิบายอีกหนึ่งครั้ง “ข้ามีลูกพี่ลูกน้องฝ่ายแม่ที่บ้านอยู่ห่างไกลเคยเล่าเรียนโรงเรียนส่วนตัวอยู่สองสามปี ตอนนี้เขามาอยู่ที่บ้านข้าเป็การชั่วคราว ทุกวันจะสอนพวกข้าเล่าเรียนหนังสือรู้ตัวอักษร ดังนั้นเด็กในบ้านล้วนรู้หนังสืออยู่บ้างเล็กน้อย”
มิน่าเล่า บนกายนางจึงมีท่าทางไม่ดูหยิ่งยโสแต่ก็ไม่ทำให้ตนเองต่ำต้อย ใจกล้ามีความมั่นใจในตัวเอง สายตาเ้าเล่ห์มีชีวิตชีวา วาจาคล่องแคล่วโน้มน้าวใจคนเก่ง กู้ฉีพยักหน้ายิ้มเล็กน้อย “รู้จักบทประพันธ์ จำตัวอักษรได้ เข้าใจเหตุผล รู้จักผิดชอบชั่วดี เชิดชูคุณธรรมดีงาม ใฝ่หาความมีเมตตา ดีมาก”
“…”
นางเพียงไม่อยากเป็ผู้ใหญ่ที่ไม่รู้หนังสือเท่านั้นเอง
“เหมียว”
“เอ๋? เสี่ยวเฮย ทำไมเ้าวิ่งมาที่นี่?” เจินจูยอบกายลงไปช้อนตัวเสี่ยวเฮยที่วิ่งหนีออกมาจากบ้านขึ้นมาอุ้มไว้ในอ้อมอก
“เหมียวๆ” เสี่ยวเฮยคลอเคลียเจินจูด้วยความรักใคร่
“นี่เป็แมวบ้านเ้าหรือ?” กู้ฉีสังเกตมันอย่างละเอียดด้วยความสนใจอย่างมาก นี่เป็แมวขนสีดำสนิทหนึ่งตัว ขนเป็มันเงาลื่น ลักษณะร่างกายงามสง่ามีอำนาจ ลูกตาเขียวเข้มให้ความรู้สึกลึกลับอย่างมาก
เสี่ยวเฮยได้ยินเสียงของคนแปลกหน้า ดวงตามองอย่างดูถูกกู้ฉีแวบหนึ่ง รู้สึกได้ว่าไม่มีเจตนาร้าย หลังจากนั้นจึงกลับไปนอนในอ้อมอกของเจินจูอย่างไม่ให้ความสนใจ
“ใช่แล้ว เสี่ยวเฮยมาอยู่บ้านข้าได้สองสามเดือนแล้วล่ะ” เ้าแมวจอมี้เีนี่ เห็นได้ชัดว่าลักษณะร่างกายคล่องแคล่วแข็งแรง วิ่งขึ้นมายังเร็วกว่ากระต่ายนัก แต่ทั้งวันกลับชอบคลอเคลียมนุษย์อย่างเซื่องซึม “เสี่ยวเฮย เ้าวิ่งขึ้นเขามาทำอันใดอีกแล้ว? อุ้งเท้าสกปรกแล้วข้าจะไม่ช่วยอาบน้ำให้เ้านะ!”
“เหมียว” เสี่ยวเฮยประท้วง มันสะอาดอยู่แล้วน่ะ
“พอแล้ว รีบกลับบ้านไปเถิด อีกเดี๋ยวข้าให้หางหมูพะโล้เ้าหนึ่งอัน” เสี่ยวเฮยชอบทานเนื้อพะโล้มาก ไม่เพียงเพราะรสชาติอร่อย ยิ่งไปกว่านั้นคือเพื่อน้ำแร่จิติญญาที่นางเติมลงในพะโล้ หากไม่ใช่เจินจูเคยเตือนมันไว้ เสี่ยวเฮยก็คิดจะกินน้ำพะโล้ให้หมดทั้งหม้อเลย
“เหมียว” ทันใดนั้นเสี่ยวเฮยก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาฉับพลัน ยกหัวขึ้นหันมาร้องตอบเจินจูอย่างเอาใจ
“ไปเถิด กลับไปเอง หมู่นี้เ้ากินเนื้อเยอะเกินไปจนอ้วนหมดแล้ว จะอุ้มเ้าไม่ไหวอยู่แล้ว เคลื่อนไหวมากๆ หน่อยจะได้ไม่กลายเป็แมวจอมี้เีที่ทั้งอ้วนทั้งเทอะทะ” เจินจูหัวเราะแล้วจับมันโยน เสี่ยวเฮยะโลงมายืนอยู่บนพื้นทันที
ผู้อื่นยังไม่อ้วนเสียหน่อย เสี่ยวเฮยมองกลับไปที่นางอย่างโศกเศร้าเสียใจแวบหนึ่ง แล้วจึงก้าวย่างเข้าไปในป่าอย่างอ่อนช้อย
“พี่ชายกู้อู่ พวกเราก็กลับกันเถิด ที่นี่ลมแรงเล็กน้อย หมูเงียบไปเช่นนี้น่าจะจัดการเรียบร้อยแล้ว” เจินจูหันกลับมาร้องทักกู้ฉีและยิ้มให้เขา
“ได้” กู้ฉีค่อยๆ ยืนขึ้น ตามอยู่เื้ัของเจินจู ทั้งเดินไปด้วยและถามอย่างแปลกใจไปด้วย “ทำไมเสี่ยวเฮยของเ้าเดินไปทางด้านนั้นเล่า?”
“อ้อ ไม่ต้องสนใจมันหรอก มันเดินลัดกลับไปทางที่ใกล้ เร็วกว่าพวกเรามากนัก” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว
“มันฉลาดมากเลยนะ สามารถฟังคำของเ้าได้ ให้มันกลับไปก็กลับไปอย่างเชื่อฟัง” กู้ฉีร่างกายไม่ดี เพื่อหลีกเลี่ยงอาการเบื่อหน่ายและกลัดกลุ้มใจในยามที่เขาต้องอยู่บนเตียงเป็เวลานาน มารดาจึงให้เขาเลี้ยงนกแก้วนกขุนทองสองสามตัว มันเลียนแบบคำพูดคนให้ขบขัน แต่เขาไม่เคยเลี้ยงสุนัขและแมว ร่างกายเขาอ่อนแอมักจับไข้ไอจามอยู่บ่อยๆ ขนแมวและสุนัขที่ร่วงหล่นง่าย ไม่ระวังเพียงนิดก็จะทำให้อาการเจ็บป่วยรุนแรงขึ้น
“แหะๆ แมวปีศาจหนึ่งตัว ฉลาดมากนัก” แน่นอนว่าใกล้จะเปลี่ยนเป็ปีศาจแล้ว วันนั้นนางอยู่ที่กระท่อมกระต่ายกำลังหยิบซังข้าวโพดเลี้ยงกระต่าย เสี่ยวเฮยะโขึ้นมาแย่งไปแทะหนึ่งส่วน เจินจูมองอย่างพูดไม่ออกจริงๆ จึงจับมันไว้แล้วตักเตือนอยู่พักหนึ่งอย่างเ็ป เ้าเป็แมวหนึ่งตัว ไม่ใช่กระต่ายหนึ่งตัว
“สัตว์ที่บ้านเ้าเลี้ยงไม่น้อยเลย!” กู้ฉีอดอุทานออกมาไม่ได้ เขตที่พักอาศัยเล็กๆ ทั้งสัตว์ปีกและสัตว์อื่นๆ “มีแมว มีสุนัข มีกระต่าย แล้วยังมีไก่มีหมู…”
“ฮ่าๆ พอท่านกล่าวเช่นนี้ เหมือนว่าจะไม่น้อยจริงๆ แต่บ้านเราครอบครัวเกษตรกรล้วนเลี้ยงสัตว์ปีกเล็กน้อยเป็ธรรมดา ใช้เวลาในยามว่าง ทั้งสามารถขายหาเงินได้ ทั้งสามารถเป็อาหารได้ในบางครั้งเมื่อพวกเราหิว” เจินจูหัวเราะ ค่อยๆ เดินลงเนินลาด แล้วหันกลับมาบอกให้เขาระวัง “พี่ชายกู้อู่ ท่านระวังหน่อยนะ ต้องห้ามล้มเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอีกเดี๋ยวเ้าของร้านหลิวจะมาคิดบัญชีกับข้าเอาได้!”
“ได้” กู้ฉีเดินได้ช้ามาก ความสามารถในการก้าวเดินหนักหน่วงเล็กน้อย ลมหายใจค่อนข้างถี่ นานแล้วที่เขาไม่ได้เดินทางไกลเหมือนเช่นนี้ การเดินทางระยะหนึ่งที่สั้นมากสำหรับคนปกติ แต่สำหรับเขากลับไกลมากและยังลำบากอีกด้วย
เดินลงเนินลาดได้ไม่ง่ายเลย เขาเหนื่อยจนลมหายใจยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว
“แค่กๆ” กู้ฉีหยุดฝีเท้าลง ปิดริมฝีปากไอทันทีพักหนึ่ง สีหน้ายิ่งปรากฏความขาวซีด
“พี่ชายกู้อู่…” บนใบหน้าเจินจูปิดบังความกังวลไว้ไม่มิด ร่างกายของเขาที่อ่อนแอและป่วยบ่อยเช่นนี้ มิน่าเล่าที่คราก่อนไอเป็เืย้อมผ้าเช็ดหน้าจนเป็สีแดง หากไม่ใช่เพราะอาศัยผลเล็กๆ น้อยๆ ของผลิตผลจากมิติช่องว่าง เกรงว่าป่านนี้คงจะป่วยหนักเกินเยียวยาแล้วกระมัง
“แค่ก” กู้ฉีผ่อนลมหายใจที่กระชั้น รอยยิ้มจางๆ ลอยอยู่บนริมฝีปากที่ไม่มีสีเืเลยแม้แต่น้อย “ไม่เป็ไร อย่าได้กังวล ตอนนี้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากแล้ว”
“อืม… เดี๋ยวมันก็จะค่อยๆ ดีขึ้น” เจินจูยิ้มตอบเขาหนึ่งที แล้วกล่าวอย่างมั่นใจ
หลังจากสองคนพักอยู่ที่เดิมสักครู่ จึงกลับไปบ้านสกุลหูช้าๆ
“คุณชาย! ทำไมไปนานเช่นนี้ เหนื่อยแล้วกระมังขอรับ!” หลิวผิงที่มองไปรอบๆ อยู่หน้าประตูลานบ้านรีบเข้ามาประคองกู้ฉี
“ไม่เหนื่อย ข้าแค่ไปเดินเล่นริมเขา” กู้ฉีใบหน้าขาวซีด แต่น้ำเสียงกลับเ็า
“เ้าของร้านหลิว พวกท่านทานอิ่มแล้วหรือเ้าคะ?” เจินจูกวาดตาผ่านลานบ้านแวบหนึ่ง ไม่เห็นใครเลย คาดว่าต่างก็วิ่งไปดูการเชือดหมูหลังบ้านกันหมด
“ทานอิ่มแล้วล่ะ! ทานอย่างสบายใจเลย ขอบคุณการต้อนรับของแม่นางหู เนื้อพะโล้ของบ้านเ้าอร่อยมาก เผิงเฟยทานจนเกือบท้องจะปริแตกแล้ว” เ้าหนุ่มเฉินเผิงเฟยนั่น ท่าทางแทบอยากจะทานเนื้อพะโล้ที่อยู่เต็มโต๊ะเข้าไปในท้องทั้งหมด สุดท้ายทานลงไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงได้หยุดตะเกียบลงด้วยความขุ่นเคือง
หลิวผิงยิ้มส่ายหน้า ประคองกู้ฉีด้วยความระมัดระวังไปนั่งบนเก้าอี้หน้าห้องโถง
“ฮ่าๆ พวกท่านชอบก็ดีเลย อีกเดี๋ยวใส่โถให้พวกท่านนำกลับไป ให้แม่ครัวบ้านพวกท่านอุ่นสักนิดผัดสักหน่อยก็ทานได้แล้วเ้าค่ะ” เนื้อพะโล้บ้านตนเองได้รับการยอมรับ ความรู้สึกภายในใจของเจินจูก็รู้สึกดีอย่างมาก “พี่ชายกู้อู่ ท่านพักสักหน่อย ข้าจะเทน้ำร้อนให้ท่าน”
“ได้… ขอบคุณน้องสาว” บนใบหน้าขาวราวหิมะของกู้ฉีฝืนยิ้มขึ้น
เจินจูมองด้วยความปวดใจเล็กน้อย เด็กชายอายุสิบห้าสิบหก อยู่ใน่วัยกำลังรุ่งโรจน์ กลับเป็เพราะร่างกายทรุดโทรมใช้ชีวิตผ่านไปคล้ายคนชราที่ใบไม้ร่วงโรยในฤดูใบไม้ร่วง [2] เดินบนทางระยะหนึ่งก็ท่าทางซวนเซไม่คล่องแคล่วลมหายใจก็หนักหน่วง
ตักน้ำร้อนออกมาจากในครัวครึ่งถ้วย เจินจูลังเลใจอยู่เล็กน้อย แล้วจึงเติมน้ำแร่จิติญญาลงไปข้างในนิดหน่อย พื้นฐานร่างกายของเด็กชายแย่เกินไปจริงๆ เติมลงไปหน่อย ผลที่ได้น่าจะไม่ดีขึ้นอย่างชัดเจนจนเป็ที่สงสัยนัก
“พี่ชายกู้อู่ ดื่มน้ำร้อนอบอุ่นร่างกายก่อน” ยื่นถ้วยน้ำส่งไป หลิวผิงที่อยู่ด้านข้างกล่าวขอบคุณแล้วรับมาทันที ััระดับความร้อนเล็กน้อย แล้วจึงส่งให้กู้ฉี
“พวกทานพักก่อน ข้าไปดูข้างหลังสักหน่อย ว่าหมูจัดการเสร็จแล้วหรือไม่” เจินจูยิ้มแล้วเดินมุ่งไปทางหลังบ้าน
กู้ฉีมองเงาของร่างเล็กที่จากไป รอยยิ้มบนใบหน้าจึงหุบลง ระยะทางสั้นๆ ที่เดินไปแล้ว หัวใจเขาเต้นหวิวอย่างรุนแรง ขาและเท้าปวดเมื่อยปวกเปียกแขนขาทั้งสี่ไร้เรี่ยวแรง ช่องท้องเหือดแห้งอบอ้าวหายใจเข้าออกล้วนลำบากเล็กน้อย
“คุณชายขอรับ สีหน้าท่านแย่นัก เหนื่อยแล้วกระมัง ถนนหนทางูเาที่นี่สูงและชันมีหินระเกะระกะมากมาย ถนนก็เดินได้ลำบาก” หลิวผิงอดโทษตัวเองในใจไม่ได้ เหตุใดตนไม่ตามไปด้วย ไม่ง่ายเลยที่คุณชายจะรักษาตัวดีขึ้นมาหน่อย ออกมาเที่ยวก็ทำให้เหนื่อยเข้าอีกแล้ว กลับไปพ่อบ้านกู้ควรตำหนิเขาอย่างยิ่ง
กู้ฉีส่ายหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง กุมถ้วยลายครามสีขาวรู้สึกอุ่นอยู่ในมือ น้ำร้อนในถ้วยใสบริสุทธิ์ ไอน้ำแผ่คลุมคล้ายกับมีพลังเหนือธรรมชาติลอยอยู่ก็ไม่ปาน ปากและลิ้นของกู้ฉีแห้งขึ้นมาไม่รู้ตัว จิบหนึ่งอึกด้วยความระมัดระวัง น้ำเปล่าบริสุทธิ์อุ่นๆ ไหลลงไปตามลำคอ กระแสไออุ่นหนึ่งสายชโลมชุ่มชื่นแพร่กระจายไปทั่ว
ยกถ้วยขึ้นและดื่มลงไป ยกถ้วยขึ้นอีกครั้งและดื่มลงไปอีก ไม่ทันได้รู้ตัวน้ำเปล่าต้มสุกหนึ่งถ้วยค่อนข้างใหญ่ก็ลงท้องไปจนหมด
“…” กูฉีมองถ้วยลายครามสีขาวว่างเปล่า สีไม่น่ามองและเนื้อััหยาบ แม้แต่คนรับใช้ทั่วไปของครอบครัวเขาก็ไม่มีทางใช้ถ้วยชาราคาถูกเนื้อหยาบและเรียบง่ายเช่นนี้ แต่เขากลับดื่มน้ำถ้วยนี้ไปจนเกลี้ยงในพริบตาเดียว
“คุณชาย ท่านเป็เช่นไรบ้างขอรับ?” หลิวผิงแปลกใจและไม่แน่ใจอยู่บ้าง กระเพาะกู้ฉีแย่มาก ไม่ว่าน้ำแกงหรือน้ำเปล่าทำได้เพียงค่อยๆ ทานครึ่งถ้วยเล็กๆ และครึ่งชามเล็กๆ ไม่เคยดื่มที่ละสองสามอึกจนน้ำที่เต็มถ้วยหมดเกลี้ยงเช่นนี้มาก่อน
“ดีมาก” กู้ฉีลูบหน้าอกตนเอง ความรู้สึกเ็ปแน่นหน้าอกและหายใจกระชั้นนั้นได้คลี่คลายลงไปไม่น้อย น้ำเปล่าต้มสุกในหมู่บ้านูเาเล็กๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าประสิทธิผลจะดีกว่ายาสมุนไพรต้มที่ตั้งใจต้มอย่างเป็พิเศษหนึ่งถ้วยเชียวหรือ?
ยิ่งกว่านั้น ไม่รู้ว่าเป็ความเข้าใจผิดของเขาหรือไม่ ที่ดื่มน้ำหนึ่งถ้วยหมดแล้ว ความรู้สึกในปากยังมีความหวานอร่อยหนึ่งสายอยู่
กู้ฉีจ้องถ้วยลายครามสีขาวอย่างไม่แน่ใจเล็กน้อย
...หลังลานบ้าน คึกคักเป็พิเศษ
เฉินเผิงเฟยวนเวียนอยู่บริเวณสถานที่เชือดหมู มองหูฉางหลินแยกเนื้อหมูด้วยความเพลิดเพลิน
หูฉางกุ้ยเป็ลูกมืออยู่ข้างหนึ่ง หวังซื่อกับชุ่ยจูก็กำลังกรอกไส้อั่วเืตามปกติ หลี่ซื่อนั่งยองอยู่ด้านข้างทำความสะอาดเครื่องใน
“บ๊อกๆ” เสี่ยวหวงสะบัดหางเล็กๆ วิ่งมาทางเจินจูเร็วเหมือนผายลม
“พี่สาม!” ผิงซุ่นะโโลดเต้นตามมา
“อืม ผิงซุ่น ผิงอันเล่า?”
“เขากับพี่ชายยู่เซิงไปให้อาหารกระต่ายแล้ว”
“อ้อ เช่นนั้นก็ดีแล้ว ในบ้านมีแขกอยู่ เ้าอย่าวิ่งใจลอยไม่ดูตาม้าตาเรือเล่า ทราบหรือไม่!”
”ข้าทราบแล้ว ท่านย่าเคยบอกไว้แล้ว…”
เจินจูลูบศีรษะเล็กๆ ผมแห้งหยาบของเขาพร้อมกับหัวเราะออกมา แล้วจึงเดินไปหาหูฉางหลิน
“ท่านลุง ใกล้เรียบร้อยแล้วหรือเ้าคะ?”
“เกือบจะเรียบร้อยแล้ว หมูบ้านเ้าตัวนี้แรงเยอะเหลือเกิน ข้ากับท่านพ่อของเ้าสองคนกดไว้ไม่อยู่ ดีที่น้องชายท่านนี้ช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้น ตอนนี้อาจยังไม่เสร็จก็เป็ได้ ฮ่าๆ” หูฉางหลินใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วหัวไปพยักหน้าขอบคุณเฉินเผิงเฟย
“ที่ไหนกันเล่า ข้าก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากสักหน่อย ฮ่าๆ” เฉินเผิงเฟยยิ้มสบายๆ “ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเื่ช่วยเหลือเลยจริงๆ หมูนี่เต็มไปด้วยพละกำลัง อีกนิดมันก็จะวิ่งออกลานบ้านไปแล้ว!”
“นั่นน่ะสิ พวกหมูที่เชือด่นี้ ไม่มีสักตัวที่เป็เช่นนี้เลย ฉางกุ้ย หมูของเ้านี่เลี้ยงอย่างไร? อุดมสมบูรณ์และแข็งแรงจริงๆ !” หูฉางหลินวิจารณ์ สัตว์ที่เลี้ยงในบ้านน้องชายนี่เลี้ยงดีกว่าบ้านของเขาอีก
“เอ่อ…” หูฉางกุ้ยที่จู่ๆ ก็โดนถามเกิดชะงักงันไปเล็กน้อย จึงกล่าวอย่างลุกลี้ลุกลนนิดหน่อย “ก็เลี้ยงตามวิธีเดิม ไม่ได้เลี้ยงอะไรเป็พิเศษ”
“ฮ่าๆ หมูบ้านข้าตัวนี้กินเก่งนัก กินมากก็ย่อมอ้วนเป็ธรรมดาเ้าค่ะ” เจินจูหัวเราะแล้วกล่าวแทรก “องครักษ์เฉิน พวกท่านจะเอาหมูทั้งตัวหรือว่าแยกส่วนกลับไปดีเ้าคะ?”
“นี่… ถ้าแยกส่วนเสร็จแล้วจะเป็อย่างไร?” เฉินเผิงเฟยก็เป็ครั้งแรกที่ได้เห็นวิธีการเชือดหมู เขาไม่เข้าใจขั้นตอนทั้งหมดจริงๆ จึงถามขึ้น
เชิงอรรถ
[1] ยุคสมัยสงบเงียบ ชีวิตนี้มั่นคง มีความหมายว่า ดำรงชีวิตสุขสงบร่มเย็นเป็สุขถือเป็สิ่งที่ดี ความมั่นคงและสุขภาพดีถือเป็สิ่งยอดเยี่ยม
[2] ใบไม้ร่วงโรยในฤดูใบไม้ร่วง หมายถึง การมาถึงของฤดูใบไม้ร่วงสรรพสิ่งย่อมเป็ธรรมดาที่จะโรยราล่วงหล่น ใช้อธิบายว่า ชั่วชีวิตของมนุษย์ควรเป็ไปตามธรรมชาติ ไม่สามารถฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของธรรมชาติได้ ลมฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้จึงร่วงหล่น เป็การเข้าใจและตระหนักในธรรมชาติ