สถานที่ที่ต้วนเหล่ยเรียกว่า “ทะเลสาบทางทิศใต้” ที่จริงแล้วมันเป็สวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณนี้ มีชื่อเต็มๆ ว่า สวนสาธารณะทะเลสาบทางทิศใต้ แต่โดยปกติแล้วสถานที่ที่พวกเขาจะนัดไปท้าตีท้าต่อยกันคือบริเวณป่ารกร้างไม่รู้จักชื่อที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังของสวนสาธารณะทะเลสาบทางทิศใต้ อันที่จริงสภาพแวดล้อมตรงนั้นก็ไม่เลว แต่ทว่าเมื่อหลายปีก่อนเคยมีนักว่ายน้ำในป่าเสียชีวิตอยู่ตรงนั้น ภายหลังคนจึงค่อยๆ น้อยลงแล้ว ส่วนคนที่ยังคงไปเดินแถวนั้นอยู่ นอกจากจะไปนัดต่อยตีกันเหมือนพวกเขาแล้ว ที่เหลือก็เป็เหล่าคู่รักหนุ่มสาวที่แอบมาที่นี่เพื่อหาความตื่นเต้นเร้าอารมณ์โดยใช้บรรยากาศตอนกลางคืนอันมืดมิดและมีลมโชยแรงนี้เป็ตัวกระตุ้น
“ที่ที่ต้วนเหล่ยเลือกคือที่นี่งั้นเหรอ” ชวีเสี่ยวปอเดินไปบนทางที่ไม่ค่อยจะราบเรียบ เดิมทีตอนเขาออกมาก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้อารมณ์เสียอะไร แต่ตอนนี้กลับรู้สึกโมโหสุดๆ
“นายว่าพอพวกเราไปถึง แล้วข้างหน้ามีคนสองร้อยคนรอเราอยู่จะทำยังไงอะ” เซี่ยเจิงถามออกไป
“วิ่งสิ” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะ “ยังต้องให้พูดอีก” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็พูดต่อขึ้นมาว่า : “แต่ว่าต้วนเหล่ยหาคนได้ไม่เยอะขนาดนั้นหรอก”
เซี่ยเจิงไม่ได้พูดอะไรต่อ ทั้งสองเดินไปอย่างเงียบ ต้นไม้ที่อยู่สองข้างทางถูกลมพัดจนใบไม้ปลิวหล่นลงมา ดวงจันทร์ที่อยู่ท่ามกลางก้อนเมฆเดี๋ยวก็ลับหายไปเดี๋ยวก็ปรากฏขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าถ้าตอนนี้มีดนตรีประกอบขึ้นมาก็คงจะเป็ดนตรีประกอบของหนังสยองขวัญอย่างแน่นอน
ความคิดจินตนาการของคนเราไม่ควรที่จะฟุ้งซ่านมากเกินไป โดยเฉพาะตอนอยู่ในสถานที่ที่ “น่ากลัว” เช่นนี้ เมื่อเริ่มเื่แบบนี้ขึ้นมา ชวีเสี่ยวปอก็นึกขึ้นมาได้แม้กระทั่งคำพูดไร้สาระเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่แม่เขาชอบพูดขู่ว่า “ถ้ายังไม่นอนอีกผีจะมากินลูกแล้วนะ” เมื่อครู่ก็ยังไม่รู้สึกอะไร ทว่าในตอนนี้พอเห็นเงาของต้นไม้ที่ไหวไปไหวมาที่พื้น ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกเหมือนกับว่าจะมีมือโผล่ออกมาจากไหนสักแห่ง แล้วทันใดนั้นก็มาจับเขาเอาไว้
“นายตื่นเต้นเหรอ? ” ในขณะนั้นจู่ๆ เซี่ยเจิงก็ผิวปากออกมา
“เปล่านี่” ชวีเสี่ยวปอมองเขาไปอย่างงงๆ ในใจก็คิดว่าเซี่ยเจิงนายนี่เป็พยาธิในท้องฉันหรือเปล่าเนี่ย
“เมื่อกี้นายฮัมเพลงขึ้นมาแล้วนี่ ไม่ใช่เพื่อที่จะได้เบี่ยงเบนความสนใจเหรอ” เซี่ยเจิงพูดพลางยื่นมือมาลูบที่ฝ่ามือของชวีเสี่ยวปอ “ฝ่ามือนายก็เหงื่อออกแล้วด้วย”
“ฉันฮัมเพลงเหรอ? ทำไมฉันไม่เห็นจะรู้เื่เลย” ชวีเสี่ยวปอไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่นิด “ฉันฮัมเพลงอะไร? ”
“เพลงประกอบหนังเื่เดอะซูเปอร์มาริโอบราเธอร์สน่ะ ตุ๊ด ตูๆ ตุ๊ๆ ตูๆ อันนั้นอะ” เซี่ยเจิงฮัมออกมาหนึ่งรอบ “นายร้องเพลงเพราะอยู่เหมือนกันนะ”
“นี่มันฟังออกที่ไหนกันเล่า !” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น จากนั้นเขาอธิบายออกไปอย่างเขินๆ “เมื่อกี้ลมพัดต้นไม้จนมีเสียงออกมาใช่ไหมล่ะ ฉันเลยนึกถึงหนังสยองขวัญขึ้นมา”
“ฉันก็นึกว่าเป็เพราะอีกเดี๋ยวต้องไปเจอต้วนเหล่ยซะอีก” เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมา “ที่แท้เป็เพราะกลัวผีนี่เอง”
“ให้ตายสิ อย่าพูดถึงคำนั้นได้ไหม” ชวีเสี่ยวปอขมวดคิ้ว “ต้วนเหล่ยยังไม่น่ากลัวเท่าสิ่งนั้นเลย”
“ไม่เป็ไร” เซี่ยเจิงรู้สึกอยากจะหัวเราะออกมา โดยเฉพาะตอนที่ชวีเสี่ยวปอพูดประโยคนั้นออกมาพร้อมทั้งชำเลืองมองไปยังสองข้างทาง ทำราวกับว่าจะมีบางอย่างโผล่ออกมาอย่างไรอย่างนั้นแหละ “พี่เจิงจะปกป้องนายเอง”
สิ่งที่เห็นเป็อันดับแรกก็คือจุดสีแดงเล็กๆ หลายจุดที่เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวดับอยู่ตรงบริเวณริมทะเลสาบ แก๊งของพวกต้วนเหล่ยกำลังสูบบุหรี่ด้วยกันอยู่ แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ อีกฝ่ายมีเพียงแค่ประมาณห้าหกคนเท่านั้น ในตอนนั้นเองชวีเสี่ยวปอก็ได้ยินเสียงคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “มาแล้ว” จากนั้นพวกเขาทั้งหมดตรงนั้นก็หันมามองเขาและเซี่ยเจิงเป็ตาเดียว
“ไม่เจอกันนานเลยนะ” ต้วนเหล่ยโยนบุหรี่ทิ้งลงพื้นพร้อมทั้งใช้เท้าเหยียบขยี้มันจนดับ ต้วนเหล่ยดูผอมลงไปมาก ไม่ต้องบอกก็รู้ได้เลยว่า่ที่เขาพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลคงจะไม่มีความสุขน่าดู เพียงแต่คำพูดที่ว่าไม่เจอกันนานเลยนะประโยคนี้ เมื่อมันออกมาจากปากคนอย่างเขาแล้วคงจะไม่ได้มีความหมายว่าจากกันไปนานแล้วกลับมาพบกันใหม่อย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อได้ยินจึงรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมานิดนึงแล้ว
“นายก็มาด้วยเหรอเนี่ย” ต้วนเหล่ยชี้ไปที่เซี่ยเจิง
“อย่ามัวแต่เสียเวลาอยู่เลย” ท่าทางหาเื่ของต้วนเหล่ยนี้ทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาทันที “ตัวต่อตัวหรือว่าพวกนายจะเข้ามาพร้อมกันเลย”
“เราสองคนตัวตัว” ต้วนเหล่ยมองเขาด้วยสายตาที่เ็า “เขาไม่ต้อง”
“นายหมายความว่ายังไง? ”
“เขาไม่ได้เก่งสุดยอดหรอกเหรอ? คนเดียวสู้กับพวกที่เหลือ” ขณะที่ต้วนเหล่ยกำลังพูดอยู่ คนที่อยู่ข้างหลังก็เดินขึ้นมาล้อมรอบเขาทั้งสองคนไว้ ชวีเสี่ยวปอกวาดตามองไปครั้งหนึ่ง เขาถึงเห็นอย่างชัดเจนว่าหลายคนตรงนั้นไม่มีใครเป็นักเรียนของโรงเรียนอาชีวะเลย แต่หนึ่งในนั้นคนที่มีรอยสักขนาดใหญ่อยู่ที่แขนชวีเสี่ยวปอกลับคุ้นหน้าคุ้นตาเป็อย่างดี เขามีฉายาว่าเสือตัวที่สาม เป็คนคอยคุมอยู่ในร้านสนุกเกอร์สักแห่ง
ต้วนเหล่ยเตรียมการมาหมดแล้ว
ชวีเสี่ยวปอไม่ได้พูดอะไรออกไป คนกลุ่มนี้กับพวกอาชีวะไม่เหมือนกัน พวกเขาเรียกได้ว่าเป็ไอ้สารเลวโดยสมบูรณ์แบบ ถ้าหากต่อยตีกับพวกนั้นแล้วดันชนะขึ้นมา เขากับเซี่ยเจิงก็จะมีปัญหาใหญ่ขึ้นยิ่งกว่าเดิม แต่ถ้าแพ้......
บ้าเอ๊ย แพ้ไม่ได้
ในขณะนั้นเองชวีเสี่ยวปอสบตากับเซี่ยเจิงอย่างรวดเร็ว และในแววตาของเขาก็ชัดเจนมากว่าเซี่ยเจิงและตัวเขาจะสู้ไปด้วยกัน
ไม่ต้องตัวต่อตัว สู้ไปพร้อมกันเลย
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายก็รอแทบไม่ไหวแล้วเหมือนกัน คนที่ลงมือเป็คนแรกคือต้วนเหล่ย ในตอนนั้นเองชวีเสี่ยวปอเห็นต้วนเหล่ยดึงท่อนเหล็กออกมาจากแขนเสื้อของเขาอย่างรวดเร็ว แล้วจู่ๆ สมองของเขาก็คิดขึ้นมาได้ประโยคหนึ่ง
หมาเปลี่ยนนิสัยที่ชอบกินอึไม่ได้จริงๆ
ต้วนเหล่ยชอบมาไม้นี้ทุกที และตัวเขาก็คงจะประเมินต้วนเหล่ยสูงเกินไป
แต่เสี้ยววินาทีต่อมาในขณะที่ท่อนเหล็กถูกทุบลงมานั้น ชวีเสี่ยวปอกลับได้ยินเป็เสียงเหล็กกระทบกันแทน เขารีบหันหน้าไปดูทันที แล้วก็พบว่าในมือของเซี่ยเจิงไม่รู้ว่ามีท่อนเหล็กท่อนหนึ่งเพิ่มขึ้นมาตอนไหน
“เตรียมการพร้อมย่อมไม่มีภัย” เซี่ยเจิงยักคิ้ว
“ร้ายกาจมาก !” ชวีเสี่ยวปอะโออกมา
“ไอ้บ้าเอ๊ย !” ต้วนเหล่ยะโด่าออกมาเสียงดัง “รออะไรกันอยู่วะ! เข้าไปดิ! ”
ชวีเสี่ยวปอเตรียมตัวพร้อมแล้ว แต่วินาทีถัดมากลับมีเงาของคนคนหนึ่งเดินเข้ามาคั่นกลางระหว่างเขากับต้วนเหล่ย จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงที่พูดออกมาว่า “ต้วนเหล่ยแกมันเป็ไอ้สารเลว” จึงทำให้ทุกคนตรงนั้นล้วนอึ้งกันไปหมด
ที่นี่ยังมีคนอื่นอยู่ด้วย
พวกเขาไม่มีใครรู้เลยสักคน
และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ “คนอื่น” ที่ว่าตอนนี้เขากำลังจับต้นคอของต้วนเหล่ยอยู่ พร้อมทั้งออกแรงเตะเข้าที่ก้นของเขาอยู่หลายครั้ง พลางด่าออกมาเสียงดังด้วยว่า “ฉันให้แกอยู่บ้านนอนเฉยๆ แกไม่เชื่อฟัง ยังกล้ามามีเื่อีก ไอ้สารเลวนี่ฉันว่าแกคงอยากจะโดนสักหมัดแล้วล่ะ !”
“เชี่ย” ชวีเสี่ยวปอได้ยินเซี่ยเจิงด่าออกมาเสียงเบา “นี่ใครเนี่ย”
“พ่อของต้วนเหล่ย”
สถานการณ์ของเื่ราวนี้กลับตาลปัตรไปในทันที
คนกลุ่มนั้นยืนมองต้วนเหล่ยโดนพ่อของเขาต่อยอยู่ระมาณห้านาทีได้ ในขณะนั้นชวีเสี่ยวปอถึงขนาดคิดขึ้นมาว่าต้องเข้าไปเกลี้ยกล่อมพ่อเขาสักหน่อยไหม เพราะว่าเสียงร้องของต้วนเหล่ยมันช่างน่าเวทนาซะเหลือเกิน
แต่กลับถูกสายตาของเซี่ยเจิงห้ามเอาไว้ซะก่อน
“อยู่ตรงนี้รออะไรกันฮะ? !” ในที่สุดพ่อของต้วนเหล่ยก็หยุดาacaที่มีเพียงตัวเขาคนเดียวนี้ลง “กลับบ้าน! พวกแกทุกคนนี่นะ ไม่รู้จักเรียนแต่มาต่อยตีกัน เดี๋ยวจะให้ไปนอนห้องขังสักสองวันจะได้รู้ว่ามันเป็ยังไง !”
ชวีเสี่ยวปอดึงเซี่ยเจิงและหลบออกไปจากตรงนั้น
เขาไม่อยากให้พ่อของต้วนเหล่ยจำเขาได้ ถึงแม้ว่าเขาอาจจะจำได้แล้วก็ตาม ดังนั้นสิ่งที่เขาหวังเป็อย่างยิ่งก็คือ่นี้ขอให้พ่อของต้วนเหล่ยอย่าเพิ่งได้เจอกับชวีอี้เจี๋ยเลย ถ้าหากชวีอี้เจี๋ยรู้เื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้เข้า ก็จะมีปัญหาที่ไม่จำเป็เกิดขึ้นมาอีกเยอะเลยทีเดียว
ไม่รู้ว่าเป็เพราะอะไร ทั้งสองคนยิ่งเดินก็ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ และท้ายที่สุดก็เกือบจะวิ่งเหยาะๆ ออกไปจนถึงพื้นที่โล่งกว้างด้านนอก จากนั้นทั้งสองคนก็หอบหายใจอยู่ประมาณหนึ่งนาทีได้ แล้วจู่ๆ เซี่ยเจิงก็ยืนตัวตรงขึ้นมา เขาหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากเอวด้านหลังของเขาและโยนมันลงพื้นไป ทันใดนั้นก็มีเสียงของความคมดังขึ้นมา
“ให้ตายเถอะ” ชวีเสี่ยวปอนั่งยองๆ ลงไป จากนั้นก็หย่อนก้นนั่งลงไปกับพื้น
เขาเห็นอย่างชัดเจนว่ามันคือ มีด
“เซี่ยเจิง” ชวีเสี่ยวปอหอบหายออกอย่างแรง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เขารู้สึกราวกับว่าอยากจะฉีกเสื้อผ้าของตัวเองออกมาให้รู้แล้วรู้รอด “นายคิดอะไรอยู่ฮะ? ”
“ฉันบอกแล้วไง” เซี่ยเจิงนั่งลงมาข้างๆ เขา “พี่เจิงจะปกป้องนายเอง”