สำหรับโม่จ้านแล้ว หากจะพูดถึงครั้งล่าสุดที่เขานอนไม่หลับเพราะความตื่นเต้น คงต้องสืบสาวราวเื่ไปเมื่อหลายปีก่อน
ยามนั้นโม่จ้านเพิ่งจบการศึกษาและเข้าประจำสถานีตำรวจได้ไม่นานก็บังเอิญเจอเข้ากับคดีใหญ่ คดีนั้นเ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นกับกองกำลังทหารร่วมมือกันล้อมจับแก๊งค้ายาติดอาวุธ โม่จ้านที่ยังเป็คนมุทะลุตื่นเต้นจนนอนไม่หลับทั้งคืน ท้ายที่สุดยังคงเป็พวกรุ่นพี่ที่เข้ามาปลอบถึงได้ฝืนใจเย็นลงได้ นับแต่นั้นเป็ต้นมา โม่จ้านก็เริ่มคุ้นเคยกับภารกิจน้อยใหญ่ และมิได้กังวลถึงเพียงนั้นแล้ว
ทว่าว่า ‘ภารกิจ’ ของการข้ามมิติในครั้งนี้ช่างพิเศษเกินไป ป่าวประกาศอย่างชัดเจนว่าถ้าเ้าทำมิสำเร็จก็จะต้องตาย แต่หากสำเร็จก็ใช่ว่าจะมีชีวิตรอดเสมอไป จะเป็หรือตายนั้นครึ่งหนึ่งต้องพึ่งตัวเอง อีกครึ่งต้องพึ่งชะตาฟ้าลิขิต ขนาดของหลอดแก้วยาวเพียงหนึ่งข้อนิ้วและหนาประมาณลำขลุ่ย เมื่อคิดว่าชีวิตน้อยๆ ของตนต้องฝากไว้ที่มัน โม่จ้านก็ไร้ซึ่งความง่วงงุน ก่อนเริ่มปฏิบัติการทรมานตนเองอีกครา
โม่จ้านนึกอยากอดนอนสักคืนให้รู้แล้วรู้รอด รอให้วันพรุ่งเริ่มพิธีค่อยเข้าสู่โหมดนอนเสริม ทว่าสภาพในความฝันนั้น เขายังมิทันตรวจสอบให้แน่ชัด ดังนั้นจึงมิอาจลุยกับความเสี่ยงนี้
โม่จ้านวิ่งรอบเสากับแท่นทรมานหลายสิบรอบ ทั้งยังถือโอกาสปีนขึ้นลงบนเสาอีกหลายรอบ กระทั่งแตะถึงขอบวงเวทย์้าเพดานจึงได้ไถลตัวลงมา หลังเคี่ยวกรำตนเองกว่าครึ่งค่อนวัน ในที่สุดโม่จ้านก็ััได้ถึงร่องรอยของความเหนื่อยล้า
…ประสิทธิภาพร่างกายของเผ่าปีศาจแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หรือเพราะเป็าาปีศาจกันจึงเป็เช่นนี้? หากเป็อย่างแรก ก็นับว่าเก่งกาจมิใช่น้อย
โม่จ้านมิได้ฝืนบังคับให้ตนเองนอนหลับ กลับหาท่าทางที่สบายเอนพิงแท่นทรมาน ค่อยๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน แล้วเริ่มเข้าสู่โหมดใคร่ครวญเื่ราวชีวิตอีกครั้ง
ประสิทธิภาพของยาที่หมีเอ่อร์ให้มาสามารถไว้ใจได้ ทว่าวิธีการกินกับระยะเวลากลับเป็ปัญหา หากพิธีลงทัณฑ์คือการแห่ขบวนแล้วจึงปะาหัวในตลาดสด เช่นนั้นเพื่อมิให้ประชาชนต้องหวาดกลัว ตนจะต้องถูกพันธนาการเอาไว้จนมิอาจขยับเขยื้อน ถึงขั้นถูกคลุมใบหน้าเอาไว้ทั้งหมด
หากเป็เช่นนั้น ่เวลาที่ดีที่สุดในการกินยาก็คือ่ก่อนที่แขนขาทั้งสี่ของตนจะไร้ซึ่งอิสระโดยสิ้นเชิง ส่วนเื่ระยะเวลาการออกฤทธิ์ของยา คงจะต้องหวังพึ่งชะตาฟ้าลิขิตเสียแล้ว เ้าของสิ่งนี้ อย่างแรกไม่มีคำชี้แนะของแพทย์ อย่างที่สองไม่มีคู่มือการใช้ยา ผู้ที่รู้วิธีใช้เพียงคนเดียวก็ได้บอกลากันไปเสียแล้ว ยามนี้จึงทำได้เพียงวางเดิมพันสักตั้ง
“ทุ่มสุดกำลังเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อ ข้อนี้ก็มิได้ต่างอันใดกับเมื่อก่อนเลยแม้แต่น้อย…”
โม่จ้านปิดเปลือกตาลงปล่อยจิตใจให้ล่องลอย มิทันรู้ตัวก็เริ่มเข้าสู่โหมดพูดคุยคนเดียวเสียแล้ว
“หากหนีรอดไปได้จริงๆ จะทำสิ่งใด? หลังถูกค้นพบต้องถูกไล่ล่า หรือว่าจะสวมรอยเป็กระต่ายน้อยหนีไปยังตรอกขี้เถ้าเพื่อขอพึ่งกองทัพที่แตกพ่าย? ชาติก่อนมิรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมี ผลคือการใช้ชีวิตปกติเพื่อหาเงินเล็กๆ น้อยๆ ในชาตินี้แม้แต่การใช้ชีวิตปกติยังกลายเป็เื่ที่คาดหวังมากเกินไปด้วยซ้ำ ตนนี่ช่างเกิดมาเพื่อทำงานหนักโดยแท้…”
โม่จ้านหรี่ตาอ้าปากหาว ความง่วงงุนค่อยๆ คืบคลานเข้ามา ความคิดยุ่งเหยิงต่างๆ นานา จงกลิ้งไปอยู่ด้านข้างเสียเถอะ
……
ความมืดมิดที่คุ้นเคย ร่างกายที่คุ้นเคย และความอึดอัดที่คุ้นเคย
โม่จ้านหาช่องว่างนั้นพบโดยไม่ต้องเปลืองแรง กระนั้นกลับยังคงไร้หนทางจะทำสิ่งใดเช่นเดิม โม่จ้านพยายามใช้เล็บมือแหย่เข้าไปในซอกนั้น ก่อนจะััเข้ากับสิ่งที่ทั้งบางและแข็ง คาดว่าคงเป็ตะปูมิผิดแน่
ทว่าข้างๆ มือของเขากลับไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถใช้งัดฝาโลงได้เลย ทำอย่างไรดี? โม่จ้านค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก พยายามสงบสติอารมณ์ลง ภายในสมองเริ่มคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว
หากมีสิ่งใดที่ใช้แทนไม้งัดได้ก็คงจะดี อย่างน้อยก็แข็งและยาวกว่าเล็บมือ
…หือ?
ใช่แล้ว เขา! บนหัวยังมีเขามิใช่หรือ? แม้จะยังมิรู้ถึงระดับความแข็ง อย่างน้อยๆ ก็วางใจได้กว่าเล็บมือ!
คิดได้ดังนั้นโม่จ้านจึงพลิกตัว พยายามให้กระดูกอ่อนหลังศีรษะแนบชิดกับ “เพดาน” ภายใต้ความร่วมมือของมือทั้งสอง ออกแรงใช้เขาแหลมคมแทรกเข้าไปในซอก อากาศภายในปอดเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ โม่จ้านกัดฟันฮึด พยายามออกแรงตรงกระดูกสันหลังบริเวณต้นคอไปทางด้านล่างอย่างเต็มที่
“พลั่ก…พลั่ก…เอี๊ยด——”
คล้าย์เป็ใจ ตามมาด้วยเสียงแผ่นไม้หักงอและเสียงโลหะเสียดสี กลิ่นดินหอมสดชื่นพลันลอยกระทบจมูก มิทันให้โม่จ้านได้ลอบยินดีในใจ ความเ็ปรุนแรงภายในปอดกลับดึงาาปีศาจกลับสู่ความเป็จริงอย่างรวดเร็ว ขณะกำลังสับสน โม่จ้านซัดหนึ่งหมัดลงบนใบหน้าของตนเอง ก่อนจะกลับไปยังร่างกายเดิมภายในเสี้ยววินาที
ไม่รอให้เขาได้สติหลังจากเพิ่งขาดอากาศหายใจ โม่จ้านพลันถูกภาพตรงหน้าทำให้ใอีกครา อัศวินกลุ่มใหญ่รายล้อมอยู่รอบกาย พวกเขากำลังง่วนกับการจับตัวเขามัดไว้บนแท่นลงทัณฑ์
โม่จ้านใ มือข้างขวาของเขากำเข้าหากัน โชคดีที่ขวดยามิได้หล่นหาย เมื่อเห็นว่าอัศวินเพียงมิกี่คนตรงหน้ากำลังจะกดแขนของตนไว้ โม่จ้านร้องด้วยความใเสียงดัง หนึ่งหมัดตวัดคนทั้งสองจนกระเด็น เหล่าอัศวินชักอาวุธแหลมคมออกมา มุ่งเป้าหมายไปยังโม่จ้านเพื่อเตรียมรับมือ
สีหน้าของเจียเอ่อลั่วเ็า หอกยาวในมือมีประกายเย็นวูบผ่าน ชี้ตรงไปยังลำคอของโม่จ้าน “มาถึงขั้นนี้แล้ว เ้ายังจะดิ้นรนจนวาระสุดท้ายงั้นรึ?”
โม่จ้านยักไหล่ เผยรอยยิ้มอันธพาลออกมา
“พวกเ้ามิเพียงกลิ่นเหม็น กลับยังเสียงดังปานนั้น ข้าก็เพียงแค่ป้องกันตนเองเล็กน้อย มิเช่นนั้นคาดว่ายังมิทันออกไปก็คงถูกรุมจนตายเสียก่อน”
โม่จ้านค้อมเอวลงอย่างผ่อนคลาย ฉีกเศษผ้าขี้ริ้วที่ห่อหุ้มกายเบื้องล่างออกมาไม่กี่ชิ้นแล้วอุดจมูกและรูหูของตน
“เ้าว่าอย่างไรนะ…”
เมื่ออัศวินแห่งพระวิหารผู้ยึดถือคุณธรรมสูงส่งและความบริสุทธิ์เป็เกียรติยศถูกาาปีศาจแสดงท่าทีรังเกียจ เห็นได้ชัดว่าเหล่าอัศวินต่างพากันโมโห อัศวินผมน้ำเงินพุ่งเข้ามาด้วยความขุ่นเคือง ปลายกระบี่คมทาบอยู่บนลำคอของโม่จ้าน บาดิับริเวณด้านข้างลำคอจนเป็รอย
“เก๋อหลิน!”
เจียเอ่อลั่วตะคอกด้วยความโกรธ น้ำเสียงเจือไว้ด้วยความน่าเกรงขามที่มิอาจกังขา
“ชิ…”
อัศวินผมน้ำเงินนามว่าเก๋อหลินลดดาบลง ถอยกลับไปอยู่ข้างกายเจียเอ่อลั่วอย่างไม่ยินยอมเท่าไรนัก
“เ้าน่าจะรู้ว่าต่อให้ยั่วยุข้าไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าไม่เหมือนพวกเขา ไม่มีทางปล่อยโอกาสให้เ้าหลุดรอดไปได้แม้แต่นิดเดียว”
ั์ตาสีทองอ่อนของเจียเอ่อลั่วสะท้อนประกายเพลิง ทว่าสายตากับน้ำเสียงกลับเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง หนาวเหน็บเข้ากระดูก ใบหน้าคนทั้งสองห่างกันเพียงไม่กี่หลีหมี่ [1] โม่จ้านผู้เอาผ้าอุดหูยังคงได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย
“ท่านเข้าใจผิดแล้ว ท่านอัศวิน นี่มิใช่การยั่วยุ แต่เป็ความรู้สึกที่แท้จริงของข้า”
เมื่อการลอบเอาหลอดแก้วยัดเข้าปากสำเร็จลุล่วง โม่จ้านรู้สึกผ่อนคลายลง เขาโบกมือบอกใบ้ให้อัศวินที่อยู่ด้านข้างทำงานต่อไปพร้อมทั้งปิดเปลือกตาลงอย่างยอมจำนน
“อ่า ไม่มีกลิ่นคาวของวงเวทย์แห่งแสง รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบสะอาดขึ้นมาเลยทีเดียว”
หลังผ่านพ้นการทดลองหยั่งเชิงระยะประชิดครั้งนี้ เจียเอ่อลั่วมั่นใจแล้วว่าาาปีศาจตรงหน้าจะไม่ใช้ลูกไม้พิสดารอันใดอีก เขาออกคำสั่งให้ ‘ทำต่อไป’ กับอัศวินด้านหลัง จากนั้นมินาน โม่จ้านก็ถูกมัดไว้บนแท่นลงทัณฑ์อย่างแ่า ร่างกายทั้งท่อนบนและท่อนล่างมิอาจขยับเขยื้อน กระทั่งมือยังถูกผ้าหยาบวาดไว้ด้วยลวดลายประหลาดห่อหุ้มจนเป็กระจุก มิสามารถแบออกได้แม้แต่น้อย
เจียเอ่อลั่วมองพิจารณาโม่จ้านหลายรอบ ครั้นรู้สึกว่าไม่น่ามีปัญหาใดจึงพยักหน้าให้อัศวินตรงหน้าประตู โม่จ้านหรี่ตา พยายามแยกแยะจนรู้ว่าคืออัศวินโง่เง่าที่เคยใช้กำลังกับตนั้แ่วันแรก พอมองดูตอนนี้ เ้าหมอนี่ดูตัวสูงกว่าคนอื่นอยู่บ้าง วัดจากระดับสายตาเกือบจะเท่าตัวเขาแล้ว
ขณะมองบันไดที่ทั้งสูงและแคบ โม่จ้านยังคิดว่าประตูเล็กถึงเพียงนี้ จะพาตัวเขาพร้อมแท่นลงทัณฑ์ออกไปได้อย่างไร มิคาดเสี้ยววินาทีต่อมา าาปีศาจกลับได้เปิดหูเปิดตาอีกครั้ง ขั้นบันไดใต้ฝ่าเท้าของเขาค่อยๆ ยุบตัวลงจนถึงก้นกรงเหล็กหนาง อัศวินทั้งสี่คนร่วมแรงร่วมใจกันเอาฝากรงเหล็กทรงสี่เหลี่ยมปิดทับ จากนั้นใช้แม่กุญแจเหล็กลงกลอนไว้ ตรงหน้าของโม่จ้านคือทางเชื่อมใต้ดินสายหนึ่ง หลังวงเวทย์ซับซ้อนในทางเชื่อมทอประกายเป็แสงสีเขียวประหลาดครู่หนึ่ง กรงเหล็กก็เริ่มเคลื่อนตัวไปด้านหน้าเอง
จากนั้นประมาณหนึ่งเค่อ [2] กรงเหล็กก็หยุดลง พื้นดินด้านใต้กรงเหล็กค่อยๆ เลื่อนตัวสูงขึ้น แสงสว่างที่ส่องมาจากเหนือศีรษะบอกหนึ่งข่าวคราวแก่โม่จ้าน — นับั้แ่มาถึงโลกอันแปลกประหลาด นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้ัักับทิวทัศน์นอกห้องขัง
แสงตะวันที่ไม่ได้พบกันเสียนานค่อนข้างแสบตา ทำให้โม่จ้านรู้สึกทรมานอย่างฉับพลัน เขาทำได้เพียงฝืนหรี่ตามองสำรวจสถานการณ์โดยรอบ
บนจัตุรัสกว้างขวางเต็มไปด้วยผู้คน เบียดเสียดเสียยิ่งกว่าฝูงชนยามร่วมกันชมพลุปีใหม่ในเขตแหล่งการค้าย่านเจริญเสียอีก สายตาผู้คนนับร้อยนับพันจับจ้องบนตัวเขา มีทั้งรังเกียจ เหยียดหยาม สนใจใคร่รู้และตกตะลึง นี่ทำให้โม่จ้านผู้ชอบเก็บตัวเงียบรู้สึกอึดอัดเป็อย่างยิ่ง
โม่จ้านมองซ้ายชำเลืองขวา พบว่าตนอยู่ใจกลางแท่นบูชาสี่เหลี่ยม สิ่งที่อยู่ใกล้แท่นบูชามากที่สุดทางซ้ายมือคืออัศวินโง่เง่าที่ไม่รู้จักชื่อ ฝั่งด้านขวาคืออัศวินติดหนี้อย่างเจียเอ่อลั่ว อัศวินแห่งพระวิหารที่เหลือคอยรักษาความสงบเรียบร้อยอยู่ไกลออกไป มิไกลจากฝั่งตรงข้ามของตัวเขามีคนผู้หนึ่งสวมอาภรณ์หรูหรางดงามกำลังกล่าวสุนทรพจน์อย่างฮึกเหิม ทว่าด้วยหูของตนถูกอุดเอาไว้ จึงฟังมิชัดว่าคนผู้นั้นกำลังกล่าวถึงสิ่งใด
กระทั่งโม่จ้านเงยหน้าขึ้น แสงสะท้อนแสบตาสายหนึ่งทำเอาโม่จ้านตาบอดไปชั่วครู่—บนมงกุฎพระสังฆราชรูปทรงรังผึ้งครอบไว้ด้วยมงกุฎฉาบทองทำจากทองสัมฤทธิ์ตกแต่งด้วยลวดสีเงินและลวดสีทอง ตรงกลางยังสวมทับไว้ด้วยมงกุฎฉาบทองทำจากเงิน ้าสุดคือมงกุฎทองคำบริสุทธิ์ที่แกะสลักด้วยลวดลายงดงามประณีต
แสงอาทิตย์กระทบมงกุฎหนักทั้งสามจนก่อเกิดแสงสะท้อนไปทั่วทั้งสี่ทิศ เรียกได้ว่าแทบจะส่องสว่างโดยรอบแทนพระอาทิตย์เลยทีเดียว ทำให้โม่จ้านนึกถึงตึกใหญ่ในบางเมืองที่ถูกรื้อถอนเพราะการประท้วงเื่มลพิษทางแสง ขณะมอง ‘หมวกกันน็อคโลหะ’ ที่สูงกว่าศีรษะของผู้กล่าวสุนทรพจน์เกือบจะสองเท่าครึ่ง โม่จ้านถึงกับนึกสงสัยว่ากระดูกสันหลังของอีกฝ่ายไปผ่านการฝึกฝนพิเศษอันใดมาบ้าง มิเช่นนั้นจะแบกของหนักจนน่าสะพรึงเยี่ยงนั้นเอาไว้ได้อย่างไร
อีกฝ่ายสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ สายพาดตกแต่งด้วยด้ายสีทองทั้งสองข้างพาดอยู่บนหลังคอ ส่วนล่างของสายพาดปักลวดลายคทาวิเศษงดงามและลายวงเวทย์ กอปรกับเสื้อคลุมประกอบพิธีที่เต็มไปด้วยลายเส้นและผ้าคลุมไหล่สีแดง อีกทั้งยังมีไม้กางเขนที่คล้องอยู่บนลำคอ คาดว่าคงเป็สมเด็จพระสันตะปาปาในคำกล่าวขานแน่
ผ้าขาดวิ่นปิดกั้นเสียงอื้ออึงภายนอกไว้ ทำให้โม่จ้านได้ใช้ความคิดกับตัวเองอย่างสงบ
ลายคทาวิเศษและลายวงเวทย์เช่นนั้น ตนเคยเห็นจากบนกายของพระสังฆราชลู่อี้และพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ลำดับสอง หรือนี่จะเป็ ‘ตราประจำชาติ’? น่าเสียดายที่เห็นหน้าของเขามิชัด มิเช่นนั้นคงจะได้ดูชมสักหน่อยว่าคนผู้นี้มีเสน่ห์มากเพียงใด ถึงขนาดสามารถทำให้กลุ่มชนที่ส่งเสียงอื้ออึงสงบลงได้ อีกทั้งยังสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนไปจนหมด
ชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับการกระทำในครั้งนี้ หากมิสำเร็จก็จะกลายเป็การพลีชีพ ความสนใจของทุกคนล้วนอยู่บนตัวของพระสันตะปาปา นี่นับเป็โอกาสสุดท้ายแล้ว
แววตาของโม่จ้านแปรเปลี่ยนเป็เด็ดเดี่ยว ราวกับกำลังดำเนินพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์อย่างไรอย่างนั้น ก่อนที่เขาจะค่อยๆ กัดหลอดแก้วในปากให้แตก
เชิงอรรถ
[1] หลีหมี่ (厘米) หน่วยนับแบบจีนเท่ากับ
เิเ
[2] เค่อ (刻) หน่วยนับเวลาแบบจีนเท่ากับ
นาที / 1 เค่อ เทียบเท่า 15 นาทีโดยประมาณตามเวลาสากล