ตระกูลใหญ่ทั้งหกอย่างตระกูลเจิ้งและตระกูลหลิ่ว แต่ละตระกูลต่างก็ส่งคนให้มาประจำที่เขาจิงหั่วหลิงซานแห่งนี้หกถึงสิบคน!
มาจากจวนเจิ้งอ๋องสิบคน ตระกูลหลิ่วแปดคน และอีกสี่ตระกูลที่เหลือตระกูลละหกคน ซึ่งนอกจากแต่ละตระกูลจะจัดให้มีหนึ่งคนประจำอยู่ที่ศาลาตรงทางขึ้นเพื่อเฝ้าระวังเส้นทางขึ้นเขาแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมดจะอยู่บนูเา โดยจะมีหัวหน้าหนึ่งคน รองหัวหน้าหนึ่งคน ผู้จัดการอีกสองคน และช่างฝีมือแปดคน ส่วนนักยุทธ์ระดับสูงที่เหลืออีกยี่สิบหกคนจะรับผิดชอบดูแลการเก็บรวบรวมหินผลึกไฟ โดยจะคอยควบคุมดูแลผู้คนหลายร้อยคนที่เกณฑ์มาจากละแวกนั้นโดยรอบ และแยกย้ายกันไปตามเถ้าูเาไฟเพื่อรวบรวมหินไฟสีแดงที่แปลกประหลาดเหล่านี้
เมื่อรวบรวมมาได้แล้วก็จะส่งให้ช่างฝีมือไปแปรรูป ถลุงเอาสิ่งที่เจือปนออก และนำมาเจียระไนให้กลายเป็หินผลึกไฟ!
...
ทันทีที่หมอกดำพวยพุ่งเข้ามา ชายวัยกลางคนซึ่งเข้าไปก่อนก็ใสุดขีด!
ภายในหมอกหนานี้มืดมิดราวกับน้ำหมึก แม้ตัวเขาจะเป็ถึงนักยุทธ์ระดับเก้าขั้นสูงสุด แต่ก็ยังมองเห็นระยะทางโดยรอบได้เพียงสองฉื่อเท่านั้น ต่ำกว่าเอวลงไปก็ไม่สามารถมองเห็นได้แล้ว แม้แต่มือและฝ่ามือทั้งสองข้างก็ต้องยกขึ้นมาถึงจะมองเห็นได้ สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวมากที่สุดก็คือ ประสาทััทั้งห้าดูเหมือนจะใช้การไม่ได้ จนสูญเสียความฉับไวที่มีแต่เดิมไป!
ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน จมูกไม่ได้กลิ่น!
“ลูกพี่เทาอยู่ที่ไหน?” ทันใดนั้นชายวัยกลางคนก็ได้ยินเสียงสหายร้องเรียกอย่างเร่งรีบ!
“เจี่ยงอิง!” ชายวัยกลางคนหันหน้าไปมองทางด้านซ้าย! แต่สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือหมอกอันหนาทึบและมืดมิด! “ข้าอยู่ตรงนี้!”
“ลูกพี่เทาอยู่ไหน?” ห่างออกไปเจ็ดเมตรทางด้านหลัง ชายหนุ่มที่ถือแส้เส้นยาวมีสีหน้าระแวดระวังขึ้นมา หมอกหนานี้น่าพิศวงมาก มันปิดกั้นได้แม้กระทั่งการรับรู้ทิศทาง!
เมื่อสักครู่เขายังได้ยินเสียงของหลิ่วอวิ่นเทาเรียกชื่อตัวเขามาจากทางด้านหน้าอยู่เลย แต่ในชั่วพริบตาต่อมา เสียง “ข้าอยู่ตรงนี้” กลับดังมาจากทางขวา!
ด้วยเหตุนี้ ทำให้เจี่ยงอิงไม่กล้าผลีผลามเคลื่อนที่อย่างง่ายดาย ต้องร้องถามอีกครั้ง!
ชายวัยกลางคนที่ชื่อหลิ่วอวิ่นเทาหันหลังกลับมา ในเวลานี้ตัวเขาก็มีสีหน้าระแวดระวังและงุนงงเช่นกัน เพราะเสียงของเจี่ยงอิงที่เป็สหายกลับดังมาจากทางขวา! ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายยังอยู่ข้างหน้าเขาอยู่เลย ตัวเขาย้ายที่ได้อย่างรวดเร็วเพียงนั้นเลยเชียวหรือ? ไร้เหตุผลสิ้นดี! อีกฝ่ายจะเดินผ่านเขาไปโดยที่ตัวเขาไม่รู้สึกได้อย่างไร?
ชายวัยกลางคนหลิ่วอวิ่นเทาที่กำลังงุนงงหันหน้าไปแล้วกล่าว “เจี่ยงอิง เ้ามาอยู่ข้างหน้าแล้วหรือ?”
...
ภายในหมอกดำ เซียวหลิงอวิ๋นยื่นมือไปหยิบถุงหนังสัตว์โป่งพองซึ่งวางอยู่ใกล้ศพขึ้นมา! เมื่อเปิดออกมาก็พบว่าภายในมีหินสีแดงเข้มขนาดต่างๆ กว่าสิบก้อนที่แผ่ความร้อนออกมา ก้อนที่ใหญ่ที่สุดก็มีขนาดเท่ากับกะละมัง ส่วนก้อนที่เล็กที่สุดมีขนาดพอๆ กับไข่เป็ด!
ไม่เลว พลังเพลิงจากใต้พิภพนี้ค่อนข้างบริสุทธิ์ เซียวหลิงอวิ๋นเผยสีหน้ายินดี!
นอกเหนือจากคนแรกที่สวมเสื้อเกราะเอาไว้ข้างใน ทำให้ไม่ถูกฆ่าตายในครั้งเดียว ส่งเสียงร้องหลุดออกมา คนต่อมาอีกสองคนต่างก็ถูกฆ่าตายในครั้งเดียว เดิมทีตัวเขาตั้งใจจะจับเป็คนที่สอง แต่เนื่องจากคนที่สองและสามอยู่ด้วยกัน ทำให้การฆ่าและจับกุมโดยที่ยังเป็ๆ นั้นเป็เื่ยากเกินไป จนกระทั่งมีคนที่สี่โผล่มา เซียวหลิงอวิ๋นจึงจับเป็ ซักถามสถานการณ์ในูเาลูกนี้ หลังจากนั้นจึงหักคอสังหารอีกฝ่ายเสีย!
สี่สิบสองคน ตัวเขาฆ่าไปแล้วสิบคน ก็จะเหลืออีกสามสิบคน ส่วนช่างฝีมืออีกแปดคนไม่จำเป็ต้องจัดการอย่างอำมหิตนัก ที่สำคัญที่สุดคือในบรรดาช่างฝีมือแปดคนจะมีผู้จัดการทั่วไปสองคนคอยดูแลอยู่ ผู้จัดการทั้งสองคนนี้เป็ผู้ใช้พลังิญญาเสียด้วย คนหนึ่งเป็ผู้ใช้พลังิญญาระดับกลาง อีกคนหนึ่งเป็ผู้ใช้พลังิญญาระดับสูง!
เซียวหลิงอวิ๋นที่รู้ดีถึงความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงระหว่างนักยุทธ์กับผู้ใช้พลังิญญา ไม่โง่พอที่จะรนหาที่ตาย เข้าไปสู้กับผู้ใช้พลังิญญาสองคนพร้อมกัน!
แม้ว่าจะมีองครักษ์สุดแข็งแกร่งอย่างชิวเทียนฉี่อยู่ข้างกาย แต่เซียวหลิงอวิ๋นก็ไม่อยากไปยุ่งกับอีกฝ่ายอยู่ดี!
สิ่งที่เขาต้องทำก็คือจัดการสังหารนักยุทธ์ที่เหลืออีกยี่สิบสองคน เพื่อรวบรวมหินผลึกไฟจากตัวพวกเขา จากนั้นรอให้ทั้งหกกองกำลังที่้ารุกรานมาหาเขา เพื่อลงนามในข้อตกลงยอมจำนนและขอสงบศึก!
หลังจากได้รับข้อมูลมาแล้ว เซียวหลิงอวิ๋นก็ผลุบเข้าไปในหมอกราวกับปลาแหวกว่ายน้ำ ทั้งลึกลับและคาดเดาไม่ได้ ส่วนชิวเทียนฉี่ก็คอยเดินตามหลังเซียวหลิงอวิ๋นและเรียกใช้วิชาขจัดจิตใจอยู่ตลอด เห็นเซียวหลิงอวิ๋นเป็ราวกับภูตผี คอยเก็บเกี่ยวข้าวของจากเหล่านักยุทธ์ของทั้งหกตระกูลอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ชิวเทียนฉี่ที่ว่าโเี้และน่าเกรงขามราวกับจ้าวพยัคฆ์แล้ว ยังต้องรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาในหัวใจ
ไม่ว่าจะเป็นักยุทธ์ระดับเจ็ด ระดับแปด หรือระดับเก้า เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของเซียวหลิงอวิ๋นในหมอกดำ ล้วนไม่สามารถป้องกันได้เลย ถูกฆ่าตายภายในครั้งเดียวโดยไร้ซึ่งสุ้มเสียง!
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ หมอกดำเช่นนี้ บวกกับยอดฝีมือที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์และหมอกดำนี้ เขาแทบเหมือนเป็ยมทูตที่คอยเก็บเกี่ยวิญญา ทุกที่ที่เขาผ่านไป ไม่มีใครหนีรอดไปได้ขอเพียงเขา้าปลิดชีพ!
ขณะที่กำลังรู้สึกขนลุกอยู่นี้ ชิวเทียนฉี่รู้สึกโชคดีมากเช่นกันที่ได้อาวุธแหลมคมเช่นนี้มาให้ตระกูลชิวของเขา อย่าว่าแต่ได้เพียงสามคนเลย แค่สองคนก็เพียงพอแล้ว คนหนึ่งวางอาคม อีกคนหนึ่งโจมตี ภายใต้คนในระดับปรมาจารย์ิญญาก็ไม่มีใครเทียบได้ทั้งสิ้น! นอกเหนือจากสำนักใหญ่บางแห่งแล้ว ก็มีปรมาจารย์ิญญาเพียงไม่กี่คนเท่านั้น!
แม้แต่อดีตผู้นำตระกูลชิว หรือปู่ของชิวเทียนฉี่ผู้มีอายุยืนยาวถึงหนึ่งร้อยสามสิบสองปี ปู่ของเขาได้เป็ปรมาจารย์ระดับสูงมานานยี่สิบปี จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามไปสู่ชั้นมหาปรมาจารย์ิญญาได้ เป็ไปได้มากว่าในชีวิตนี้ก็คงจะหยุดอยู่ที่ระดับปรมาจารย์ิญญาเท่านั้น!
ในเวลานี้ชิวเทียนฉี่ไม่เพียงแต่จะรู้สึกเศร้าใจแทนหกตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเจิ้งอ๋องเท่านั้น ยุ่งกับตระกูลไหนไม่ยุ่ง ดันไปยุ่งกับตระกูลเซียวที่มีปีศาจอย่างเ้าหนุ่มหลิงอวิ๋นอยู่! ช่างเป็บาปมหันต์ที่ก่อเอาไว้เองจริงๆ!
เซียวหลิงอวิ๋นส่งถุงหนังสัตว์อีกใบให้ชิวเทียนฉี่แล้วกล่าว “ท่านลุงชิว ข้าขอรบกวนท่านช่วยเก็บของพวกนี้เอาไว้ให้หน่อย!”
“ฮ่าๆ เื่เล็กน้อย ส่งมาเลย!” ชิวเทียนฉี่หัวเราะอย่างร่าเริง รับถุงหนังสัตว์นั้นมา เทหินผลึกไฟจำนวนสิบกว่าชิ้นที่อยู่ในถุงนั้นลงในถุงหนังสัตว์ขนาดใหญ่อีกใบหนึ่ง! แล้วโยนถุงหนังสัตว์ใบเล็กที่ว่างเปล่านั้นทิ้งไป สะพายถุงหนังสัตว์ใบใหญ่ที่พองฟูไว้หลัง! มือซ้ายถือถุงหนังสัตว์ใบใหญ่สองใบ ส่วนมือขวาก็ถือถุงหนังสัตว์ใบใหญ่ที่ยังบรรจุของด้านในไว้เพียงครึ่ง และก้าวเดินตามเซียวหลิงอวิ๋นต่ออย่างไม่คิดอะไร!
ชิวเทียนฉี่ไม่ใช่แค่รูปร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามเท่านั้น ยังมีฉายาที่โด่งดังอย่าง ‘จ้าวพยัคฆ์’ ซึ่งสื่อถึงพละกำลังและร่างกายที่แข็งแกร่งโดยกำเนิด! สามารถแบกหินผลึกไฟที่มีน้ำหนักรวมกว่าห้าพันชั่งนี้ไว้บนหลัง โดยที่ไม่ได้เป็อุปสรรคอะไรต่อการเคลื่อนไหวของเขามากนัก
ตลอดทางที่ผ่านมา เซียวหลิงอวิ๋นได้ฆ่านักยุทธ์ระดับหกของตระกูลใหญ่ไปแล้วยี่สิบคน เหลือเพียงอีกสองคนสุดท้ายเท่านั้น!
หลังจากนั้นไม่นาน เซียวหลิงอวิ๋นก็พบเป้าหมายภายในหมอกดำ!
พวกเขามารวมตัวกันได้แล้วหรือนี่? ถึงสองคนสุดท้ายจะรวมตัวกันได้แล้วก็เถอะ แต่แค่เสียเวลาเพิ่มขึ้นอีกไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น! นอกจากนี้ภายในหมอกดำ ต่อให้มีการต่อสู้ที่ดุเดือดเกิดขึ้น เสียงกระแทกกันของดาบต่อดาบก็สามารถส่งออกไปได้ไกลสุดเพียงไม่กี่สิบเมตรเท่านั้น ไม่สามารถส่งไปถึงสถานที่แปรรูปแร่ที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้ได้เลย หรือต่อให้ผู้ใช้พลังิญญาสองคนนั้นฝึกวิชาประเภทขจัดจิตใจมา ก็ยังไม่ได้ยินอยู่ดี!
นักยุทธ์สองคนสุดท้ายนี้คือชายวัยกลางคนหลิ่วอวิ่นเทา และชายหนุ่มถือแส้เจี่ยงอิงนั่นเอง คนหนึ่งเป็นักยุทธ์ระดับเก้าขั้นสูงสุด อีกคนหนึ่งเป็นักยุทธ์ระดับเก้าขั้นกลาง!
หลังจากร้องเรียกหากันอยู่หลายครั้ง เจี่ยงอิงก็ยังไม่สามารถยืนยันตำแหน่งของอีกฝ่ายได้ จึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองมีแส้เส้นยาวอยู่ในมือ จึงโบกแส้ฟาดไปรอบๆ กระทั่งหลิ่วอวิ่นเทาสามารถจับเอาไว้ได้ ในที่สุดทั้งคู่ก็อาศัยแส้ยาวแปดเมตรเส้นนั้นจึงกลับมารวมตัวกันได้สำเร็จ!
หลังจากกลับมารวมตัวกันได้แล้ว ทั้งคู่ก็จับปลายแส้เอาไว้คนละข้าง ให้คนหนึ่งลองพยายามสำรวจบริเวณโดยรอบ หลังจากพยายามอยู่หลายครั้งก็ไม่ได้ผล จนในที่สุดทั้งสองที่สิ้นหวังก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ยืนพิงหลังชนหลัง ไม่กล้าเคลื่อนไหวอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าอีกต่อไป รอคอยให้หมอกจางหายไปอย่างเงียบๆ!
เพียงแต่สิ่งที่รอทั้งคู่อยู่กลับไม่ใช่หมอกที่จางหายไป กลับกลายเป็ยมทูตเซียวหลิงอวิ๋นที่มาหาถึงที่!
