นางเพียง้าความกล้าของเสิ่นเยี่ยน
หลังจากใคร่ครวญสิ่งที่ตวนอ๋องพูดเมื่อครู่ นางจะทำให้เสิ่นเยี่ยนเดือดร้อนงั้นหรือ?
กู้เจิงข่มความโกรธไว้ในใจ นางมองตวนอ๋องอย่างตรงไปตรงมาพยายามพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะเป็ไปได้ “หม่อมฉันแค่อยากใช้ชีวิตกับสามีอย่างปกติสุขหากวันหน้าเขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งได้อย่างราบรื่นภรรยาเช่นข้าจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยเขาไม่มีทางทำให้เขาเดือดร้อนเด็ดขาดเพคะ”
“เ้าน่ะหรือ?” ตวนอ๋องเอ่ยเสียงประชดประชัน
“ในเมื่อหม่อมฉันไม่อาจทำให้ท่านอ๋องเชื่อได้เช่นนั้นคงทำได้เพียงใช้เวลาเป็เครื่องพิสูจน์เท่านั้นแล้วล่ะเพคะ”
ท่าทีสุภาพอ่อนน้อม กับคำพูดที่ตรงไปตรงมานั้นทำตวนอ๋องตะลึงงันไปครู่หนึ่งเขาหันกลับไปมองลานฝึกทหารด้วยสีหน้าเ็าโดยไม่พูดอะไรอีก
ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ยุ่งเื่ครอบครัวของผู้ใต้บังคับบัญชาก็ไม่กลัวถูกคนหัวเราะเยาะ ในใจกู้เจิงเกิดโทสะและรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องต่อให้นางเป็คนอย่างที่ตวนอ๋องพูด แต่นางเนี่ยนะจะทำให้เสิ่นเยี่ยนเดือดร้อนได้
นางเป็แค่หญิงสาวธรรมดาๆ คนหนึ่ง จะก่อปัญหาได้ขนาดไหนกัน?
ชุนหงและเหล่าทหารอารักขาล้วนยืนเฝ้าอยู่ด้านล่างดังนั้นจึงไม่รู้เื่ที่เกิดขึ้น้า พวกเขาต่างมองดูการฝึกทหารอย่างตื่นเต้น
นั่งอยู่ครู่หนึ่ง กู้เจิงก็ลุกขึ้นคารวะตวนอ๋องแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง หม่อมฉันรู้สึกไม่สบาย จึงขอตัวก่อนเพคะ” จากนั้นนางก็เดินลงไป
จนกระทั่งกู้เจิงเดินลงไปจนพ้นไปจากสายตาตวนอ๋องได้หันมองไปที่ที่นางเคยนั่ง ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยโทสะอย่างไร้เหตุผลทหารด้านล่างล้วนสงสัยว่าตวนอ๋องเป็อะไรไป
พอเห็นคุณหนูเดินลงจากแท่นที่ประทับชุนหงก็รู้แล้วว่ามีเื่บางอย่างเกิดขึ้น รอบเดือนของคุณหนูยังไม่หมดดีคุณหนูคงจะไม่ค่อยสบายตัว
เมื่อเดินออกจากลานฝึกทหาร กู้เจิงก็เห็นทหารน้อยที่พาพวกนางมาด้านหลังเขาไม่ใช่รถวัวคันนั้นอีกต่อไป แต่เป็รถม้าคันเล็กๆ คันหนึ่ง
เมื่อเขาเห็นนาง ทหารน้อยก็วิ่งเข้ามาหา “ท่านเสนาธิการให้ข้าน้อยเช่ารถม้ามาพาท่านกลับไปขอรับ”
“ท่านบุตรเขยช่างรู้ใจคุณหนูจริงๆ เ้าค่ะ” ชุนหงเอ่ยด้วยความยินดี
กู้เจิงประหลาดใจอยู่บ้างแต่จากที่อยู่ร่วมกันมาก็รู้แล้วว่าภายนอกเสิ่นเยี่ยนที่ดูเ็าและห่างเหินแท้จริงแล้วเป็คนละเอียดรอบคอบทั้งโถน้ำร้อนที่นำมาให้นางตอนปวดท้องรอบเดือนและยังจะเสื้อคลุมที่นางใส่อยู่อีกเมื่อเขาใส่ใจนางเช่นนี้ แน่นอนว่านางต้องรับไว้
ทั้งสองตรงกลับไปที่บ้านของเสิ่นซื่อที่ทุกคนมารวมตัวช่วยกันทำขนมเข่งอยู่ ขนมเข่งถูกทำจนเสร็จนานแล้วสองสามีภรรยาเสิ่นกำลังเกลี่ยออกทีละชิ้นๆ รอจนแข็งแล้วจึงใส่ลงไปแช่ตัวในน้ำ
“ท่านแม่ ในขนมเข่งนี้ใส่อะไรไว้หรือเ้าคะ?” กู้เจิงเห็นขนมเข่งในมือแม่สามีเป็ลายๆ อยู่หลายจุดเมื่อดมก็ได้กลิ่นหอมอันคุ้นเคย
“ข้างในใส่เฉินผี* บดละเอียดหอมไหม?” นายหญิงเสิ่นยิ้มบางๆ
(*คือเปลือกส้มจีนตากแห้งเป็สมุนไพรชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณบรรเทาอาการไอ เจ็บคอ และช่วยให้เืไหลเวียนดี)
“หอมเ้าค่ะ อย่างนี้ก็กินได้หรือเ้าคะ?”
“กินได้สิ แต่นำมาทำเป็ขนมเข่งแห้ง หลังจากหั่นเป็ชิ้นแล้วนำไปผัด จะยิ่งมีกลิ่นหอม ดูสิ ตรงนี้ยังมีขนมเข่งงาดำด้วยนะ”
กู้เจิงตั้งตารอคอยขนมเข่งแห้งที่แม่สามีพูดถึงนางพับแขนเสื้อขึ้นแล้วเริ่มช่วยนางเกลี่ยขนมเข่ง
ขณะที่ทุกคนกำลังเกลี่ยวางขนมเข่งกันอย่างสนุกสนานก็มีชายวัยกลางคนเดินแบกหญ้าแห้งสองตะกร้าเข้ามา “พ่อเฒ่าเสิ่น หญ้าแห้งของปีนี้มาแล้ว”
“ดีๆ ต่อให้ฤดูหนาวปีนี้ยาวนานกว่านี้หญ้าแห้งที่เ้าแบกมาก็เพียงพอที่จะให้วัวและแกะของบ้านเรากินแล้ว” นายท่านเสิ่นพาชายคนนั้นเข้าไปในห้องเก็บฟืนและนำหญ้าแห้งเข้าไปด้วย
กู้เจิงเห็นในห้องเก็บฟืนตอนนี้เต็มไปด้วยหญ้าแห้งสำหรับเลี้ยงวัวและแกะใน่ฤดูหนาวตระกูลเสิ่นมีฐานะดีกว่าชาวบ้านทั่วไปมากรายได้ของพวกมาจากผลผลิตจากสวนไร่นาที่นอกเมืองดังนั้นงานพวกเก็บเกี่ยวทั่วไปจึงเป็การจ้างงานคนในหมู่บ้านทำส่วนค่าตอบแทนก็จ่ายให้จำนวนมาก อีกทั้งครอบครัวตระกูลเสิ่นมีอัธยาศัยดีคนในหมู่บ้านจึงเต็มใจรับทำงานให้พวกเขา
พอตกบ่าย กู้เจิงก็ลากชุนหงไปเรียนหนังสือด้วยกัน
ตอนที่นายหญิงเสิ่นจะออกไปทำงานที่สวนมองจากหน้าต่างก็เห็นลูกสะใภ้กำลังตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือนางยิ้มและมองอยู่พักหนึ่ง นายท่านเสิ่นเห็นภรรยาไม่ออกมาสักทีเลยเข้ามาตามก็เห็นภรรยากำลังมองลูกสะใภ้อ่านหนังสืออยู่
“ดูท่าลูกสะใภ้ของเราก็เป็สตรีมากความสามารถเหมือนกันนะ”
“เบาเสียงหน่อยเ้าค่ะ อย่าให้รบกวนนาง”
หิมะแรกของฤดูหนาวตกติดต่อกันได้สามสี่วันก็หยุดลง
การสอบขุนนางใกล้เข้ามาแล้ว เสิ่นเยี่ยนจึงไม่ได้ไปค่ายทหารอีกเขาตั้งใจอ่านหนังสือที่บ้านแทน พอเห็นความพยายามของเสิ่นเยี่ยนกู้เจิงก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้หวนคิดได้ว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของนางในตอนนั้นยังไม่ตึงเครียดขนาดนี้เลย
วันนี้ชุนหงกลับไปเยี่ยมหวังซู่เหนียงที่จวนกู้ พอกลับมาบ้านกู้เจิงก็ถามถึงสารทุกข์สุขดิบของซู่เหนียงอย่างละเอียดจึงได้รู้ว่าสุขภาพของซู่เหนียงดีวันดีคืน จิตใจของนางก็สงบลงไม่น้อย
“คุณหนู ท่านพูดถูกเ้าค่ะ นายหญิงไม่ใช่ไม่ดีจริงๆ” หลังจากชุนหงฝึกคัดตัวอักษรเสร็จแล้วนางก็วางพู่กันลงและพูดกับคุณหนู “ั้แ่คุณหนูแต่งงานนายหญิงก็ส่งยาบำรุงไปให้ซู่เหนียงไม่ขาดเลยเ้าค่ะ คุณหนูว่าเหตุใดซู่เหนียงจึงเห็นว่านายหญิงเป็คนไม่ดีมาตลอดหรือเ้าคะ?”
อย่างแรกคือหวังซู่เหนียงเลอะเลือน สองก็คือชอบก่อเื่แต่ทั้งสองข้อนี้ล้วนเป็เพราะหัวอกของคนเป็แม่ กู้เจิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เป็การรู้จักป้องกันตนเอง และไม่ไว้ใจผู้อื่นจนเกินไปซู่เหนียงทำไปก็เพื่อบุตรสาวเช่นข้า” หากตอนนั้นไม่ได้ให้กำเนิดนาง ไม่แน่ว่าหวังซู่เหนียงอาจได้อยู่ในเรือนเล็กอย่างสงบสุข
“ท่านบุตรเขย” ชุนหงร้องทักเมื่อหันมาเห็นเสิ่นเยี่ยนที่หน้าประตู
ไม่รู้ว่าเสิ่นเยี่ยนยืนมานานแค่ไหนแล้วเขาเดินเข้ามาหยิบกระดาษที่ทั้งสองคนฝึกเขียน ก่อนจะกวาดตามองภรรยาแวบหนึ่ง “ชุนหงเขียนตัวอักษรได้ดีกว่าเ้ามากนัก”
กู้เจิง “...”
ชุนหงเอามือปิดปากแอบหัวเราะ แล้วกล่าวกับทั้งสองคนว่า “ขอบพระคุณท่านบุตรเขยที่ชมเ้าค่ะบ่าวจะไปรินน้ำชามาให้คุณหนูและท่านบุตรเขยนะเ้าคะ” ว่าแล้วชุนหงจึงออกไป
กู้เจิงแย่งกระดาษคืนจากมือเสิ่นเยี่ยนด้วยความไม่พอใจนางวางกระดาษลงบนโต๊ะแล้วเขียนต่อ ตัวอักษรมีลำดับขีดตั้งมากมายแต่นางก็มีความอดทนพอที่จะเรียนรู้ เขายังจะมาพูดกับนางเช่นนี้อีก
“ยังจับพู่กันไม่ถูก ตั้งตรงไม่พอ หัวลงต่ำเกินไปแล้ว”
กู้เจิงชำเลืองตามองเสิ่นเยี่ยน พูดอย่างน้อยใจว่า “ข้าฝึกเขียนมาตลอดทั้งบ่าย เมื่อยมือไปหมดแล้วเ้าค่ะ”
“การเรียนหนังสือเป็เื่ลำบาก หากเ้าไม่มีระเบียบแบบแผนก็อย่าได้เรียนอีกเลย” เสิ่นเยี่ยนเมินความน้อยใจของกู้เจิง
“ข้าบ่นสักหน่อยไม่ได้หรือเ้าคะ?”
“ไม่ได้” เสิ่นเยี่ยนพลิกดูตัวอักษรที่กู้เจิงเขียนไว้ทีละแผ่นจากนั้นจึงหยิบคัมภีร์ ‘สามอักษร[1]’ และ ‘พันบทกวี[2]’ บนชั้นหนังสือมาวางไว้ตรงหน้ากู้เจิง “สองเล่มนี้เป็ตำราที่เ้าต้องใช้อ่านต่อ”
กู้เจิงไม่อยากจะเชื่อ “เพิ่งผ่านไปแค่สองสามวันเท่านั้นข้ายังอ่านตำราร้อยสกุลไม่จบเลยนะเ้าคะ”
“เ้าไม่ใช่เด็กอายุสามสี่ขวบจำต้องเพิ่มพูนความรู้ในระดับที่สูงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้เ้าได้อ่านหนังสือไปบ้างแล้วสำหรับเ้าแล้วหนังสือสามเล่มนี้เป็เพียงการทบทวนเท่านั้นการอ่านหนังสือให้จบภายในสิบวันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
เห็นท่าทางเข้มงวดจริงจังของเสิ่นเยี่ยน กู้เจิงก็อยากจะร้องไห้นางไม่ได้จะสอบระดับเข้ารับราชการเสียหน่อย แค่จะตรวจบัญชีต้องจริงจังถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
เสิ่นเยี่ยนเหมือนจะรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเหลือบมองนาง “ถ้าคิดว่าตัวเองโง่ก็ไม่ต้องอ่านหนังสือแล้ว”
“แน่นอนว่าข้าไม่ได้โง่ ข้าจะอ่านให้จบภายในสิบวันเ้าค่ะ” กู้เจิงถูกกระตุ้นจนฉุนเฉียวจึงหลุดปากตอบกลับไปเช่นนั้นพอพูดจบก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที
ยามชุนหงยกน้ำชาเข้ามา นางไม่เห็นท่านบุตรเขยเห็นเพียงคุณหนูกำลังฝนหมึกด้วยท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธเคือง
เหลือเวลาอีกเพียงสามวันก่อนจะถึงการสอบเข้ารับราชการระดับมณฑลวันหนึ่งแม่เฒ่าซุนหญิงรับใช้ของนายหญิงเว่ยซื่อได้มาที่ตระกูลเสิ่นนางบอกว่าได้รับคำสั่งจากนายท่านและนายหญิงให้เชิญคุณหนูใหญ่กับท่านบุตรเขยกลับไปทานอาหารที่บ้านทั้งยังบอกว่าน้องรองกู้เจิ้งชินก็เอ่ยถึงท่านบุตรเขยเช่นกัน
เมื่อกล่าวถึงน้องรอง กู้เจิงจึงนึกได้ว่าการสอบครั้งนี้น้องรองก็ต้องเข้าร่วมด้วย ทว่าต่างกับเสิ่นเยี่ยนตรงที่ว่าการสอบของเขาเป็การสอบก้าวข้ามระดับมณฑล หากสอบติดก็นับว่าเป็จวี่เหรินน้อยแล้วส่วนเสิ่นเยี่ยนซึ่งถูกแนะนําจากตวนอ๋องนั้น หากสอบติดนั่นก็เท่ากับมีคุณสมบัติของก้งซื่อและมีโอกาสได้เข้าสอบในพระราชวังหากเข้าตาฮ่องเต้ก็ย่อมได้เลื่อนขั้นเป็จิ้นซื่อโดยตรงเช่นนั้นก็จะกลายเป็ขุนนางได้
ดังนั้นแม่เฒ่าซุนจึงมาเชิญพวกเขากลับไปทานอาหารแท้จริงแล้วก็แค่้าให้เสิ่นเยี่ยนไปชี้แนะแลกเปลี่ยนความรู้กับน้องรองเท่านั้น
กู้เจิงรู้ว่าทางเรือนใหญ่ของตระกูลกู้ดูแคลนเสิ่นเยี่ยนที่พึ่งพาอาศัยใบบุญจากตวนอ๋องแม้นางเองจะไม่ชอบพวกเขา แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็เพราะพวกเขานางถึงได้มาเป็ภรรยาของเสิ่นเยี่ยน และเสิ่นเยี่ยนก็อาจช่วยน้องรองของนางได้เช่นกันดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเรือนหลักจึงดูเหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย
-----------------------------------
[1] สามอักษร เป็หนึ่งในตำราเรียนที่ใช้เป็บทเรียนปฐมวัยของคนจีนมาั้แ่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันเนื้อหาอ่านง่ายคล้องจองจึงทำให้ท่องจำได้ง่าย
[2] พันบทกวี เป็หนึ่งในตำราเรียนปฐมวัยในสมัยจีนโบราณโดยมีบทกวีมากกว่าพันบท เป็บทกวีที่เข้าใจง่าย และยังมีการนำมาใช้เป็ตำราสอนช่วยฝึกฝนการท่องจำของเด็กมาจนถึงปัจจุบัน