เมื่อได้ยินดังนั้นทำให้เสิ่นเสวียนอดยิ้มแห้งๆ ออกมาไม่ได้
เป็อย่างที่คิดไว้ โรงเตี๊ยมคือสถานที่ที่รู้ข่าวสารได้ล้ำลึกที่สุดตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรหรือที่นี่ เพียงแค่มากินอาหารก็ได้ยินเื่น่าสนใจแล้ว
“ท่านพี่ สัตว์วิเศษตัวนั้นคืออะไรหรือ”
เสิ่นเสี่ยวเม่ยถามอย่างอยากรู้
“สนใจอย่างนั้นหรือ”
“อื้ม”
“แล้วเ้าล่ะ”
เสิ่นเสวียนหันไปถามเสิ่นเลี่ยน
“อืม”
เสิ่นเลี่ยนแววตาฉายประกายเพลิงฮึกเหิมออกมา เขา้าสั่งสมประสบการณ์อย่างแรงกล้า ก่อนหน้านี้เขามีพร์มากท่ามกลางคนวัยเยาว์ในตระกูลเสิ่น ฝึกฝนถึงขั้นปรมาจารย์ระดับสูงได้ั้แ่อายุยังน้อย แต่ไหนแต่ไรมาเขาคิดมาตลอดว่าตนเองยอดเยี่ยมมากแล้ว กระทั่งได้เจอกับเสิ่นเสวียน
เขาอายุน้อยกว่าเสิ่นเสวียนหนึ่งปี นับว่าเป็คนรุ่นเดียวกัน เขาคิดมาตลอดว่านายน้อยผู้นี้ไร้ประโยชน์ ไม่เคยเห็นเขาเป็เป้าหมายในการใช้ชีวิตมาก่อน
กระทั่งเสิ่นเสวียนปรากฏตัวขึ้นในหอประชุม ทำให้เขาเปลี่ยนความคิดต่อเสิ่นเสวียนไปอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้เขาเห็นเสิ่นเสวียนเป็เป้าหมายในการใช้ชีวิต จะไม่ปล่อยให้โอกาสที่จะได้สั่งสมประสบการณ์หลุดมือไปเด็ดขาด
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ พวกเราไปดูกันเถอะ”
เสิ่นเสวียนดื่มสุราอุ่นๆ เข้าไปก่อนจะกล่าว
หลังจากจ่ายค่าอาหารเรียบร้อยแล้ว พวกของเสิ่นเสวียนทั้งสามคนจึงเดินออกจากโรงเตี๊ยมแล้วขี่ม้ามุ่งหน้าไปทางเขาหมังตั้ง
หมู่บ้านชิงซานตั้งอยู่ที่เชิงเขาหมังตั้ง เขาหมังตั้งเป็เทือกเขาที่ค่อนข้างใหญ่ในแคว้นชิงหยุน พาดผ่านจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก บนนั้นเต็มไปด้วยสัตว์วิเศษ ส่วนใหญ่จะเป็พื้นที่สูงชัน หมู่บ้านชิงซานคือทางเข้าออกที่สร้างขึ้นโดยธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้จึงมีคนมารวมตัวอยู่ที่นี่เยอะมากจนเกิดเป็หมู่บ้านขึ้นมา
กลางหมู่บ้านชิงซานมีถนนหลวงกว้างสามจั้งพาดผ่าน เป็เส้นทางมุ่งตรงไปยังเขาหมังตั้ง สองข้างทางมีสิ่งก่อสร้างเรียงราย ทั้งสามคนขี่ม้าไปถึงทางขึ้นเขาหมังตั้งอย่างรวดเร็ว
ตรงนี้มีต้นไม้สูงเสียดฟ้ายืนตระหง่านอยู่สองต้นเหมือนกับทางเข้าหมู่บ้าน ลำต้นมีขนาดใหญ่มาก บนนั้นสลักตัวอักษรไว้ว่า ‘เขาหมังตั้ง’ ดูจากตัวอักษรแล้วน่าจะเป็ฝีมือของคนผู้เดียวกับที่เขียนชื่อหมู่บ้านตรงทางเข้า
เวลานี้เป็่พลบค่ำ ไม่ค่อยมีคนผ่านเข้าไปมากนัก ส่วนใหญ่แล้วจะลงจากเขากลับไปยังหมู่บ้านชิงซาน เมื่อเห็นพวกของเสิ่นเสวียนทั้งสามคนมุ่งหน้าขึ้นไปบนนั้น หลายคนจึงมองราวกับพวกเขาทั้งสามโง่เขลายิ่งนัก
แม้เ้าจะเป็ลูกหลานจากตระกูลใหญ่ อย่างน้อยก็น่าจะพกสมองมาบ้างหรือเปล่า! เด็กสามคนขึ้นไปบนเขาหมังตั้งตอนนี้ ไม่รนหาที่ตายจะเรียกว่าอะไร
“เฮ้ พวกเ้าจะไปไหนกัน”
ขณะนั้นเอง บุรุษหนุ่มสามัญชนอายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่งส่งเสียงเรียกพวกของเสิ่นเสวียนไว้
เสิ่นเสวียนหันไปมองแล้วกล่าวกับบุรุษหนุ่ม “เข้าไปเดินเล่นนิดหน่อย”
“พี่ขอเตือนพวกเ้าอย่าขึ้นไปตอนนี้ดีกว่า ดึกแล้วสัตว์วิเศษจะดุร้ายกว่าตอนกลางวันมาก ตอนนี้บนนั้นเต็มไปด้วยอันตราย พวกเ้าอาจไม่โชคดี”
“ขอบคุณที่เตือน”
เสิ่นเสวียนพยักหน้าน้อยๆ ให้บุรุษหนุ่มสามัญชนผู้นั้น ทว่าเขาไม่ได้สนใจคำเตือนของอีกฝ่าย ยังคงเดินหน้าต่อไป
“เฮ้ ข้ากำลังคุยกับพวกเ้าอยู่นะ ในนั้นอันตรายมาก!”
เห็นพวกของเสิ่นเสวียนยังเดินหน้าต่อไป ทำให้บุรุษหนุ่มสามัญชนผู้นั้นรู้สึกเสียหน้าเหมือนกับโดนเมิน จึงะโเรียกพวกของเสิ่นเสวียนอีกครั้ง
แต่เสิ่นเสวียนทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงเดินหน้าต่อไป ด้วยพลังของเขาในตอนนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของพวกเขาสามคนได้ แม้มิอาจไปต่อก็ยังล่าถอยออกมาอย่างปลอดภัย
ตอนนี้แม้พลังยุทธ์ของเขาเพิ่งถึงขั้นแก่นทองคำระดับกลาง แต่พลังจิติญญาของเขาเกือบถึงขั้นหยวนก่อกำเนิดแล้ว เขามั่นใจว่าเมื่อทะลวงไปถึงขั้นแก่นทองคำระดับปลายแล้ว พลังจิติญญาจะทะลวงไปถึงขั้นหยวนก่อกำเนิดได้อย่างแน่นอน
บุรุษหนุ่มสามัญชนเห็นพวกของเสิ่นเสวียนทั้งสามคนเดินห่างออกไปเรื่อยๆ เขาจึงเดินตามมาด้วย
“บอกพวกเ้าแล้วพวกเ้ากลับไม่ฟัง หากต้องเจออันตรายเข้าจริงๆ แล้วจะเสียใจ”
ระหว่างที่กล่าว เขารีบเร่งฝีเท้าตามพวกของเสิ่นเสวียนไป
เขาหมังตั้งสูงชันมาก แม้แต่ทางเข้าจากหมู่บ้านชิงซานก็ยังชันมาก หลังจากเดินไปได้ราวสามสิบจั้ง ทั้งสามคนก็ตัดสินใจผูกม้าไว้ข้างทางแล้วเดินเท้าต่อไป
ระหว่างทางเสิ่นเสวียนยิ้มออกมา อธิบายวิธีการเอาตัวรอดให้เสิ่นเสี่ยวเม่ยและเสิ่นเลี่ยนฟังเป็ครั้งคราว อย่าเห็นว่าเสิ่นเสี่ยวเม่ยมีพลังขั้นแม่ทัพระดับกลางแล้ว หากปล่อยให้นางอยู่ในที่รกร้างเช่นนี้จริงๆ ไม่แน่ว่านางจะสามารถเอาตัวรอดออกไปได้
“วิ่งเร็ว! มีคนตายแล้ว!”
ขณะที่พวกเขาเดินไปได้กว่าครึ่งลี้ พลันมีเสียงคนโหวกเหวกดังมาจาก้า
ทั้งสามคนมองตามเสียงไป เห็นว่าตรงเนินเขา้ามีคนวิ่งลงมาสี่คน สี่คนนี้มีอายุประมาณสามสิบถึงสี่สิบปี เสื้อผ้าของพวกเขาเหมือนโดนกรงเล็บแหลมคมฉีกกระชาก ไอพลังบนร่างแผ่ซ่าน เห็นได้ชัดว่าได้รับาเ็ไม่น้อย
“ขึ้นไปดูหน่อย”
เสิ่นเสวียนกล่าวกับเสิ่นเลี่ยน
“ขอรับ”
เสิ่นเลี่ยนกล่าวรับคำของเสิ่นเสวียน แล้วเขาก็เร่งฝีเท้าเข้าไปหาสี่คนนั้นอย่างรวดเร็ว กระทั่งไปถึงตรงหน้าหนึ่งในสี่คนนั้นจึงประคองเขาขึ้นพลางถาม “เป็อย่างไรบ้าง”
“นั่น!!! ทางนั้นมีสัตว์วิเศษ!”
เขามีสีหน้าตื่นตระหนก หลังจากกล่าวออกมาเขาก็วิ่งลงไปด้านล่างทันที
ความหวาดกลัวในแววตาแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของสัตว์วิเศษ
เห็นคนเ่าั้วิ่งลงไปด้านล่าง เสิ่นเลี่ยนกลับมีแววตาร้อนแรงยิ่งกว่าเดิม
พลังยุทธ์ของคนเ่าั้ต่างอยู่ในขั้นปรมาจารย์ หนึ่งในนั้นมีพลังขั้นเดียวกับเขา นั่นคือขั้นปรมาจารย์ระดับสูง ตอนนี้เขาอยากลองดูสักหน่อย
“ท่านผู้นำ ข้าอยากไปดูสักหน่อย”
เสิ่นเลี่ยนหันมองเสิ่นเสวียน กล่าวขออนุญาต
“ไปเถอะ”
เสิ่นเสวียนพยักหน้าอนุญาต
เสิ่นเลี่ยนวิ่งตรงขึ้นไป้า ยิ่งขึ้นไปกลิ่นคาวเืยิ่งตลบอบอวล
“ช้าก่อน! ช้าก่อน!”
ขณะนั้นเอง บุรุษหนุ่มสามัญชนก่อนหน้านี้วิ่งไปพลางะโร้องเรียกเสิ่นเสวียนไปพลาง เพียงไม่นานก็ตามทันเสิ่นเสวียนและเสิ่นเสี่ยวเม่ย เขาหายใจแรงๆ อย่างเหนื่อยหอบ
“เป็อย่างไรบ้าง”
เสิ่นเสวียนมองบุรุษหนุ่มสามัญชนผู้นั้นแล้วถาม
“้าอันตรายมาก เมื่อครู่ข้าไม่ได้บอกพวกเ้าไปแล้วหรอกหรือ รีบลงไปเถอะ”
บุรุษหนุ่มสามัญชนแสดงความจริงใจออกมา น้ำเสียงของเขาร้อนรนมาก เพียงแต่แววตาที่มองเสิ่นเสวียนกลับตรงกันข้าม แววตาของเขาเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้เป็อย่างดี แม้แต่เสิ่นเสวียนยังไม่สังเกตเห็น
“ไม่เป็ไรหรอก ขอบคุณมาก พวกข้ารู้ตัวดี”
เสิ่นเสวียนยิ้มบางๆ พลางส่ายหัว คนผู้นี้ดูจริงใจมากทีเดียว!
จากนั้นเขาก็ดึงเสิ่นเสี่ยวเม่ยให้เดินขึ้นไปต่อ เสิ่นเลี่ยนนำหน้าขึ้นไปแล้ว สัตว์วิเศษตัวนั้นแข็งแกร่งมาก ด้วยพลังของเสิ่นเลี่ยนคนเดียวอาจเอาชนะอีกฝ่ายได้ยาก
“เฮ้อ! ช่างเถอะ คิดเสียว่าข้าโชคร้าย ขึ้นไปกับพวกเ้าด้วยเลยแล้วกัน!”
บุรุษหนุ่มสามัญชนส่ายหัว เขากลอกตาขึ้นฟ้าใส่เสิ่นเสวียนแล้วเดินตามไป
เสิ่นเสวียนไม่ได้ขับไล่และไม่ได้ตอบรับใดๆ กับคนที่ตามหลังพวกเขามาผู้นั้น พลังจิติญญาของเขาตรวจสอบอยู่เบื้องหน้าตลอดเวลา ตอนนี้เสิ่นเลี่ยนเผชิญหน้ากับสัตว์วิเศษตัวนั้นแล้ว
มันคือหมีปีศาจธุลีดินตัวใหญ่อายุร้อยปีตัวหนึ่ง มีร่างสูงหนึ่งจั้งห้าฉื่อ พลังรุนแรงปะทุออกมาจากอุ้งเท้าหมีทั้งสองข้าง สามารถบดขยี้กระดูกของมนุษย์ผู้ใหญ่คนหนึ่งได้เลย
เสิ่นเลี่ยนไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เขาแสดงพลังหมัดโจมตีออกไปทันควัน
พลั่ก!
เสิ่นเลี่ยนเพิ่งเข้าประชิดตัว กลับเห็นหมีปีศาจธุลีดินตัวนั้นยกอุ้งเท้าตบเข้าที่หน้าอกของเสิ่นเลี่ยนอย่างรุนแรง เขากระโจนเข้าไปเร็วมากเท่าไรก็กระเด็นกลับออกมาเร็วมากเท่านั้น ร่างเขากระแทกลงกับพื้นอย่างแรงจนฝุ่นตลบ
“ตั้งสติให้มั่น หากเข้าปะทะแล้วสู้ไม่ได้ ต้องหาจุดอ่อนของอีกฝ่ายให้เจอ”
เสิ่นเลี่ยนกระเด็นตกลงมากองที่พื้น พลันได้ยินเสียงของเสิ่นเสวียนดังมาจากทุกทิศทาง
“เอ๋? ท่านผู้นำ!”
เสิ่นเลี่ยนมองไปรอบๆ ทว่ากลับไม่เห็นร่างเงาของเสิ่นเสวียนเลย
แต่การต่อสู้ทำให้เขามิอาจคิดเื่อื่นได้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้จู่โจมออกไปทันที แต่ถอยหลังและเคลื่อนที่ไปรอบๆ ไม่หยุด รักษาระยะห่างจากหมีปีศาจธุลีดิน
“โฮก!”
หมีปีศาจธุลีดินตบหน้าอกตัวเองพลางร้องคำรามเสียงดังก้อง วิ่งไล่ตามเสิ่นเลี่ยนไปด้วยสี่เท้า
“เสิ่นเลี่ยนเป็ต้นกล้าที่ดี”
ทางฝั่งเสิ่นเสวียนและเสิ่นเสี่ยวเม่ยที่กำลังเดินขึ้นไป เสิ่นเสวียนพยักหน้าเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมาเช่นนี้