“คุณชายเฟิง นายท่าน้าพบท่านขอรับ”
ณ ลานบ้านเรือนตานซิน มู่เฟิงกำลังผินหน้าไปทางดวงตะวันที่กำลังสาดส่องยามรุ่งอรุณ ในระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังดูดซับพลังฟ้าดินในยามเช้า ฉับพลันนั้นได้มีเสียงของบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งดังขึ้นมาจากด้านนอกของลานบ้าน
“อืม ท่านลุงใหญ่เรียกหาข้างั้นหรือ!”
มู่เฟิงลืมตาขึ้นก่อนพูดว่า "เข้าใจแล้ว"
“ท่านลุงใหญ่เรียกหาข้าทำไมกันนะ?”
มู่เฟิงขบคิดในใจ ขณะเปิดประตูลานบ้านและตามบ่าวรับใช้ไปยังเรือนหลัก
บ่าวรับใช้ลอบมองมู่เฟิงด้วยความแปลกใจ เห็นได้ชัดว่าฝีเท้าของเด็กหนุ่มนั้นมั่นคงมาก อีกทั้งั์ตาของอีกฝ่ายยังมีประกายแสงหลบซ่อนอยู่ภายในนั้น ร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังดูไม่เหมือนคนที่เส้นลมปราณถูกทำลายหรือคนป่วยเลยแม้แต่น้อย
ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็มาถึงเรือนหลักของมู่เฉิน
เรือนหลักที่มู่เฉินพักอาศัยอยู่นั้นเป็เรือนขนาดใหญ่ที่ถูกตกแต่งออกมาอย่างประณีตที่สุด นอกจากนี้ด้านหน้าและด้านหลังของเรือนยังมีลานกว้าง โดยลานกว้างหลังเรือนใช้เป็ที่ฝึกซ้อมวรยุทธ์ ส่วนลานกว้างหน้าเรือนถูกจัดเป็สวนดอกไม้นานาพรรณ เป็สถานที่ที่ทั้งเงียบสงบและงดงามแห่งหนึ่ง
เมื่อมาถึงหน้าโถงรับรอง เด็กหนุ่มพบว่ามู่เฉินกำลังรอเขาอยู่ นอกจากนี้ภายในห้องยังมีสตรีในชุดสีเหลืองผู้สง่างามอยู่อีกคน
"ท่านลุง ท่านป้า"
มู่เฟิงส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
“เฟิงเอ๋อร์มาแล้ว รีบเข้ามานั่งก่อนเถิด เ้าทานอาหารเช้ามาหรือยัง? ป้าจะได้ทำเกี๊ยวเนื้อของโปรดของเ้าให้”
ฮูหยินจางหรือสตรีในชุดสีเหลืองกล่าวด้วยรอยยิ้ม ดูเป็มิตรอย่างยิ่ง
ในตระกูลมู่ ครอบครัวของลุงใหญ่นั้นดีต่อเขาที่สุดแล้ว
“ว้าว ข้าอยากกินอาหารฝีมือท่านป้าพอดีเลยขอรับ”
มู่เฟิงหัวเราะร่า พลางกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
“เอาละ เช่นนั้นพวกเ้าสองคนลุงหลานก็นั่งรอก่อนเถิด ทำเสร็จแล้วอีกเดี๋ยวข้าจะเรียก”
หลังจากฮูหยินจางกล่าวจบ นางได้เดินนำสาวใช้ผู้หนึ่งออกไป
“เฟิงเอ๋อร์ ข้ามีเื่จะพูดคุยกับเ้า”
มู่เฉินจิบชา ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างจริงจัง
“อย่างไรเ้าก็เคยผ่านชีวิตที่เต็มไปด้วยความเป็ตายในสนามรบเฉกเช่นผู้ใหญ่มาแล้ว ดังนั้นลุงจะไม่ถือว่าเ้าเป็เพียงแค่เด็กอีก ลุง้าส่งเ้ากลับไปยังบ้านของบรรพบุรุษ”
มู่เฉินขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียดขณะที่กล่าวเื่นี้
ส่วนมู่เฟิงก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น เด็กหนุ่มรีบถามกลับว่า “ด้วยเหตุใดหรือขอรับ?”
บ้านบรรพบุรุษของตระกูลมู่ไม่ได้ตั้งอยู่ในเมืองหลวงของอาณาจักรหนานหลิง แต่ตั้งอยู่ในสถานที่ขนาดเล็กอันห่างไกลที่เรียกว่าเมืองอันหนาน
หากย้อนกลับไปในอดีต บรรพบุรุษของตระกูลมู่ได้ติดตามจักรพรรดิเพื่อยึดครองดินแดนและสร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ นับจากนั้นรากฐานของตระกูลมู่ได้เริ่มหยั่งรากลึกลงไป จนกระทั่งต่อมาพวกเขาได้กลายเป็ตระกูลแถวหน้าที่ทรงอิทธิพลของเมืองหลวง
“เ้าคงเห็นแล้ว การลงมือของมือสังหารเมื่อวันก่อน มีคน้าสังหารเ้า หากเ้ายังอยู่ในเมืองหลวงต่อไปเกรงว่าชีวิตคงไม่สงบสุขเป็แน่ เวลานี้ตระกูลของเรากำลังอยู่ใน่วิกฤต หากไม่ระวังอาจล่มสลายลงได้ ข้าจึง้าส่งเ้าและคนรุ่นเยาว์บางส่วนกลับไปยังบ้านบรรพบุรุษ หากเกิดเื่ใดขึ้น อย่างน้อยตระกูลมู่ของเราก็ยังมีผู้สืบทอด”
มู่เฉินกล่าว
ด้านมู่เฟิงเพียงได้ฟังเนื้อหาไปแค่บางส่วนหัวใจของเขาก็เต้นไม่เป็จังหวะขึ้นมาแล้ว เด็กหนุ่มรีบเอ่ยถามทันใด “ท่านลุง เกิดอะไรขึ้น? มีเื่อะไรเกิดขึ้นใช่หรือไม่ขอรับ?”
มู่เฉินพยักหน้าและกล่าวว่า “เดิมทีข้าไม่ควรบอกเ้าเื่นี้ แต่ตอนนี้เ้าไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว มีบางเื่ที่หากไม่พูดออกมาเห็นทีว่าคงจะไม่ได้”
“เ้ารู้หรือไม่ว่าในเวลานี้ใครคือผู้ดูแลอาณาจักร?”
มู่เฉินกล่าวเื่นี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ใครเป็ผู้ดูแล…ไม่ใช่องค์จักรพรรดิหรือขอรับ?”
มู่เฟิงกล่าวตอบ
“ไม่ใช่ หลังจากการตของจักรพรรดิองค์ก่อน จักรพรรดิองค์ปัจจุบันนั้นยังทรงพระเยาว์นัก ยากที่จะจัดการราชกิจภายในราชสำนักได้ ดังนั้นในเวลานี้ราชกิจส่วนใหญ่จึงอยู่ในมือของหนานหาว เป่ยอ๋องผู้นั้น อำนาจทุกอย่างล้วนอยู่ในกำมือของเขา เ้าเองก็คงทราบดีว่าบิดาของเ้าถูกหนานหาวผู้นั้นใส่ร้าย”
“เ้าคงสงสัยว่าเหตุใดเขาต้องใส่ร้ายบิดาของเ้าใช่หรือไม่? นั่นเป็เพราะบิดาของเ้าควบคุมกองทัพทหารตระกูลมู่สองแสนนาย ตระกูลมู่ของเราซื่อสัตย์และภักดีต่อราชวงศ์มาหลายชั่วอายุคน และภักดีเพียงราชวงศ์เท่านั้น หนานหาวผู้นั้น้าดึงบิดาของเ้าเข้าไปเป็พวก เ้าคงทราบถึงนิสัยใจคอของบิดาเ้าดี ในเวลานั้นเขาปฏิเสธออกไปอย่างแข็งกร้าว นั่นคือจุดเริ่มต้นที่นำมาสู่โศกนาฏกรรมในภายหลัง"
มู่เฉินกล่าวอธิบาย
แม้มู่เฟิงจะมีอายุเพียงสิบห้าปี แต่เขาไม่ใช่คนโง่ เมื่อได้ยินสิ่งที่มู่เฉินกล่าว เด็กหนุ่มก็อุทานออกมาด้วยความใ “หรือเ้าคนสารเลวหนานหาวผู้นั้นคิดจะยึดอำนาจ!”
ด้วยการโบกมือของมู่เฉิน ประตูห้องโถงพลันปิดลงด้วยพลังปราณของเขา ก่อนที่เขาจะพยักหน้า
“เช่นนั้น เช่นนั้นตระกูลมู่ของเราควรทำอย่างไรดี?”
ภายในใจของมู่เฟิงนั้นตกตะลึงเป็อย่างยิ่ง เขาไม่ค่อยเข้าใจเื่แผนการทางการเมืองมากเท่าไรนัก
“หากถึงวันนั้น ตระกูลมู่ย่อมจะยอมตายเพื่อปกป้องราชวงศ์อย่างถึงที่สุด ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ข้า้าส่งเ้าออกไปก่อน เดิมทีข้าคิดว่าเ้าอาจจะสามารถหลุดพ้นจากหล่มโคลนนี้ได้หากเ้าเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์ แต่เวลานี้สถานการณ์กลับไม่เป็อย่างนั้นแล้ว ทางเดียวที่ทำได้คือต้องส่งเ้ากลับไปยังบ้านบรรพบุรุษ”
“ไม่ ข้าไม่ไป ข้าไม่้าออกจากตระกูลมู่ ข้า้าร่วมแบ่งปันทุกข์สุขไปกับคนในตระกูล”
มู่เฟิงส่ายหน้า
“ไม่ได้ เวลานี้เ้ายังเด็กนัก ต่อให้เ้ารั้งอยู่ในตระกูลมู่จะมีประโยชน์อะไร เ้าในเวลานี้สามารถช่วยเหลือตระกูลมู่ได้หรือ? ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าเวลานี้วรยุทธ์ของเ้าถูกทำลายไปแล้ว แม้แต่การบ่มเพาะพลัง เ้ายังทำไม่ได้ บิดาของเ้าเองก็ไม่อยู่แล้ว เ้าคือทายาทหนึ่งเดียวของเขา ข้าไม่สามารถปล่อยให้เ้าตายได้”
มู่เฉินกล่าวอย่างจริงจัง น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความอ่อนโยนเหมือนในเวลาปกติ
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่เฟิงก็กำหมัดแน่นด้วยความรู้สึกไม่เต็มใจอย่างยิ่ง
ความแข็งแกร่ง ทั้งหมดเป็เพราะความแข็งแกร่ง เวลานี้ตระกูลมู่กำลังอยู่ท่ามกลางพายุ ทว่าเขากลับไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
แน่นอนว่าเด็กหนุ่มสามารถตระหนักได้ว่าคำพูดของท่านลุงของตนนั้นถูกต้อง และไม่จำเป็ต้องกล่าวถึงว่าเวลานี้เขาไม่มีวรยุทธ์เหมือนในอดีต เพราะต่อให้ตอนนี้วรยุทธ์ของเขาจะอยู่ในระดับจื่อฝู่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ถึงอย่างไรในเมืองหลวงแห่งนี้ก็มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่อยู่เกลื่อนไปหมด
เพราะไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถล้างแค้นให้บิดาของตัวเองได้
เพราะไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง เขาจึงต้องทนอยู่กับความคับแค้นใจที่ต้องสูญเสียกองทัพทหารตระกูลมู่ทั้งสองแสนนาย
เพราะไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง เขาจึงไม่สามารถอยู่กับว่านเอ๋อร์ได้
เวลานี้ภายในใจของมู่เฟิงปรารถนาถึงความแข็งแกร่งเป็ที่สุด
“คืนวันพรุ่งนี้ เ้ากับมู่ขวงจะต้องเดินทางไปยังบ้านบรรพบุรุษด้วยกัน ข้าจะส่งมู่จงไปคุ้มครองพวกเ้า”
มู่เฉินไม่รอให้มู่เฟิงพูดอะไรมากไปกว่านั้น เพราะเขาได้ตัดสินใจแล้ว
“เอาละ เกี๊ยวพร้อมแล้ว”
ขณะนั้นเอง ฮูหยินจางได้นำเกี๊ยวนึ่งสองชามมาวางลงบนโต๊ะอาหารของโถงด้านข้าง ก่อนจะเรียกสองลุงหลานให้มาทานด้วยกัน
มู่เฟิงนั่งทานเกี๊ยวด้วยความคิดมากมายในหัว แม้ว่าเกี๊ยวในวันนี้จะยังคงอร่อยเหมือนเช่นเดิม แต่ปากของเขากลับไร้ซึ่งรสชาติใด
หลังจากมู่เฟิงรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เด็กหนุ่มได้เดินกลับเรือนพักของตนด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง
ฮูหยินจางมองตามแผ่นหลังของเด็กหนุ่ม ก่อนจะทอดถอนใจออกมา
“ชีวิตของเฟิงเอ๋อร์ช่างโหดร้ายนัก ั้แ่เล็กก็ไม่มีมารดาคอยดูแล เวลานี้ยังต้องสูญเสียบิดาไปอีก ซ้ำร้ายเส้นลมปราณยังมาถูกทำลาย ไม่รู้ว่าเหตุใด์ถึงได้ใจร้ายกับเขานัก”
ดวงตาคู่สวยของฮูหยินจางแปรเปลี่ยนเป็สีแดงก่ำ
“เด็กหนุ่มผู้นี้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางพายุอุปสรรค บางทีนี่อาจเป็บททดสอบจาก์สำหรับเขา รวมถึงตระกูลมู่ของข้าด้วย”
มู่เฉินมองตามแผ่นหลังของมู่เฟิง พลางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ในคืนถัดมา มู่เฟิงและมู่ขวงได้ควบอยู่บนหลังอาชาไนยสีขาวซึ่งมีเขาอยู่บนหัวสองตัว เด็กหนุ่มทั้งสองกำลังมองจวนตระกูลมู่ในยามค่ำคืนผ่านประตูหลังของจวน แววตาของพวกเขาฉายชัดถึงความเศร้าหมอง
“พี่เฟิง เราจะได้กลับมาหรือไม่?”
มู่ขวงเอ่ยปากถาม แววตาของเด็กหนุ่มแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่เต็มใจ
"แน่นอน ต้องได้กลับมาแน่!"
มู่เฟิงมองจวนตระกูลมู่ พร้อมกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“คุณชายเฟิง ถึงเวลาแล้วขอรับ พวกเราออกเดินทางกันเถอะ เราต้องเดินทางไปบ้านบรรพบุรุษก่อนฟ้าสางขอรับ”
ชายร่างกำยำในชุดคลุมสีดำกล่าวขึ้น คนผู้นี้มีนามว่ามู่จง เป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นเจ็ดและเป็ผู้คุ้มกันของตระกูลมู่
"อืม"
มู่เฟิงพยักหน้า ก่อนใช้แส้ฟาดลงบนหลังอาชาขาวและออกเดินทางทันที
ร่างของคนทั้งสามทะยานหายไปในความมืด ท่ามกลางแสงไฟสลัวของถนนด้านหลัง
สักวันหนึ่ง ข้าจะทำให้์ไม่สามารถกีดขวางหนทางของข้าได้อีก
สักวันหนึ่ง ข้าจะทำให้คนสารเลวเ่าั้ถูกกวาดล้างให้หมด
สักวันหนึ่ง ข้าจะทำให้แผนการอันชั่วร้ายของพวกมันมลายหายไปให้สิ้น!
แม้ชีวิตนี้จะต้องตะเกียกตะกายขึ้นมาจากความตายบนเส้นทางของการฝึกวรยุทธ์เขาก็จะไม่ยอมแพ้และใช้ชีวิตอย่างคนไร้ค่า
หนุ่มน้อยมู่เฟิงได้กล่าวคำสาบานอันยิ่งใหญ่นี้ไว้ภายในใจ!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้