ซ่งอวี้ใช้ไม้ชี้ไปยังส่วนบนของพลั่ว แล้วอธิบายให้เขาฟัง "ท่านลองจินตนาการ ถ้าทำเ้านี่ขึ้นมา แล้ววางไว้บนพื้น ใช้มือจับด้ามจับ เท้าเหยียบตรงนี้แรงๆ แผ่นเหล็กก็จะเจาะลึกลงไปในดิน แค่เพียงจับด้ามจับแล้วกดลงไป ดินก็จะออกมาเอง ใช้แรงน้อยกว่าจอบใช่หรือไม่?"
เมื่อได้ฟัง หลี่เฉิงก็ลองคิดจินตนาการตามครู่หนึ่ง รู้สึกว่าของสิ่งนี้เปลืองแรงน้อยกว่าจอบจริงๆ เขามองนางด้วยดวงตาทอประกายระยิบระยับ "เ้าคิดได้อย่างไร?"
ซ่งอวี้ชะงักเล็กน้อย นางคงไม่อาจบอกว่าตนลอกเลียนแบบมาจากอุปกรณ์ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดกระมัง? นางคิดหาคำตอบอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเองความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว "เมื่อครู่ข้าคิดถึงอุปกรณ์ที่ใช้ผัดอาหารในครัว จึงดัดแปลงเล็กน้อย ท่านคิดว่าเป็เช่นไรบ้าง?"
คำอธิบายของซ่งอวี้ไม่ถือว่าเกินจริง เพราะถึงอย่างไรของทั้งสองอย่างนี้ก็มีรูปทรงคล้ายคลึงกัน
หลี่เฉิงมองนางด้วยแววตานับถือ แล้วกล่าวชื่นชม "เ้าฉลาดยิ่งนัก"
เขาครุ่นคิดในใจ หากของสิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาแล้วนำมาใช้ได้จริงๆ เช่นนั้นเขาก็จะเผยแพร่กระจายไปทั่วทั้งแคว้น เมื่อถึงเวลา ชาวนาจะได้ทำนาง่ายขึ้น อีกทั้งของสิ่งนี้นอกจากขุดดินได้แล้ว ยังสามารถพรวนดินได้ด้วย ใช้งานได้ดีกว่าจอบนัก
ซ่งอวี้ถูกเขาชื่นชมจนเขินอาย แก้มของนางแดงระเรื่อ ดวงตาคู่ใสทอประกาย "ข้าเพียงนึกขึ้นได้กะทันหัน ไม่ถือว่าเป็คนฉลาด"
หลี่เฉิงสบตากับดวงตาระยิบระยับราวกับดวงดาวของนาง แววตาของเขาพลันสดใสขึ้นเช่นกัน เขาหัวเราะเสียงเบา "เ้าไม่ต้องถ่อมตน หากเปลี่ยนเป็ข้า เกรงว่าคงไม่มีวันคิดได้"
ยามนั้นซ่งอวี้ยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วน นี่เป็สิ่งที่นางลอกเลียนแบบมาจากชาติก่อน นางไม่ได้ออกแบบด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้นางจึงรีบเปลี่ยนบทสนทนา "ไว้วันพรุ่งนี้ พวกเราไปตลาด ให้ช่างเหล็กทำเ้านี่ขึ้นมา แล้วลองใช้ดูว่าใช้จริงหรือเปล่า ดีหรือไม่เ้าคะ?"
หลี่เฉิงพยักหน้าเห็นด้วย "ได้"
หลังจากพูดจบ ทั้งสองทานมื้อกลางวันไปประมาณหนึ่งแล้ว จึงกลับไปขุดดินในนาต่อ
พวกเขาเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน แต่ปลูกข้าวได้เพียงหนึ่งในสี่ของที่นาเท่านั้น ยังเหลืออีกสามในสี่ส่วนที่ยังไม่ได้ปลูก ซ่งอวี้รู้สึกปวดหัวยิ่งนัก นางอยากจะรีบทำพลั่วออกมาเร็วๆ
หลังจากกลับไปถึงเรือน ซ่งอวี้ล้มตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ทุบตีเท้าและแขนของตนเอง สายตาของนางที่มองไปทางหลี่เฉิง เปี่ยมไปด้วยความชื่นชม
ต้องรู้ว่าวันนี้เขาเป็คนออกแรงแทบจะทั้งหมด ตนแค่เดินตามอยู่ด้านหลังคอยโปรยเมล็ดพันธุ์ และเด็ดวัชพืชทิ้งเท่านั้น ตนยังเหนื่อยถึงขั้นนี้ เกรงว่าเขาเองก็คงจะเหนื่อยมากเช่นเดียวกัน
นางแบกร่างที่เมื่อยล้า เดินไปนึ่งข้าว ผัดผักสองอย่างในห้องครัว ทั้งสองหิวมากแล้ว แม้ว่าอาหารที่ทำจะเป็เพียงอาหารทั่วไปเท่านั้น แต่กลับกินอย่างเอร็ดอร่อยราวกับเป็อาหารอันโอชะ
"ข้าต้มน้ำร้อนแล้ว ประเดี๋ยวท่านไปอาบน้ำร้อน ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ พรุ่งนี้พวกเราไปตลาดกัน" ซ่งอวี้พูดเสียงเบา
หลี่เฉิงพยักหน้า สายตาของเขาที่มองดูนางแฝงไปด้วยความอ่อนโยน
ชีวิตชาวนาแม้จะลำบาก แต่ก็อบอุ่นยิ่งนัก เขาอยากจะอยู่ที่นี่ต่อไปจริงๆ แต่ว่า...แต่ว่าเขาไม่มีสิทธิ์เลือก
จู่ๆ เขาก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา ซ่งอวี้สังเกตเห็น จึงถามด้วยความเป็ห่วง "ท่านเป็กระไร? ไม่สบายตัวหรือ?" ขณะพูด นางก็จะจับชีพจรของหลี่เฉิง
หลี่เฉิงห้ามปราม แล้วฝืนยิ้ม "เปล่า ข้าเพียงรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น"
ซ่งอวี้ไม่ได้สงสัยในคำพูดของเขา เพราะถึงอย่างไรวันนี้ก็เหนื่อยมากจริงๆ "เช่นนั้นท่านรีบไปพักผ่อนเถิด เดี๋ยวข้าเตรียมข้าวของครู่หนึ่ง"
หลี่เฉิงพยักหน้า ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ห้องนอน
กว่าซ่งอวี้จะเตรียมสมุนไพรที่จะนำไปตลาดในวันพรุ่งนี้เสร็จเรียบร้อย กว่าจะอาบน้ำและกลับไปที่ห้อง หลี่เฉิงก็นอนหลับไปแล้ว
นางล้มตัวลงนอนข้างๆ หลี่เฉิงด้วยความระมัดระวัง อาศัยแสงสลัวของเทียน จ้องมองใบหน้ายามนอนหลับของเขา ความรู้สึกหวานชื่นก่อตัวขึ้นในใจของนางอย่างไม่อาจหักห้าม ทั้งยังเต็มไปด้วยความรู้สึกปลอดภัย คล้ายว่าขอเพียงมีเขาอยู่ข้างกาย แม้ฟ้าจะถล่มลงมา ก็มิใช่เื่ใหญ่อันใด
วันรุ่งขึ้น ซ่งอวี้ตื่นเพราะเสียงไก่ขัน นางขยี้ตา ลืมตาขึ้นด้วยความงัวเงีย ยื่นมือไปจับข้างๆ โดยไม่ตั้งใจ ััได้ถึงบางอย่างอุ่นๆ
นางสะลึมสะลือ ลูบของสิ่งนั้นเบาๆ
ทันใดนั้นเอง คล้ายนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ซ่งอวี้เบิกตากว้าง เห็นตนกำลังจับข้อมือของหลี่เฉิงอยู่ นางรีบถอนมือกลับ มองหลี่เฉิงอย่างพิจารณา เมื่อเห็นว่าเขายังนอนหลับอยู่ นางค่อยโล่งใจ