Chapter 21
กลิ่นคาวเืคละคลุ้งทั่วกระท่อมหลังเล็กซึ่งเคยเป็ของคนสวนประจำคฤหาสน์กริฟฟิน ร่างผ่ายผอมของเทพแห่งการร่วมประเวณีนั่งขดตัวบนเตียงเดี่ยวเล็ก ๆ ห่อร่างกายด้วยผ้าห่มหลายชั้นที่แซ็กคารีพอจะหามาให้ได้ ซาตานแทบไม่สะทกสะท้านกับความหนาว จึงไม่ค่อยมีของช่วยคลายหนาวใด ๆ
ที่นี่ถูกทิ้งร้างมานาน พื้นที่นอกกำแพงถูกตัดไฟฟ้าและสัญญาณดาวเทียมทั้งหมด การใช้ชีวิตนอกกำแพงจึงไม่ต่างอะไรกับการย้อนกลับไปเมื่อหลายร้อยปีก่อนมนุษย์รู้จักคำว่าไฟฟ้าและเทคโนโลยี แซ็กคารีต้องปรับตัวอยู่พอสมควร เขาต่อสายไฟกับแบตเตอรี่เพื่อให้หลอดไฟไม่กี่ดวงในกระท่อมส่องสว่าง นอกเหนือจากนั้นเขาไม่มีความจำเป็ต้องใช้เทคโนโลยีอื่นอีก
ซาตานหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง สลับกับลุกไปต้มน้ำร้อนและดูฟืนในเตาผิงหลายครั้ง เขากระวนกระวาย เกิดความกลัวในหัวใจอย่างอธิบายสาเหตุไม่ได้เมื่อเทพแปลกหน้าผู้นี้กำลังนอนขดตัวสั่นบนเตียง และไอเป็เืไม่หยุด แม้จะหยุดไอหลายนาทีแต่ก็อาเจียนออกมาเป็เืปริมาณมากอยู่ดี
แซ็กคารีสับสนกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ในเมื่อเป็แค่เทพองค์หนึ่ง และไม่มีเศษเสี้ยวความทรงจำแม้เพียงกระผีกริ้นเกี่ยวกับโจไซอาในหัวของเขา เหตุใดความกลัวที่ก่อเกิดในความรู้สึกถึงได้หนาแน่น พาลให้เขานั่งไม่ติดเก้าอี้ และเพิกเฉยอาการป่วยรุนแรงกับเทพะผู้นี้ไม่ได้เลย
ร่างสูงกำยำเดินเข้ามาในห้องพร้อมถุงน้ำร้อนหลังนำน้ำเย็นเฉียบในนั้นไปเปลี่ยน เขาทำเช่นนี้มาแล้วสามหรือสี่ครั้งเพราะแค่นำถุงร้อนนี้ให้องค์เทพกอดคลายหนาวเพียงไม่กี่นาทีอุณหภูมิก็ลดลงรวดเร็ว แต่แซ็กคารียังไม่เลิกทำแบบเดิมซ้ำ ๆ เขาหยุดยืนที่ข้างเตียง สอดมือใต้ในผ้าห่มที่ห่อกายผ่ายผอมเอาไว้ แล้วนำถุงร้อนเข้าไปวางในอ้อมแขนของโจไซอาให้อีกฝ่ายกอด
แต่ทันทีที่มืออุ่นของแซ็กคารีััข้อมือบอบบางของโจไซอาโดยบังเอิญ องค์เทพที่นอนหลับตาตัวสั่นก็คว้าจับมือใหญ่เอาไว้ บีบด้วยแรงอันน้อยนิดแสดงออกว่า้ามันมากกว่าสิ่งใด พยายามขดกายผอมกอดมือใหญ่จนตัวที่เล็กอยู่แล้ว ดูเล็กลงอีก
แซ็กคารีชะงัก เลื่อนสายตามองหน้าโจไซอา แต่ยังเห็นเปลือกตาขององค์เทพปิดสนิท จึงไม่ได้รีบชักมือออก เขากลับจ้องมองใบหน้าของเทพอย่างละเอียด เส้นผมสีทองหม่นที่ยาวปรกถึงหน้าผากดูแห้งและบางคล้ายเส้นฟาง ตรงกลางระหว่างคิ้วขึ้นรอยย่นเพราะโจไซอาขมวดคิ้วตลอดเวลาที่หลับ ราวกำลังอดทนกับความเ็ปตามร่างกายอยู่ เปลือกตาที่ปิดแน่นก็สั่นระริก โหนกแก้ม สันจมูกและสันกรามขึ้นเป็โครงหน้าชัดเจน แก้มตอบ ริมฝีปากแห้งยังคงมีรอยเืติด
เขาพยายามดึงมือของตัวเองออกจากการเกาะกุม ให้โจไซอากอดถุงร้อนแทน แล้วนำผ้าชุบน้ำอุ่นค่อย ๆ เช็ดรอยเืบนใบหน้าอีกฝ่ายออกอย่างเบามือ และนั่งเฝ้าโจไซอาตลอดหลายชั่วโมงโดยไม่พักผ่อน ซาตาน้าการนอนหลับ ้าอากาศ และอาหาร ุ์เหล่านี้เพียงแค่อายุยืนแต่ไม่ได้เป็ะอย่างเทพ แซ็กคารีจึงนั่งสัปหงกกึ่งหลับกึ่งตื่นเพราะไม่ได้นอนหลายคืน
แซ็กคารีดูแลเทพแปลกหน้าอย่างดีโดยไม่รู้ว่าทำไม
ซาตานนิสัยใคร่รู้ตนนี้ตั้งคำถามกับทุก ๆ อย่าง
แต่ไม่ได้ตั้งคำถามด้วยซ้ำว่า เขาดูแลโจไซอาไปเพื่ออะไร
ยามที่ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี มันค่อย ๆ สว่างขึ้นแต่ยังคงเป็สีเทาไม่สดใส เพราะพระอาทิตย์หลบซ่อนอยู่หลังม่านหมอกของฤดูหนาว เมื่อนั้นโจไซอาตื่นจากความเ็ปจนหมดสติ อาการบีบรัดที่อกแล่นพล่านไปทั้งกายยังเกิดขึ้นเป็ระยะ แต่ไม่ไอโขลก อาเจียนเป็เื หรือหนาวจนตัวสั่นอีกแล้ว
ร่างผ่ายผอมจึงค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้น มองถุงร้อนในอ้อมแขนตัวเองที่ยังอุ่นด้วยความแปลกใจ ได้ยินเสียงฟืนในเตาผิงส่งเสียงเปาะแปะยามถูกไฟแผดเผา เขาเลื่อนสายตามองปลายเตียง เห็นแซ็กคารีนั่งกอดอกบนเก้าอี้ไม้ที่ลากไว้ชิดผนัง อีกฝ่ายกำลังนั่งหลับคอพับดูท่าทางไม่สบาย
โจไซอาไอสองสามครั้งเพียงแ่เบา แซ็กคารีสะดุ้งตื่นทันที
ซาตานหนุ่มเปลี่ยนท่านั่ง กางขาออกเล็กน้อย ยืดหลังตรง แล้ววางมือสองข้างบนหน้าขาเป็ท่าทางน่าเกรงขามปะปนความขลาดเขินเพราะโจไซอาเห็นตอนซาตานหนุ่มหลับคอพับดูไม่สง่า ดวงตาสีเฮเซลไร้ความงัวเงียง่วงนอนในเสี้ยววินาที จ้องมองร่างผ่ายผอมราวกับพร้อมจะทำอะไรสักอย่างที่โจไซอาเอ่ยขอ
โจไซอาซาบซึ้งที่อีกฝ่ายดูแลเขามาตลอดทั้งคืน องค์เทพยิ้มบางให้ซาตาน ก่อนจะพยายามขยับตัวลุกจากเตียง เพราะมีสิ่งสำคัญที่เขาต้องรีบไปสะสางเป็อันดับแรก
การถ่ายทอดภาพความทรงจำให้แซ็กคารีผ่านการััไม่ได้ผล สายตาเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกอะไรจากซาตานหนุ่มบอกโจไซอาเช่นนั้น เขาจึงต้องเดินทางไปหาผู้ที่รู้เื่นี้ดีที่สุด แม้ร่างกายไม่เอื้ออำนวยให้เดินทางหรือทำภารกิจใด ๆ แต่โจไซอาก็ไม่คิดยอมแพ้
“ท่านจะไปไหนเหรอครับ” แซ็กคารีลุกขึ้นจากเก้าอี้ แสดงความร้อนรนทันทีที่เท้าเปลือยเปล่าสองข้างของโจไซอาััพื้น
“ฉันจะกลับ มีคนที่ฉันต้องไปอาละวาด”
แซ็กคารีขมวดคิ้วไม่เข้าใจแต่ไม่เอ่ยถามอะไรต่อ ซาตานหนุ่มลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ก็จริง แต่ไม่ได้เข้ามาช่วยเหลือโจไซอายามจับโครงเหล็กพยุงให้ตัวเองยืน เพียงแค่มองอย่างไว้ตัวและรักษาระยะห่าง ราวกลัวว่าโจไซอาจะทำอะไรแปลก ๆ อีก อย่างเช่นการเข้าไปกอดจากด้านหลังเหมือนเมื่อคืนนี้ที่ข้างกระท่อมชั้นล่างสุดของกำแพงสูง
รองเท้าของโจไซอาหลุดหายไปอย่างไม่ตั้งใจ ตอนที่แซ็กคารีร่างซาตานอุ้มองค์เทพแนบอกขึ้นฟ้าแล้วเดินทางมาที่กระท่อมแห่งนี้ แต่เทพร่างผอมไม่ได้ถือสา เพราะเขาสามารถหายตัวกลับเมืองเทพได้ในเวลาสั้น ๆ อยู่แล้ว
“เดี๋ยวก่อนครับ” แต่ผู้ที่ทุกข์ร้อน กลับเป็แซ็กคารี ที่ยกมือห้ามไม่ให้โจไซอาเดินต่อ ให้ยืนนั่งรออยู่บนเตียงแทน แล้วเดินหายออกไปจากห้องนอนอีกครั้ง
ซาตานหนุ่มกลับมาพร้อมรองเท้าบูทหนังสีน้ำตาลที่สูงถึงหัวเข่าคล้ายรองเท้าขี่ม้า แซ็กคารีวางมันที่ข้างข้อเท้าเรียวบางกับฝ่าเท้าผ่ายผอมเปลือยเปล่า ก่อนจะเงยหน้าสบตากับโจไซอาอยู่หลายวินาที และซาตานหนุ่มตัดสินใจนั่งคุกเข่าที่พื้นอีกครั้ง
มือใหญ่สองข้างจับรองเท้าบูท ค่อย ๆ สวมมันให้โจไซอาอย่างเบามือ บรรจงผูกเชือกรองเท้าให้แน่นพอดีกับเรียวขาเพราะมันหลวมกว่าเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั่งมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มที่ประดับประดาบนใบหน้าจนความซีดเซียวเศร้าหมองมีจุดประกายของความสุขอีกครั้ง
มือของแซ็กคารีไม่ต่างจากมือของเอเดน เส้นเืนูนที่ขึ้นประดับร่างกายราวเครื่องประดับลากผ่านหลังมือหลายเส้น พาดยาวไปถึงแขน ผลุบหายไปใต้เสื้อแขนยาวที่แซ็กคารีถกแขนขึ้นถึงข้อศอก เสื้อตัวนี้ยังคงมีรอยเืของโจไซอาเปื้อนที่อก
เส้นผมเงางามสีขาวซีดเรียกร้องให้โจไซอาัั มันพลิ้วไหวตามแรงขยับจากเ้าของ ถึงสีสันจะแตกต่างจากผมของเอเดน แต่ความนุ่มน่าััไม่ต่างกันเลย มือเรียวจับเส้นผมสีขาวซีดของแซ็กคารีอย่างเผลอไผล สางมันแ่เบาผ่านร่องนิ้ว และหยุดชะงักเมื่อแซ็กคารีเงยหน้าสบตาด้วยสายตาแสดงความไม่พอใจ โจไซอาจึงชักมือกลับ
เส้นผมสีขาวซีดนั้นนุ่มสุขภาพดีอย่างที่คิด ถึงถูกดุทางสายตา แต่โจไซอายิ้มพึงพอใจ และพยายามเก็บซ้อนรอยยิ้มไว้เมื่อแซ็กคารีสวมรองเท้าให้เสร็จเรียบร้อยแล้วลุกขึ้นยืน เพราะโจไซอายังคงเป็เทพแปลกหน้าที่อีกฝ่ายไม่รู้จัก เขาต้องระมัดระวังทั้งคำพูดและการกระทำของตัวเอง ต้องเก็บซ่อนความคิดถึงและโหยหา เพื่อไม่ให้แซ็กคารีที่ความทรงจำเกี่ยวกับโจไซอาสูญหายไม่รังเกียจเขาเสียก่อน
“ท่านแน่ใจเหรอครับ”
เขายังคงอ่อนแรง ก้าวเดินตัวเซราวกับจะล้มตลอดเวลา แซ็กคารีมองตามด้วยความไม่สบายใจ แต่ยังไม่เข้ามาช่วยพยุงใกล้ชิด เพียงเดินตามห่าง ๆ หนึ่ง่แขนกระทั่งถึงหน้าประตูกระท่อม ที่มีหิมะสีขาวโพลนบดบัดสีเขียวสดของพื้นหญ้าจนหมดสิ้น
“แน่ใจ”
แสงดวงอาทิตย์ยามเช้าในวันท้องฟ้าหม่นสะท้อนกับหิมะสีขาว สาดส่องใบหน้าและผิวกายของเทพร่างผ่ายผอม โจไซอาดูผุดผ่องงดงาม แซ็กคารีได้จ้องมองอีกฝ่ายชัดเจนใต้ความสว่างไสวจากแสงธรรมชาติ จึงรู้สึกว่าเทพผู้นี้ดูขาวบริสุทธิ์ช่างเหมาะกับหิมะสีขาวรอบ ๆ แต่เมื่อโจไซอายกยิ้มก็กลายเป็ดอกกุหลาบสีแดงสดที่ผลิบานสู้ลมหนาว
แซ็กคารีจ้องมองแผ่นหลังบางดูเหนื่อยล้าของโจไซอาที่กำลังเดินเหยียบย่ำหิมะห่างออกไปเรื่อย ๆ กระทั่งองค์เทพหันมามองซาตานหนุ่มเป็ครั้งสุดท้าย ก่อนจะหายวับไปในอากาศ เหลือเพียงรอยเท้าบนหิมะที่ขาดกลางทาง
เขาพรูลมหายใจกับตัวเอง เดินกลับเข้าไปในกระท่อมหลังเล็ก ยืนนิ่งอยู่หน้าเตาผิง หันมองรอบห้องนอนที่กลิ่นคาวเืยังไม่จางหายไป มองกองผ้าเปื้อนเืมากมายที่เขายังไม่ได้เก็บให้เรียบร้อย และเสียงแหบแห้งอ่อนแรงของโจไซอาก็ดังขึ้นมา
“เอาไปเผาสิ… นี่ด้วย ต้องเผาทิ้ง” โจไซอาเอ่ยตอนที่มองเืมากมายบนผ้าสีขาว และบนเสื้อของเขา
“ไม่ควรเก็บเืของเทพตอนเป็โรคไว้ มันเป็คำแช่งไม่ให้สมหวังเื่ความรัก”
เขาไม่รู้ว่าโจไซอาหมายถึงโรคอะไร ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็คำแช่ง หมายความว่าอาจเป็จริงหรือไม่เป็จริงก็ได้ และแซ็กคารีไม่เชื่อเื่คำแช่งจากเทพเป็ทุนเดิม เขารู้ว่าเหล่าเทพบางองค์ไม่ได้มีพลังอำนาจวิเศษมากมายอะไร เขาทั้งไม่สนใจเื่ความรักตลอดอายุ 25 ปี ของการเป็ซาตาน
แต่มือใหญ่สองข้างกลับกวาดผ้าสีขาวที่ละเลงไปด้วยเืโยนใส่เตาผิง ดวงตาสีเฮเซลจ้องมองเปลวไฟที่เผาไหม้ผ้าเ่าั้อย่างช้า ๆ กลิ่นคาวเืแปรเปลี่ยนเป็กลิ่นควัน เขม่าสีดำลอยขึ้นไปบนปล่องไฟ มันถูกแผดเผามอดไหม้จนกลายเป็ขี้เถ้าอย่างรวดเร็ว
จากนั้นแซ็กคารีจึงถอดเสื้อแขนยาวที่ตนเองสวมอยู่ โยนมันลงไปในกองไฟ จ้องมองรอยเืบนอกเสื้อที่กำลังถูกทำลาย ด้วยความสับสนไม่เข้าใจการกระทำของตนเอง
ร่างกายแข็งแรงกำยำ มีกล้ามเนื้ออย่างสมบูรณ์แบบในทุกส่วนยืนเปลือยท่อนบนอยู่ที่หน้าเตาผิงพักใหญ่ เมื่อดับเปลวเพลิงจนสนิทแล้ว สองเท้าก็พาซาตานหนุ่มมาที่หน้าประตูกระท่อมหลังเล็ก จากนั้นผิวกายสีแทนแดดเล็กน้อยก็เริ่มเปลี่ยนสีจนกลายเป็สีขาวซีดนวลแทบกลืนกับหิมะ กายสูงใหญ่ขึ้น ไหล่และแผ่นอกขยายกว้างกว่าเดิม เขาสองข้างงอกออกจากศีรษะที่มีเส้นผมสีขาวพลิ้วไหว
และสุดท้าย คือปีกสีขาวขนาดใหญ่สยายที่สะบักหลังทั้งสองข้างอย่างสง่างาม
แซ็กคารีในร่างซาตานสีขาวซีดนวลดั่งรูปสลักหินอ่อนกระพือปีกบินขึ้นฟ้า สู่ม่านหมอกความหนาวเหน็บที่แสงอาทิตย์หลบซ่อนอยู่ บินสูงขึ้น สูงขึ้นจนกระท่อมเบื้องล่างเล็กลงเท่าฝ่ามือ จากนั้นร่างกายของซาตานก็หายวับไป ผ่านประตูเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์และโลกของเหล่าุ์
แซ็กคารีไม่ได้กลับเผ่าซาตานเกือบหนึ่งเดือน ท่าทางของเหล่าทหารจึงดูตกอกใกับการเห็นลูกของาาเผ่าซาตานเดินทางกลับมาที่วังป้อมปราการ สองเท้าเดินผ่านทางเดินส่องสว่างด้วยแสงเทียนอย่างมั่นคง เขาเดินตรงไปที่ห้องโถงของวัง เพราะรู้ว่าพ่อของเขาอยู่ที่นั่นเสมอ
“แซ็กคารี” แม่ของเขาเอ่ยเรียกชื่อลูกชาย เธอยิ้มกว้างแล้วเดินเข้ามาหา ผิวกายขาวซีด เขาสองข้าง กับปีกสีขาวค่อย ๆ หายไป เธอมาอยู่ในร่างของมนุษย์ แซ็กคารีจึงอยู่ในร่างมนุษย์ตาม และอ้าแขนเพื่อรับกอดจากเธอ
“ไม่ได้ข่าวจากลูกเลย ไปอยู่ที่ไหน ไปทำอะไร อย่างน้อยก็น่าจะส่งจดหมายมาบ้าง” เธอบ่นยาวเหยียด และเป็เช่นนี้เสมอเมื่อแซ็กคารีขาดการติดต่อเกินหนึ่งสัปดาห์
“ผม—”
“ลูกพ่อ” เสียงเข้มแข็งก้องกังวานของาาดังขึ้น พ่อเปลี่ยนมาอยู่ในร่างมนุษย์และเดินมาหาลูกชายที่อยู่กลางห้องโถง
“ท่านพ่อ” แซ็กคารีก้มหัวคำนับาาเผ่าซาตาน
“มีเื่อยากคุยกับลูกอยู่พอดี”
สองพ่อลูกมองตากันและเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ แซ็กคารีเดินตามพ่อไปที่ห้องทำงานส่วนตัวที่อยู่ถัดจากห้องโถง ภายในห้องมีโต๊ะขนาดใหญ่ ซึ่งมีแผนที่โลกุ์วางแผ่เต็มโต๊ะ แผนที่นี้ทำจากหนังของสัตว์ มีการวาดรายละเอียดของสถานที่จุดต่าง ๆ ตามการค้นพบของซาตาน
“เทพนามว่าโจไซอามาหาผม ท่านพ่อบอกท่านเหรอครับ ว่าผมอยู่ที่ไหน”
“พ่อบอกแค่ว่าลูกอยู่ที่โลกมนุษย์เท่านั้น และท่านเทพก็เร่งรุดออกไปตามหาลูก พ่อไม่ทันได้ถามเหตุผล” พ่อของแซ็กคารีไขว้สองมือไว้ด้านหลัง หันมองลูกชายตนเดียวด้วยสายตาสงสัย
“ท่านเทพโจไซอามีธุระอะไรกับลูกเหรอ”
แซ็กคารีไม่อยากบอกความจริง
“ผม… ไม่รู้ ท่านเทพกำลังป่วย”
าาเผ่าซาตานหัวเราะในลำคอแ่เบาอย่างรู้ดีว่าลูกชายของตนเป็ผู้ไม่ยอมเอ่ยความจริงหรือข้อมูลใด ๆ โดยง่ายมาแต่ไหนแต่ไร
“ท่านเทพโจไซอา เป็เทพแห่งการร่วมประเวณี บุตรของเทพแห่งความรัก กับเทพแห่งความผูกพัน ลูกรู้ไหมว่าต้องทำอย่างไร” แซ็กคารีส่ายหน้า แม้ว่าเขาเป็ซาตานใคร่รู้ แต่กลับไม่สนใจเื่ราวของเหล่าเทพ เขาไม่รู้ว่าพ่อหมายถึงอะไร
“เทพแห่งความผูกพันเพิ่งขึ้นเป็ประมุขเทพเมื่อไม่นานมานี้ ท่านเทพโจไซอาคือบุตรของประมุขเทพ” าาเผ่าเดินเข้ามาหาแซ็กคารี ฝ่ามือใหญ่วางบนไหล่ลูกชาย
“ท่านเทพอาจอยากได้ซาตานอารักขา ลูกต้องปฏิบัติต่อท่านดี ๆ เข้าไว้ มันจะเป็ประโยชน์กับเรา ถ้าประมุขเทพกับทหารซาตานของพ่อได้ร่วมมือกัน เราจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น”
เผ่าซาตานอยู่ต่ำกว่าเหล่าเทพมานาน เป็เพียงผู้รับใช้ที่ไม่อาจได้อยู่เทียบเคียงเทพ หากไม่มีความนอบน้อมเลื่อมใสต่อเทพ พวกซาตานอาจจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับสัตว์วิเศษ ที่บรรดาเทพออกล่าได้โดยไม่มีบทลงโทษ
แต่ซาตานมีพละกำลังและแรงงานที่เทพ้า จึงได้ทำงานเกื้อหนุนกันและกันมานับหมื่นปี หากจะมีสักครั้งหนึ่งที่ประมุขเทพ ผู้ปกครองเทพทั้งปวงหันมาร่วมมือผูกมิตรกับทหารของาาเผ่าซาตาน เมื่อนั้นซาตานอาจไม่เป็เพียงแคุ่์ผู้อยู่ต่ำกว่าเทพอีกต่อไป ทั้งประมุขเทพและซาตานจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
แซ็กคารีไม่สนใจคำสั่งของพ่อมาั้แ่เด็ก หูของเขารับข้อมูลเพียงแค่ว่าโจไซอาเป็ลูกของเทพแห่งความผูกพันกับเทพแห่งความรักเท่านั้น ไม่ได้สนใจถึงตำแหน่งอันยิ่งใหญ่ของอีกฝ่าย เพราะมันไม่มีผลต่อคำบอกกล่าวที่โจไซอาเอ่ยว่าท่านเทพเป็คนรักของเขาเลยสักนิด
ความดื้อดึงของโจไซอามีมากเป็ทุนเดิม ผนวกกับความใจร้อนและอารมณ์อ่อนไหวหมุนเหวี่ยงอย่างควบคุมไม่ได้ยามเป็โรครักระทม จึงไม่มีเทพองค์ใดสามารถหักห้ามความ้าของโจไซอาได้ ร่างผ่ายผอมอ่อนแรงแบกตัวเองขึ้นหลังของเ้ากริฟฟินคู่ใจที่ตอนนี้มันเริ่มแก่ แต่ยังตั้งใจรับใช้เทพ
เขากลับไปรับเ้ากริฟฟิน และขี่มันบินทะลุผ่านประตูเชื่อมไปโลกมนุษย์อีกครั้ง โจไซอาปรากฏกายที่ริมชายฝั่งห่างไกลร้างผู้คน เท้าหน้าที่เป็กรงเล็บ กับเท้าหลังของสิงโตเหยียบย่ำผืนทรายสีนวลละเอียดอย่างไม่คุ้นชิน แต่ไม่ลดความกล้าหาญของมัน
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตาเบื้องหน้าด้วยความมุ่งมั่น เขาจะไปหาเทพแห่งความทรงจำ ด้วยความไม่เข้าใจว่าเหตุใดการเกิดใหม่เป็ซาตานที่ควรจดจำได้ทุก ๆ อย่าง กลับไม่สามารถจำโจไซอาได้เลย
เทพแห่งความทรงจำอาศัยอยู่ที่เกาะลึกลับกลางทะเลในโลกมนุษย์ มีภูตผีเป็บริวารคอยคุ้มกันเกาะ และป้องกันไม่ให้มีมนุษย์หลงเข้าไป รวมถึงป้องกันไม่ให้มีเทพองค์ใดเข้าไปรบกวนเทพแห่งความทรงจำ โจไซอาจึงต้องต่อสู้กับพวกมันอย่างไม่มีทางเลือก เพื่อฝ่าไปให้ถึงตัวเทพ
เทพผู้ผ่ายผอมบังคับเ้ากริฟฟิน มันสยายปีกบินขึ้นฟ้า สวนทางลมทะเลที่พัดทักทายใบหน้า มันโผบินขึ้นสูงเฉียดเมฆฝนลอยต่ำ โจไซอาจึงต้องต่อสู้กับความหนาวเหน็บ มือเรียวกำแน่นและไม่คิดจะถอยหลังกลับแม้รู้ดีว่าพวกภูตผีเฝ้าเกาะลึกลับแห่งนั้นโหดร้ายเพียงใด
โจไซอามองเห็นเกาะลึกลับจุดหมายของเขาอยู่ไกลลิบ มันเป็เกาะโดดเดี่ยวกลางมหาสมุทร มีกลุ่มเมฆลอยต่ำแตะยอดเขาเสมอ รูปทรงของเกาะเป็รูปร่างคล้ายพระจันทร์เสี้ยว มีชายหาดทรงโค้งสวยงาม แต่น้อยคนนักที่จะได้เห็นความสวยงามของมัน เพราะเมื่อได้เห็นแล้วล้วนลืมเลือนมันไป หรือไม่ก็อ่อนแรงเกินกว่าจะเล่าให้ใครฟัง
ก่อนจะถึงเกาะลึกลับแห่งนั้น มีโขดหินโผล่พ้นน้ำตั้งเรียงราย ทั้งสูงใหญ่ราวหน้าผา ถูกน้ำกัดเซาะจนดูผอมแทบจะถล่มลงมา ทั้งเล็กเตี้ยเพียงแค่พอโผล่พ้นน้ำทะเล คลื่นลมแรงซัดโขดหินเ่าั้จนเกิดฟองคลื่นสีขาวกับเสียงคลื่นดังลั่นกลบเสียงกระพือปีกของเ้ากริฟฟิน
แต่เมื่อเ้ากริฟฟินร่อนต่ำลงจนเห็นโขดหินใกล้ขึ้น เสียงร้องขับขานอันไพเราะก็ดังกว่าเสียงคลื่นและเสียงลมรอบกาย มันทั้งเพราะ และชวนให้หลงใหลอยากฟังต่อไม่รู้จบ เ้ากริฟฟินโผบินตามเสียงร้องเพลงอย่างไม่รู้ตัว โจไซอาไม่ทันระวังและอ่อนแรงเพราะต่อสู้กับลมหนาวมานานจึงไม่ได้บังคับให้มันบินไปทางอื่น
กริฟฟินอีกตัวหนึ่งยืนอยู่บนโขดหินสูงทรงผอม เป็สัตว์วิเศษตัวเมียที่สง่างามที่สุดเท่าที่โจไซอาเคยเห็น รูปร่างสมส่วนสมบูรณ์ ขนที่แผงคอส่วนหน้าซึ่งเป็นกอินทรีมีสีขาวนวล พลิ้วไหวตามสายลมทะเลพัดผ่าน จะงอยปากเป็สีเหลืองเข้ม ดวงตาสุกสกาวเป็ประกาย ส่วนหลังครึ่งสิงโตเป็สีทองอร่ามยามต้องแสงอาทิตย์
เ้ากริฟฟินตัวผู้ที่มีเทพเกาะอยู่ที่หลังบินหากริฟฟินอีกตัวด้วยความลุ่มหลง ร่างกายของสัตว์วิเศษร่าเริงกระชุ่มกระชวยอีกครั้ง แม้ว่าอายุมาก เพราะได้เจอคู่หมายที่งดงามกว่ากริฟฟินตัวไหน แต่ทันทีที่กรงเล็บขาหน้าแตะโขดหิน พื้นแข็งนั้นหายวับไปทันที
มันคือภาพลวงตา
เ้ากริฟฟินอายุมากร่วงหล่นพร้อมกับโจไซอาเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แขนสองข้างพยายามเกาะแผงคอสัตว์เลี้ยงคู่กายเอาไว้ แต่อ่อนแรงเกินไป โจไซอาไถลตก มือเรียวคว้าขนสั้นเตียนที่ครึ่งตัวหลังส่วนที่เป็สิงโตไว้ได้ และเพราะเป็จังหวะที่เ้ากริฟฟินกำลังสยายปีกอีกครั้งเพื่อบินขึ้นฟ้า โจไซอาจึงถูกปีกทรงพลังกระแทกอย่างแรง ร่างกายของเทพกระเด็นตกจากหลังสัตว์เลี้ยงคู่กาย
ร่างกายวูบโหวงหมุนเหวี่ยงชวนคลื่นไส้ ขณะร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำมหาสมุทรเย็นเฉียบ ผิวน้ำที่กระแทกกับผิวกายเทพสร้างความเ็ป ตามด้วยความหนาวเย็นเข้าโจมตี โจไซอาวาดแขนตะเกียกตะกายขึ้นสู่ผิวน้ำ โผล่หน้าขึ้นมาพร้อมหายใจเหนื่อยหอบ พาร่างกายตัวเองว่ายน้ำตามแรงคลื่นมาเกาะโขดหินเตี้ยสีดำ
แต่การต่อสู้ของโจไซอายังไม่จบสิ้น เขาพยุงตัวเองขึ้นมานั่งที่โขดหินได้ไม่นาน ก็มีแรงมหาศาลฟาดเข้าที่ร่างกายอย่างแรงจนล้มลงนอนหน้าคว่ำ เขามองไม่เห็นแม้แต่ผู้ที่ทำเช่นนี้กับเขา ได้แต่สร้างเกราะป้องกันตนเอง และมันถูกทำลายได้โดยง่ายด้วยฝีมือของภูตประจำทะเล
ภูตร่างสูงทำลายเกราะป้องกัน มือหยาบหนาคว้าลำคอของโจไซอา บีบเสียแน่นจนร้องโอดครวญด้วยความเ็ป แล้วจับเหวี่ยงทิ้งลงทะเลอย่างง่ายดายราวโจไซอาเป็เพียงปลาในมหาสมุทร ร่างผ่ายผอมจมลงสู่สายน้ำอีกครั้ง จมลึกลง ลึกลงจนแสงสว่างจากดวงอาทิตย์หดหายทีละน้อย
เทพไม่้าอากาศหายใจ แต่ยามนี้เทพผู้เป็โรครักระทมกลับโหยหาอากาศจากในน้ำทะเล โจไซอาอ้าปากสูดลมหายใจเข้าเต็มที่ แต่สิ่งที่ได้รับย่อมไม่ใช่อากาศ เขาสำลักอย่างรุนแรงใต้น้ำ สายเืสีแดงกระเด็นออกจากริมฝีปาก และไหลออกจากปลายจมูกปะปนกับน้ำทะเล
เมื่อกลิ่นเืของเทพคลุ้งโดยรอบเกาะลึกลับ เหล่าภูตผีบริวารของเทพแห่งความทรงจำก็แห่มาพร้อมกันหลายร้อยตน มากเสียจนนับจำนวนไม่ไหว พวกมันบ้างก็มีครีบ บ้างก็มีพังผืดอยู่ที่นิ้วมือนิ้วเท้า บางตนหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว มีดวงตาใหญ่ปูดโปน บางตนมีท่อนบนรูปร่างงดงามเป็มนุษย์ แต่มีท่อนล่างเป็ครีบปลาสีเขียวแก่
ซึ่งความงดงามนั้นเป็เพียงแค่รูปลักษณ์ เพราะมันพุ่งตรงเข้าหาโจไซอา กางกรงเล็บแหลมคมที่ฝ่ามือสองข้าง อ้าปากอวดฟันเคี้ยวแหลมยาวสีเหลืองสกปรก มันใช้เล็บข่วนโจไซอา เทพพยายามใช้แขนบังป้องกันตัว แขนข้างขวาจึงเกิดแผลเป็ทางยาว เืไหลจากกายเทพมากขึ้นอีก และยิ่งเรียกเหล่าภูตผีมามากขึ้น
เขาทั้งพยายามวาดแขนแหวกว่ายพาตัวเองขึ้นฝั่ง ทั้งดิ้นสะบัดเหล่าภูตผีที่ฉุดรั้งข้อเท้าให้ดำดิ่งลึกลงก้นมหาสมุทรออกไป แต่เมื่อสลัดไปได้ ก็จะมีภูตผีตนอื่นมาขัดขวางโจไซอาใหม่เรื่อย ๆ จนเขาอ่อนแรง แขนขาไม่ยอมขยับตามการบังคับ ดวงตาสีน้ำตาลมองไม่เห็นสิ่งอื่นใดรอบกาย ทุกอย่างมืดสนิท รู้สึกเพียงััเ็ปไปทั้งตัว
ไม่มีใครเข้ามาช่วย ไม่มีหนทางพึ่งพาใครได้อีก โจไซอาคิดถึงแต่เอเดน กริฟฟิน คิดถึงแต่ชายผู้เป็ที่รักที่เกิดใหม่เป็ซาตานเรือนผมสีขาวซีดนามว่าแซ็กคารี แม้ว่าเคยทำให้เจ็บช้ำ เป็ต้นเหตุของความเ็ปตลอด 99 ปี แต่ยังคงเป็แรงผลักดันให้โจไซอามาตลอด
เทพบันดาลแสงสว่างเจิดจ้าที่สุดเท่าที่เขาจะทำมันได้ เหมือนที่รอยยิ้มของเอเดน กริฟฟินเคยเป็แสงสว่างให้เขา มันส่องแสงใต้น้ำแผ่จากตัวของเทพจนเหล่าภูตหลับตา ว่ายหนีไปคนละทิศคนละทาง เกิดฟองสบู่ยามพวกมันว่ายไป แรงดันน้ำดันร่างโจไซอาให้ขึ้นสู่ผิวน้ำอีกครั้ง เขาใช้แรงเฮือกใหญ่แหวกว่ายขึ้นไปในระหว่างที่พวกภูตยังมึนงงกับแสงสว่าง
เขาบันดาลเรือลำใหญ่ทั้งลำให้รองรับร่างกายของตนเองบนผิวน้ำ โจไซอาตื่นใกับเรือรบที่หัวเรือเป็รูปัน่าเกรงขามจากอำนาจวิเศษของตนเอง เพราะเขาไม่คิดว่าจะบันดาลมันออกมาได้แข็งแกร่งเช่นนี้ เขาบังคับพวงมาลัยเรือขนาดใหญ่ หมุนหักเปลี่ยนทิศทางหลบโขดหิน
เกาะลึกลับอยู่แค่ตรงหน้าโจไซอา เรือลำใหญ่กำลังพาเขาไปถึงที่นั่นในอีกไม่นาน แต่ถูกพวกภูตขัดขวางอีกครั้ง พวกมันมีมากจนสามารถล้อมรอบเรือลำนี้แล้วจับเขย่าโยกให้โคลงเคลง กราบเรือแทบัักับน้ำทะเล โจไซอาเกาะพวงมาลัยเรือไว้แน่นขณะที่เรือตั้งฉาก เมื่อนั้นภูตร่างใหญ่หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวก็ขึ้นมาบนเรือสำเร็จ
มันไม่ได้มาเพียงลำพัง แต่ตามกันขึ้นมาหลายสิบ และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โจไซอามองรอบ ๆ หาทางหนี เ้ากริฟฟินคู่ใจบินวนอยู่้าเรือเป็วงกลม มันกำลังรอคอยคำสั่งจากเทพ มือเรียวชูขึ้นฟ้า บันดาลเชือกเส้นใหญ่ผูกเท้าหน้าซึ่งเป็กรงเล็บแข็งแกร่ง ส่วนปลายเชือกยาวลงมาถึงพื้นเรือ
เขารอคอยจังหวะให้เรือหยุดโคลงเคลง ออกวิ่งสุดแรงคว้าปลายเชือกเอาไว้ เป็จังหวะเดียวกันกับที่เ้ากริฟฟินกระพือปีกบินสูงขึ้น ร่างกายของโจไซอาลอยสูงขึ้นตาม แต่โชคร้ายที่ภูตตนหนึ่งคว้าปลายเชือกไว้ได้เช่นกัน มันลอยสูงขึ้นตามเขามา และกำลังไต่เชือกเข้าใกล้
โจไซอาจำใจปล่อยมือข้างหนึ่ง ชูมือเหนือศีรษะของภูตตาโปนน่าเกลียด ตัดเชือกเส้นใหญ่ขาดสะบั้น มือใหญ่มีพังผืดของมันคว้าปลายรองเท้าบูทไว้ได้ มือข้างเดียวที่แทบจะหลุดจากเชือกของโจไซอาจึงรูดตามความหยาบจนเจ็บแสบ มืออีกข้างคว้าเชือกไว้ช่วยพยุง เขาสะบัดเท้าสุดแรง พร้อมกับเ้ากริฟฟินที่บินเปลี่ยนทิศกะทันหัน ภูตหน้าตาน่าเกลียดจึงร่วงลงทะเล
แต่โจไซอากำลังตกลงไปเช่นกัน ด้วยเืสีแดงสดอาบแขนขวาและฝ่ามือที่เสียดสีกับเชือกหยาบ เขาจับเชือกให้มั่นไม่ได้อีกแล้ว
เ้ากริฟฟินแสนรู้ใช้่เวลาแสนสั้น ด้วยการยกขาหน้าขึ้นจนปลายเชือกกระตุก แล้วรีบบินโฉบลงต่ำพร้อมหัวใจเต้นแรง สองเท้าหลังของมันคว้าร่างของเทพผู้เป็เ้านายได้ทันก่อนตกน้ำทะเลเย็นเฉียบ
โจไซอากอดขาหลังของกริฟฟินแน่น หอบหายใจ ถุยเืในปากทิ้งลงทะเล หันหลังมองเหล่าภูตผีที่ว่ายหนีออกไป
tbc.
#เฮเซลอาย