ในห้องโถงอันกว้างใหญ่ของพระราชวัง บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและเงียบสงบ แต่ภายในใจของเหล่าขุนนางกลับเดือดพล่านด้วยความสับสนและแรงปรารถนา ั้แ่ฮ่องเต้หยางิล้มป่วย หลานอวิ๋น องค์ฮองเฮาผู้ทรงพลังได้ก้าวขึ้นมาบริหารราชการแทน นางเป็สตรีที่ไม่ธรรมดา ความงดงามและเสน่ห์ที่ยั่วยวนของนางทำให้ผู้คนหลงใหล แต่สิ่งที่เหนือกว่านั้นคือความเฉลียวฉลาดและความสามารถในการปกครองบ้านเมือง
หลานอวิ๋นมีร่างกายอ้อนแอ้น ผิวพรรณขาวเนียน และเนินอกที่เต็มไปด้วยความเย้ายวนที่แทบจะปกปิดไม่มิด นางยืนอยู่ตรงกลางห้องโถงด้วยท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจและความมั่นใจ สายตาของเหล่าขุนนางและแม่ทัพพุ่งตรงไปยังนางอย่างไม่อาจละสายตาได้ พวกเขาเหมือนสัตว์ป่าที่หิวกระหาย แต่ทำได้เพียงซ่อนความปรารถนาในใจไว้ไม่ให้แสดงออก
"เอาล่ะ พวกเ้าจงไปทำตามที่ข้าสั่ง" หลานอวิ๋นกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แต่หนักแน่นและทรงพลัง แม้ในน้ำเสียงจะมีแววของความเหนื่อยล้า แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง
เหล่าขุนนางและแม่ทัพนายกองต่างพากันยอบตัวลงคำนับและรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง "ขอรับ!" เสียงของพวกเขาดังกึกก้องไปทั่วห้องโถง จากนั้นพวกเขาก็ทยอยเดินออกจากห้องไปพร้อมความเคารพและความอึดอัดที่พยายามปกปิด
เมื่อทุกคนออกไปแล้ว หลานอวิ๋นที่ยังยืนอยู่ตรงกลางห้องโถงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ นางรู้ดีว่าอำนาจนี้ไม่ใช่เื่ง่ายที่จะรักษา ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองนางด้วยความปรารถนา แต่หน้าที่ของนางในตอนนี้ไม่ใช่เพียงแค่สตรีงามที่น่าหลงใหล แต่เป็ผู้นำที่ต้องดูแลปกป้องบ้านเมืองและรักษาบัลลังก์ของฮ่องเต้
บรรยากาศในห้องโถงพระราชวังที่เคยอัดแน่นไปด้วยผู้คนและเสียงสนทนา บัดนี้เหลือเพียงความเงียบสงบ หลานอวิ๋น องค์ฮองเฮาผู้แบกรับภาระอันหนักหน่วงมายาวนาน ยืนอยู่เพียงลำพัง สายตาของนางเหม่อลอยไปยังที่ไกล สะท้อนถึงความเหนื่อยล้าที่ทับถมจิตใจ
"ท่านพี่... ข้าเหนื่อยเหลือเกิน" นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบา ราวกับ้าปลดปล่อยความรู้สึกที่เก็บกดมาตลอด แม้จะเป็เพียงเสียงแ่เบา แต่ก็เต็มไปด้วยความโหยหาและอ่อนล้า
มือขาวเนียนของนางค่อย ๆ ลูบไล้ลงไปตามร่างกายของตนเอง ััเนื้อตัวที่อวบอิ่มอย่างอ่อนโยน เมื่อทุกสิ่งเงียบลง เมื่อไม่มีผู้ใดอยู่รอบข้าง นางจึงได้ปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดแน่นออกมาบ้าง ััของนางที่ซอกขาเนียนนุ่มนั้นทำให้ความเครียดและความเมื่อยล้าค่อย ๆ ผ่อนคลายลง นางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ปล่อยให้ร่างกายตอบสนองต่อัันั้น
เสียงครางเบา ๆ ที่หลุดออกจากลำคอของนางเป็สัญญาณหนึ่งของการปลดปล่อย ความเหนื่อยล้าที่สะสมทั้งทางร่างกายและจิตใจค่อย ๆ ถูกระบายออกมา แม้จะเพียงชั่วครู่ แต่ก็ช่วยให้นางรู้สึกผ่อนคลายจากภาระอันหนักหน่วงที่เผชิญ
อู๊ย... อ๊า... เสียงครางด้วยความพึงพอใจหลุดออกจากริมฝีปากของหลานอวิ๋น ภายในห้องโถงพระราชวังที่เงียบสงบ ่เวลานี้เป็่ที่นางได้มีโอกาสปลดปล่อยอารมณ์และความรู้สึกที่เก็บกดมานาน ร่างกายของนางนั้นสั่นกระตุกไปมาอย่างมีชีวิตชีวา ััอ่อนนุ่มที่ฝ่ามือของนางสร้างความรู้สึกที่อบอุ่นและพึงพอใจ ขับเคลื่อนให้จิตใจของนางรู้สึกเบาสบายขึ้น
แสงไฟจากโคมระย้าเหนือศีรษะสร้างเงาที่เคลื่อนไหวไปมา ราวกับมีชีวิตจิตใจ นางรู้สึกได้ถึงการปลดปล่อยที่เข้ามาแทนที่ความตึงเครียดและความเหนื่อยล้า ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นใน่เวลาที่นางอยู่เพียงลำพัง ไม่มีผู้ใดที่มองหรือวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของนาง นางสามารถเป็ตัวของตัวเองได้อย่างแท้จริง
ทุกการเคลื่อนไหวของนางเต็มไปด้วยความเร่าร้อนและอารมณ์ที่ถูกกระตุ้น ความรู้สึกที่เข้มข้นพาให้หลานอวิ๋นจมอยู่ในโลกส่วนตัวที่นางสร้างขึ้นเอง ชั่วขณะหนึ่ง ทุกสิ่งในราชสำนักที่เคยเป็ภาระหนักอึ้งดูเหมือนจะเลือนหายไป ปล่อยให้เพียงความรู้สึกพึงพอใจนี้ได้จิตใจของนางอย่างเต็มที่
ใน่เวลาที่หลานอวิ๋นจมอยู่ในจินตนาการของตน ความรู้สึกผ่อนคลายเริ่มถูกทำลายลงเมื่อมีเสียงของชายหนุ่มดังมาแต่ไกล "ท่านแม่! ท่านแม่! ข้ามีเื่ที่จะมาคุยกับท่าน!" น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความร้อนรน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็องค์ชายหยางเฉิง บุตรชายคนโตของหยางิ ฮ่องเต้
หลานอวิ๋นถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะหันไปมององค์ชายหยางเฉิงที่เดินเข้ามาในห้องโถงด้วยท่าทางร่าเริง แม้ว่าเขาจะมีใบหน้าหล่อเหลา ร่างสูงโปร่ง และท่าทางที่น่าชื่นชม แต่ความฉลาดของเขากลับมีไม่มากนัก หากเปรียบเทียบกับพี่น้องคนอื่น ๆ เขามักจะเป็ที่หัวเราะหรือโดนมองข้ามในเื่ที่สำคัญ
"มีอะไรหรือหยางเฉิง?" หลานอวิ๋นถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ดูเป็กลาง แม้จะรู้สึกไม่ค่อยพร้อมในขณะนี้ แต่ความเป็แม่ของนางก็ทำให้ต้องให้ความสนใจแก่บุตรชาย
“ท่านแม่ แล้วท่านตัดสินใจยังว่าใครจะเป็รัชทายาทผู้ที่จะสืบต่อจากท่านพ่อ ข้าคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเลือกกันเสียที” องค์ชายหยางเฉิงถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความทะเยอทะยาน
“วันนี้เ้ากลับไปก่อนเถอะ หยางเฉิง” หลานอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด “พรุ่งนี้แม่จะประกาศให้พวกเ้าพี่น้องได้รู้กันว่าใครจะได้เป็ผู้ที่เหมาะสมที่สุด”
“วันนี้แม่เหนื่อยมามากแล้ว” นางพูดเสริม นาง้าเวลาสงบสติอารมณ์ก่อนที่จะต้องทำการตัดสินใจครั้งสำคัญ
“ขอรับท่านแม่” หยางเฉิงตอบรับอย่างเชื่อฟัง เขารู้ถึงความหนักแน่นและความน่าเกรงขามขององค์ฮองเฮาเป็อย่างดี
“ดีแล้ว” หลานอวิ๋นยิ้มบาง ๆ พยายามทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายขึ้น “พรุ่งนี้จะเป็วันสำคัญสำหรับพวกเรา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หยางเฉิงรู้สึกถึงแรงกดดันที่มากขึ้น แต่เขาก็พยายามทำให้ตัวเองสงบ เขาก้มศีรษะและถอนหายใจ “ทางที่ดีอย่าทำให้นางโกรธซะดีกว่า” เขานึกในใจขณะเดินออกจากห้องโถง
“ข้าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อที่จะเป็ผู้ที่เหมาะสม” หยางเฉิงพูดออกมาก่อนที่จะเดินจากไป
เมื่อบุตรชายของนางเดินจากไปแล้ว หลานอวิ๋นรู้สึกถึงความโล่งใจและสับสนในใจ นางรีบเดินไปยังห้องด้านในและนำผ้าขาวมาเช็ดน้ำราคะที่เปรอะเปื้อนท่อนขาที่อวบอิ่มของเธอ หลังจากที่แอบปลดปล่อยอารมณ์ไปเมื่อครู่
ความรู้สึกของความเบื่อหน่ายในการบริหารราชการบ้านเมืองและความตึงเครียดจากการเตรียมตัวเลือกผู้ที่จะเป็รัชทายาท ทำให้นางต้องหาวิธีระบายความรู้สึกเ่าั้ออกไป การปลดปล่อยอารมณ์ในเวลาที่เธออยู่คนเดียวเป็สิ่งที่นางทำเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น
“จะต้องมีสมาธิ” หลานอวิ๋นพูดกับตัวเองเบา ๆ ขณะเช็ดผ้าขาวที่เปื้อนน้ำและทำความสะอาดตัวเอง “พรุ่งนี้จะเป็วันสำคัญที่ทุกคนรอคอย”
นางรู้ว่าความเครียดที่สะสมมาต้องได้รับการจัดการ และการให้ความสำคัญกับบทบาทที่เธอมีในฐานะฮองเฮานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด นางต้องสร้างสมดุลให้กับอารมณ์และความรับผิดชอบที่หนักหน่วงนี้
