ยามบ่าย
แสงตะวันเจิดจ้าแจ่มกระจ่าง
ลานแสดงยุทธ์ของเขตปีหนึ่ง สำนักกวางขาว
“ไม่คิดเลยว่าในเวลาเร็วขนาดนี้ จะฝึกฝนถึงอาณาพิภพขั้นหกแล้วจริงๆ มารดาเ้าด เด็กเวรคนนี้ทำได้อย่างไรกันเนี่ย?” อาจารย์กำยำเวินหว่านสำรวจวิชาฝึกฝนของเ่ิูเรียบร้อยแล้ว พลันว่าหยาบคายออกมาอย่างอดใจไม่ไหว
“เอ้อ ฝึกไปฝึกมาก็ได้อย่างนี้แล้ว...” เ่ิูไม่รู้ไม่ชี้ ทำหน้าอย่างผู้บริสุทธิ์
เวินหว่านพยายามอย่างยิ่งที่จะห้ามมือตัวเองไม่ให้อยากบีบคอนั่นขึ้นมา
เขากดเสียงลงต่ำ มองซ้ายมองขวาลับๆ ล่อๆ แล้วกระซิบ “เฮ้ย บอกความจริงข้ามา หลิวเล่ยเด็กบ้านั่น ถูกเ้ากำจัดไปใช่ไหม? ไม่ต้องกังวลไป เ้าบอกความจริง ว่าตามตรงนะ ข้าก็เหม็นขี้หน้าเ้าเด็กบ้านั่นมานานแล้ว!”
“ไม่ใช่ข้าแน่” เ่ิูส่ายหน้า ตรงไปตรงมาและเรียบง่าย
เวินหว่านชะงัก เค้นเสียงในลำคอออกมาอย่างคับแค้น
ทว่าเขากลับนึกอะไรออกกะทันหัน เอ่ยต่อว่า “ไม่ใช่เ้าก็ดีแล้ว แต่ว่า ตระกูลหลิวไม่มีทางรามือจากเ้าง่ายดายเช่นนี้แน่ เพราะเื่นี้ เ้ามันน่าสงสัยที่สุด...”
เ่ิูยักไหล่เบื่อหน่าย
เวินหว่านถูกท่าทีนั้นทำยัวะเข้าให้แล้ว เขาว่าต่อ “ครั้งนี้น่ะ เ้าต้องขอบอกขอบใจเ้าัเีนั่นสักหน่อยนะ...”
“เขาหรือ?” เด็กหนุ่มแปลกใจไม่หน่อย
เวินหว่านปรายตามองเขาดูแคลน “อะไร? เ้ายังไม่รู้เื่รู้ราวอีกหรือ? เมื่อคืนวานในป่าเปล่าเปลี่ยว หลิวหยวนชั่งทั้งหาฆาตกรไม่เจอ หาศพบุตรตัวเองไม่เจอ โกรธจนสติแตก พอสั่งสมจวนะเิก็ลั่นวาจาจะลงกับเ้า ทรมานทรกรรมเ้า คิดจะทำให้เ้าเป็บ้าไม่สมประดี เพราะต่อให้ฆ่าอีกเป็หมื่นครั้งก็ไม่สาใจ สุดท้ายัเีเ้าบ้านั่นก็ยืนหยัดจะปกป้องเ้า ถึงได้ทุ่มเทประมือแบบไม่คิดหน้าคิดหลังอย่างไรล่ะ...”
“หา?” เ่ิูตระหนกสุดที่จะตระหนกได้แล้ว
ยังมีเื่แบบนี้อยู่อีกหรือ?
“จะหาอะไร เด็กเอ๋ยเด็กน้อย เ้ามันอ่อนเดียงสาเกินไปแล้ว ประมาณค่าอันตรายในโลกนี้ต่ำเกินไปแล้ว” เวินหว่านถอนหายใจมากเกินพอดี “หลิวหยวนชั่งเป็ชนชั้นสูงแต่งตั้งจากราชสำนักเชียวนะ สำนักเมืองกับสำนักกวางขาวอธิบายกับเขาแล้ว เขาก็ยังยืนยันจะฆ่าเ้าให้ได้ เ้าต้องเละอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ไม่รู้อะไรดลใจ เ้าบ้าัเีนั่น คราวนี้ไม่ใช่แค่กินยาผิดขวด แต่ใจแข็งยืนกรานจะปกป้องเ้าให้ได้ สุดท้ายเพราะพลังโทสะ ถึงได้ฆ่ายอดฝีมือของสำนักสำมะโนประชาไปสามคน สู้จนหลิวหยวนชั่งเืกระอักแพ้พ่าย ถึงได้ปกป้องเ้าไว้ได้...”
“หา?” เขาอึ้งอิมกี่กับเบื้องลึกเื้ันี่เข้าให้แล้ว
“หาทำทวดเ้าเรอะ นอกจากหาแล้วไม่คิดจะพูดคำอื่นเลยหรือไง” เวินหว่านด่าพลางเอามือปิดหน้า “ข้าพูดเยอะขนาดนี้ เด็กเมื่อวานซืนอย่างเ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
“เข้าใจอะไร?” เ่ิูทั้งทึ่มทั้งซื่อบื้อก็วันนี้นี่แหละ
“แม่เ้าโว้ย...” เวินหว่านหลุดคำหยาบคาย “สถานการณ์เ้าตอนนี้จะลงหลุมอยู่รอมร่อรู้ไหม เพราะงั้นเวลานี้ ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่ในกรอบตัวเองดีๆ มีสติหน่อย อย่าให้พวกตระกูลหลิวฉวยโอกาสไปได้”
“อื้อ” เ่ิูพยักหน้าเหม่อลอย
ผู้าุโกว่าไม่รู้จะเอ่ยคำไหน
ที่เขาอุตส่าห์พูดปากเปียกปากแฉะด้วยห่วงใยนี้ เห็นจะกลายเป็สีซอให้ควายฟังสินะ
แต่เขามั่นใจได้ว่า เ่ิูเ้าเล่ห์ในใจนัก ภายนอกเสแสร้งมึนงงไปอย่างนั้น ในใจปีศาจเหนือเมฆนักล่ะ
“โอ้ ใช่แล้ว ไม่คิดเลยนะว่าอาจารย์ัเีคนนั้น จะหัวรุนแรงเช่นนี้...” เ่ิูโศกเศร้านัก “ครั้งนี้เขาเป็อาจารย์ตรวจการณ์ ไม่ได้ใคร่จะกล่าวโทษหรอกนะ แต่การตายของหลิวเล่ยเป็ความรับผิดชอบของเขาเต็มกระบวนเลยนี่ ไม่คิดเลยว่าสุดท้าย จะไม่แค่ไม่เอ่ยคำขอโทษ ยังเล่นงานบิดาหลิวเล่ยจนเืกระอักอีก ไม่อันธพาลไปหน่อยเหรอ?”
“มันน่ะเหรอ?” เวินหว่านเบ้ปาก “เ้าโคตรจะไม่เข้าใจมันเลย กับเื่บ้าบอคอแตกที่มันทำมาแต่เริ่มแล้วล่ะก็ เื่นี้มันก็แค่เื่ขี้ประติ๋วเท่านั้นเอง...”
เด็กหนุ่มนึกแปลกใจในอาจารย์กำมะลอผู้นี้นัก
“แต่เขาทำอย่างนี้ สำนักจะไม่ลงโทษเอาหรอกหรือ?” เ่ิูถามอย่างเป็ห่วงเล็กน้อย
“ก็แน่น่ะซี่ เ้าสำนักออกหน้ามากำกับดูแลเื่นี้แล้ว ลงโทษัเีให้ไปจองจำอยู่ใน ‘หอกระจกระทม’ สามวันเต็ม...” อาจารย์กำยำว่าพลางหัวเราะฮี่ๆ
“เอ้อ?” เขาตัวแข็ง “ถึงข้าจะไม่รู้ว่าหอกระจกระทมนั่นเป็อย่างไร แต่ฟังดูแล้ว น่าจะเป็บทลงโทษที่เบามากเลยสินะ!”
“เ้าก็คิดเหมือนข้าใช่ไหม?” เวินหว่านเริ่มหาแนวร่วม “ความจริงมันก็เบาจนทำคนโมโหผมชี้ได้เลยล่ะนะ เ้าสำนักก็แค่ปกป้องลูกวัวไว้อย่างดีเท่านั้นแหละ หอกระจกระทมเป็ห้องนอนของัเีนี่ เ้าสำนักแค่ให้เ้าบ้าัเีนั่นคิดทบทวนไปสามวันสามคืนในห้องตัวเองเท่านั้นเอง วะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ไร้ยางอายจริงๆ!”
“ห้องนอน” เ่ิูใกับมาตรการพิทักษ์ลูกวัวที่ไร้หลักการนี้อย่างสิ้นเชิง “ไร้ยางอายจริงๆ ด้วย ไร้ยางอาย!”
เวินหว่านตบๆบ่าศิษย์รักศิษย์แค้น เขาหัวเราะอย่างจงใจหยอกล้อ “อิจฉามากใช่หรือเปล่า? สู้ๆ นะ เด็กน้อยเอ๋ย รอวันใดวันหนึ่ง เ้าคงได้เป็เหมือนัเี เผยศักดานุภาพในศึกเกียรติยศสิบสำนัก ทะลวงเข้าอาณาทะเลระทมั้แ่ก่อนอายุยี่สิบ ได้ฉายาเป็ฟ้าประทานอันดับหนึ่งเป็ประวัติการณ์ของสำนักกวางขาวเมื่อใด เ้าสำนักก็จะพิทักษ์เ้าไว้อย่างลืมหลักการเช่นนี้แหละ!”
“อย่างนี้นี่เอง” เขาเข้าใจขึ้นมาฉับพลัน แต่ก็อดพิศวงมิได้ “แต่ทำไมัเีถึงอยากปกป้องข้ากันเล่า?”
“นั่นก็...” อาจารย์กำยำแบมือลอยๆ “ถ้ามีเวลาก็หาฤกษ์ไปถามเ้าบ้านั่นเอาเองเถอะ!”
เอ่ยถึงตรงนี้ เวินหว่านก็ส่ายหน้า “ข้าคิดว่าเ้ากับคนบ้านี่มีวาสนากันจริงๆ นะ เ้าบ้าคนหนึ่งอยากฆ่าเ้า สุดท้ายตายสนิท เ้าบ้าอีกคนปรารถนาพิทักษ์เ้า สุดท้ายถูกกักตัว อะฮ่าฮ่า”
“...” เ่ิูเงียบกริบ
ชายฉกรรจ์ขำขันอยู่พักใหญ่ ถึงได้ปรับสีหน้าเป็จริงจังพลางว่า “เอาล่ะ ไม่พูดเื่พวกนี้แล้ว ต่อจากนี้จะทำอย่างไรเล่า? อีกไม่กี่วันก็จะเป็เดือนสอบของปีหนึ่งแล้วนะ มีทะยานอยากอะไรในใจหรือไม่?”
เด็กหนุ่มส่ายหน้า “ไม่มีเลย”
“เอ้อ? หรือเ้าจะไม่เข้าสอบ?” เวินหว่านชะงัก
“เข้าร่วมข้าก็อาจจะเข้าร่วมอยู่หรอก แต่ไม่อยากโจ่งแจ้งอะไรมากมาย”
เวินหว่านนิ่งไปครู่หนึ่ง ราวกับนึกอะไรออก เขาพยักหน้า “ก็ดี ลดบทบาทลงหน่อย...แต่ว่า ได้ยินมาว่าฉินอู๋ซวงกับเยี่ยนสิงเทียนทดสอบสนามจริงคราวนี้เก็บเกี่ยวได้มากมาย บุกทำลายเสียราบ เหยียบเข้าอาณาน้ำพุิญญาเต็มร่างแล้วนะ แล้วยังซ่งชิงหลัวก็ล้ำหน้าไปมาก หากเ้าลดบทบาทตัวเองลงต่อไป น่ากลัวว่าคนในสำนักนี้จะหลงลืมเ้าได้นะ”
เ่ิูหัวเราะ “จะมาห่วงข้าทำไมขนาดนี้?”
เวินหว่านหัวเราะบ้าง “เพราะข้าชอบเ้าไง”
“น่าขนลุกชะมัด” เด็กหนุ่มว่า “อ้อใช่ ข้ามีไข่มุกอยู่สามเม็ด ได้มาจากหอยตลับตอนล่าในป่าเปล่าเปลี่ยว แปลกไปหน่อย ท่านช่วยข้าดูหน่อยสิ ว่าเป็อย่างไรมาอย่างไร?”
เอ่ยพลางหยิบไข่มุกเป็ประกายนั้นออกมาแล้วส่งให้อีกคน
เวินหว่านลองเล่นสักเล็กน้อย ท่าทีเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็ภูมิฐานขึ้นมา “น่าสนใจไม่น้อย ข้าเองก็มองไม่ออก เอาแบบนี้แล้วกัน ข้าถือมันไปถามเพื่อนที่ ‘ห้องของแปลก’ ให้ พวกนั้นรู้เื่ของไม่ธรรมดาชนิดครอบจักรวาลเลยล่ะ!”
เ่ิูพยักหน้ารับรู้
“ถ้าเช่นนั้นก็ตามนี้ รอฟังข่าวจากข้าเถอะ ฮ่าๆ...” ชายกำยำหัวเราะดังๆ เหมือนเป็โรคประสาท จากนั้นร่างพลันเปล่งไอพราวระยับ กายดุจัน่าครั่นคร้าม ย่ำย่างบนกิ่งไม้ปลอมข้างลาน ก่อนล่องลอยหายไป
“ต้องแสดงฤทธิ์วิชาตัวเบาทุกทีสิน่า เดินธรรมดาๆ ไม่ได้หรือไงกัน” เ่ิูตำหนิไล่หลัง
...
วันที่สอง
แถวศิษย์ทั้งหลายที่มาต่อกันแลกคะแนนน้อยลงแล้ว เ่ิูถึงหอบหิ้วกระดูกแท้ที่ตัวเองได้มาเข้าต่อบ้าง เขาเก็บเกี่ยวมามหาศาล ห้าสิบกว่าชิ้นเห็นจะได้
จำนวนขนาดนี้ เทียบกับนักเรียนคนอื่นที่ได้มาอย่างมากคนละสามสี่อันแล้ว นับว่าเป็ยอดเศรษฐีในคืนเดียวเลยล่ะ
ทว่าเ่ิูระแวดระวังในใจยิ่งนัก คราวนี้แบกมาแค่หกชิ้น รวมกับเนื้อหนังของัอสรพิษทอง เขี้ยวพิษและอื่นๆ สุดท้ายแลกมาได้ยี่สิบคะแนน
ท่ามกลางสายตาริษยาของศิษย์ร่วมรุ่น เ่ิูกลับเดินออกจากหน่วยธุรการเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาเดินปรี่ไปยังหอสมุดคลังแสงของปีหนึ่ง เพราะ้าตรวจของอะไรบางอย่าง
หอสมุดคลังแสงเป็สถานที่รวมรวบทุกคัมภีร์เก่าแก่และหนังสือเคล็ดวิชาวรยุทธ์ทุกประเภทของสำนักกวางขาว เป็สถานที่สำคัญของสำนัก
ภายนอกของหอสมุดนั้นดูเป็หอคอยขาวสองชั้น สีซีดเก่าแก่ แม้ขนาดจะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย เก็บหนังสือไว้ไม่เกินหนึ่งหมื่นเล่ม ส่วนมากเป็หนังสือเคล็ดฝึกวิชาขั้นต่ำ แต่สำหรับศิษย์ปีหนึ่งแล้ว มีค่าพอจะใช้แน่นอน
ว่ากันว่าเหล่าอัจฉริยะก่อนจะสำแดงเนื้อในออกมานั้น ได้เข้ามาอ่านหนังสือซ้ำไปซ้ำมา จดจำและเข้าถึงอย่างถ่องแท้ สุดท้ายจึงแข็งแกร่งะเืคนทั้งอาณา กลายเป็ยอดฝีมือไป
นี่เป็ครั้งแรกที่เด็กหนุ่มเข้ามาในหอสมุดคลังแสง
อาจารย์ผู้ดูแลตรวจสอบป้ายนามของเขา แล้วจึงปล่อยเขาเข้าไป
ในหอคอยขาวแสงไฟอร่าม บนชั้นหนังสือจากหิน แบ่งแยกจัดวางหนังสือทุกประเภทไว้ครบครัน มีวิถีวรยุทธ์ฝึกร่างกายมากมายหลายรูปแบบ มีการฝึกใจก่อนเข้าสู่อาณาพิภพ มีสมุดภาพแยกประเภทของวิเศษิญญาและยาสมุนไพร มีประวัติบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์...
ภพที่วรยุทธ์เฟื่องฟูนี้ ทุกสิ่งล้วนมีมันข้องเกี่ยวด้วยทั้งนั้น
เ่ิูมองหารายละเอียดยิบย่อย สุดท้ายก็เจอชั้นหนังสือหมวด ‘สิ่งของแปลกอักษรโบราณ’
ว่ากันแบบไม่อ้อมค้อม นี่เป็ประเภทหนังสือที่รกร้างนัก คนที่สนใจน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย มีหนังสือรวมกันไม่ถึงร้อยเล่ม ฝุ่นเกาะบางๆ ดูท่าจะไม่มีคนมาปัดกวาดหลายปีแล้ว
เขาเหมือนได้ยินเสียงถอนใจเหงาหงอยของหนังสือพวกนี้
“อื้อ...สมุดภาพอักษรแปลก เล่มนี้แหละ!”
สุดท้ายก็พบเจอหนังสือที่เขากำลัง้าจนได้
หนังสือนี้หนาสามนิ้วมือ เป็หนังสือเขียนด้วยมือ มิใช่พิมพ์เอาแต่อย่างใด หน้าปกบางจนมองเห็นด้านหลัง ด้านล่างเขียนคำว่า ‘เกาเชิ่งหาน รวบรวม’
ดูไปแล้ว น่าจะเป็หนังสือเล่มเดียวเดี่ยวๆ
น่าเสียดายที่เนื้อหาไม่สู้จะข้องเกี่ยวกับการฝึกฝนสักเท่าใด เหตุนั้นจึงน้อยนักจะมีคนมาไยดี และเหตุที่เ่ิูสนใจมันก็เป็เพราะ้าตรวจสอบ ว่าอักษรห้าตัวบนคัมภีร์ทองแดงเล่มนั้น หมายความว่าอะไรกันแน่
เขามีลางสังหรณ์ว่าคัมภีร์ทองแดงที่ได้มาจากหอยแมลงภู่ทองคำนั่น หาใช่หนังสือพื้นเพทั่วไปไม่
“เอ๋ หนังสือนี่แบ่งประเภทละเอียดดีจริงๆ นะ ยังมีดัชนีให้ดูอีก...สมควรเรียกว่าพจนานุกรมอักษรแปลกเลยนะนี่ เกาเชิ่งหานผู้รวบรวมนี่เป็เทพเ้าแต่ไหนกันนะ ถึงได้คงแก่เรียนถึงเพียงนี้?”
เ่ิูพลิกไปสองสามหน้า อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างแปลกใจ
“ตัวอักษรห้าตัวบนคัมภีร์ทองแดงนั่น น่าจะเป็ของยุค...อืม สมัยดึกดำบ...ไม่ใช่ เป็อักษรสมัยเทพมาร ์ช่วย ยุคโบราณขนาดนั้นเชียว!”