บทที่ 15 จิตไหวกระบี่!
ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวขึ้นสูง ส่งอายความร้อนแผดเผาออกมา อุณหภูมิบนพื้นโลกก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่ลานฝึกยุทธ์ในลานตะวันตกของตระกูลฉู่ กลับเต็มไปด้วยความรกร้างอันหนาวเหน็บ
หนึ่งร่างไร้ิญญานอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น หนึ่งร่างชายหนุ่มยืนตระหง่านไม่ไหวติง
ฉู่อวิ๋นมองตรงไปที่ฉู่เจิ้นหนานที่อยู่ตรงกลางแท่นชมลานฝึกยุทธ์ ความรู้สึกเศร้า เกลียดชัง โกรธ และคับข้องใจ อารมณ์ทุกประเภทพัวพันกันไปหมด และดูเหมือนเขาจะค่อนข้างตื่นเต้น
หลังจากฟังคำด่าที่ดุเดือดของฉู่อวิ๋น ฉู่เจิ้นหนานก็กะพริบตา ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปแต่ยังคงเงียบขรึม
ถัดจากเขา ผู้าุโหลายคนเห็นว่าฉู่เจิ้นหนานเฉยเมยจึงได้แต่มองหน้ากัน จากนั้นก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
พวกเขาไม่รู้แน่ชัดว่าฉู่เจิ้นหนานรู้สึกอย่างไรในตอนนี้
ในลานฝึกยุทธ์ ทุกคนเงียบงัน แต่ในบางครั้งก็ได้ยินเสียงสะอื้นของเสี่ยวถงสอดแทรกเข้ามา
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ผู้าุโหกก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาจ้องมองไปที่ฉู่อวิ๋นด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นก็แนะนำฉู่เจิ้งหนาน "ท่านผู้นำ เด็กคนนี้เกิดมาพร้อมกับิญญายุทธ์พิการ นับเป็ลางร้าย กล่าวหาท่านต่อหน้าสาธารณชน นับว่าไม่เคารพ ไม่สู้ฆ่าเขาเสีย ให้เป็แบบอย่างตักเตือนผู้อื่นจะดีกว่า”
ฉู่เจิ้นหนานไม่หันไปมองตามเสียง ส่งเสียงเยาะเย้ยอย่างเ็า และตอบด้วยน้ำเสียงไม่แยแส "เ้าย่อมอยากฆ่าเขาแน่นอน ในฐานะศิษย์ตระกูลหลัก ลูกชายเ้ากลับแพ้ให้กับคนจากตระกูลย่อย ซ้ำอีกฝ่ายยังมีพลังยุทธ์ด้อยกว่าอยู่หนึ่งขั้น นั่นไม่ใช่เื่น่าอายของตระกูลหลักหรืออย่างไร?”
“เอ่อ...เป็...เป็ข้าที่ขาดวินัยอบรม สร้างความอับอายให้กับตระกูลหลักแล้ว…” เมื่อได้ยินคำพูดที่เ็า ผู้าุโหกก็รีบก้มหน้าขอโทษ แต่ในแววตายังคงความดุร้ายเอาไว้
ฉู่เจิ้นหนานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดกับฉู่อวิ๋นอย่างใจเย็นว่า "อย่าโทษข้าเลย ตระกูลย่อยสายเืไม่อาจยิ่งใหญ่ จำต้องพึ่งพาตระกูลหลักมาั้แ่สมัยโบราณ ข้าให้คนทิ้งศพไว้ที่ชายป่าช้า นับเป็ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์แล้ว”
“ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์? ถ้าลูกสาวของเ้าไม่เย่อหยิ่งจองหองแล้วคนของตระกูลข้าจะตายหรือ?” ดวงตาฉู่อวิ๋นลุกโชนอย่างโกรธแค้น เหลือบมองฉู่เฟยที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยันแล้วพูดต่อ "หรือเ้าคิดว่าการที่คนตระกูลย่อยตายไปเพื่อปกป้องลูกสาวเ้า ไม่สมควรให้เอ่ยถึง?!”
ฉู่เจิ้นหนานตอบว่า "ตระกูลย่อยของพวกเ้าช่วยตระกูลหลักของข้าระวังหลัง มันเป็เื่ของหน้าที่ ไม่ถือเป็การเสียสละ เหตุใดข้าต้องฝังพวกเขาในสุสานปราณัด้วย?"
“ข้าไม่ได้ฝ่าฝืนกฎตระกูล เพียงแต่พวกเ้าตระกูลย่อย ถือว่าตนเองมีคุณธรรมเกินไป”
เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของฉู่อวิ๋นก็แปรเปลี่ยนเป็เ็า เขากำหมัดแน่นและกัดฟัน
ตอนนี้เป็ที่ชัดเจนสำหรับเขาแล้วว่า ฉู่เจิ้นหนานดูิ่ตระกูลย่อยจากก้นบึ้งของจิตใจ และโอกาสที่จะทวงถามความยุติธรรมให้กับตระกูลของเขาก็คล้ายจะริบหรี่เสียแล้ว
หาก้าเปิดสุสานปราณัต้องมีกุญแจ และมีเพียงฉู่เจิ้นหนานเท่านั้นที่มีกุญแจ
เมื่อเห็นว่าฉู่อวิ๋นเงียบไป ฉู่เจิ้นหนานจึงเปลี่ยนเื่ "อย่างไรเสีย เ้าก็เอาชนะฉู่เจี้ยนเหรินได้ เรือนตระกูลย่อยสามารถคืนให้เ้าได้ และเพราะเ้าสามารถฝึกฝนได้ เห็นได้ชัดว่าตำนานพวกนั้นเป็เื่เท็จ เพื่อชดเชยแก่ท่านผู้เฒ่า ข้าจะให้โอกาสเ้า!”
“ตราบใดที่เ้าสามารถติดหนึ่งในสามอันดับแรกของการประลองเซี่ยหยางที่จะจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนนี้ได้ ข้าจะยอมรับว่าเ้าเป็ผู้สืบทอดตระกูลย่อย และฝังศพของคนในตระกูลเ้าไว้ที่ด้านตะวันออกในสุสานปราณั มิฉะนั้นเ้าก็ยังคงต้องฟังคำสั่งจากตระกูลหลักของข้า”
การประลองเซี่ยหยาง เป็งานประลองยุทธ์ประจำปีในเมืองไป๋หยาง ทุกตระกูลสามารถส่งนักรบรุ่นเยาว์เข้าร่วมได้ ตราบใดที่พวกเขาผ่านการทดสอบสองรอบ พวกเขาก็จะได้รับรางวัลมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็โอกาสที่ดีเยี่ยมในการสร้างชื่อให้วงศ์ตระกูล
เหตุผลหลักที่ฉู่เฟยมีชื่อเสียงในเมืองไป๋หยาง เพราะเมื่อนางอายุสิบห้าปี นางซึ่งอยู่ในระดับห้าของขอบเขตควบแน่นพลังปราณสามารถชนะการประลองเซี่ยหยางมาได้ นี่เป็บันทึกที่ไม่เคยมีมาก่อน
จริงๆ แล้วการประลองยุทธ์เซี่ยหยางมีการจำกัดอายุ ตราบใดที่นักรบิญญามีอายุเกินสิบแปดปี ก็ไม่สามารถเข้าร่วมได้ ในการแข่งขันทุกปี ยังมีนักรบรุ่นเยาว์ที่เพิ่งอายุครบสิบแปดปีด้วย ฉู่เฟยที่สามารถเอาชนะพวกเขามาได้ จึงโดดเด่นได้อย่างน่าใ
ฉู่เจิ้นหนาน้าให้ฉู่อวิ๋นซึ่งอยู่ในระดับสามของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ คว้าตำแหน่งสามอันดับแรก เห็นได้ชัดว่าเขากำลังทำเื่ให้ยากขึ้น ซึ่งแทบจะเป็ไปไม่ได้เลย
แต่ฉู่อวิ๋นไม่มีทางเลือกอื่น เขาตอบโดยไม่ลังเลว่า "ได้! ตกลง!"
จากนั้น ฉู่อวิ๋นก็หันกลับมาและพาเสี่ยวถง ลูกสาวของฉู่อู๋ออกไปจากที่นี่ สถานที่แห่งนี้น่ารังเกียจเสียจนเขาไม่้าอยู่ต่อแม้เพียงครู่
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็ถูกหยุดด้วยเสียงอันเฉียบคม
“เดี๋ยวก่อน!” ฉู่เจิ้นหนานะโ
ฉู่อวิ๋นหันหน้ากลับมา ขมวดคิ้ว และมองเขาอย่างเ็า
“เ้าจะเข้าร่วมการประลองเซี่ยหยางง่ายๆ ได้อย่างไร! เ้าพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตนเองแล้วหรือยัง?” ฉู่เจิ้นหนานพูดอย่างจริงจัง
“หมายความว่าอย่างไร?” ฉู่อวิ๋นถาม
ดวงตาของฉู่เจิ้นหนานเฉียบคมและพูดว่า "สำหรับคนที่พลังยุทธ์ต่ำต้อย เข้าร่วมการประลองมีแต่จะทำให้ตระกูลอับอายขายหน้า ทำลายชื่อเสียงตระกูลของเรา หากเ้า้าเข้าร่วม ต้องผ่านการทดสอบจากข้าเสียก่อน"
ฉู่อวิ๋นยกยิ้มเยาะ และพูดว่า "ได้ ทดสอบอะไร?"
เขารู้อยู่แล้วว่าฉู่เจิ้นหนานไม่มีทางปล่อยเขาไปง่ายๆ
เมื่อมองไปที่ฝูงชน ฉู่เจิ้นหนานก็ดูครุ่นคิดแล้วหันกลับไปหารือกับเหล่าผู้าุโ จากนั้น ผู้าุโคนหนึ่งก็ลุกออกจากโต๊ะและพาศิษย์รุ่นเยาว์หลายคนออกมาจากลานด้านใน
เช่นเดียวกับฉู่เจี้ยนเหรินและฉู่เฟย คนเหล่านี้ไม่จำเป็ต้องฝึกกำลังกายยามเช้า เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความสามารถมาก
ขณะที่นักรบหนุ่มทั้งสี่คนนี้ก้าวเข้าสู่เวทีการต่อสู้ ฉู่เจิ้นหนานก็อธิบายให้ฉู่อวิ๋นฟังว่า "ทั้งสี่คนนี้เป็นักรบิญญาในระดับสี่ของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ หากเ้าสามารถเอาชนะพวกเขาในเวลาเดียวกันได้ ข้าจะอนุญาตให้เ้าเข้าร่วมการประลอง"
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทุกคนก็อุทานด้วยความประหลาดใจ พวกเขารู้ดีว่าทั้งสี่คนนี้เป็นักรบิญญาอายุน้อยที่มีชื่อเสียงพอๆ กับฉู่เจี้ยนเหรินและบางคนก็กำลังจะทะลวงไปสู่ระดับห้าของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ
พลังยุทธ์ของฉู่อวิ๋นอยู่ที่ระดับสามของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ และดูเหมือนว่าเขาไม่มีพร์ทางิญญายุทธ์ แม้ว่าเขาจะเอาชนะฉู่เจี้ยนเหรินได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถเผชิญหน้ากับนักรบระดับสี่ของขอบเขตควบแน่นพลังปราณในเวลาเดียวกันได้ โอกาสชนะแทบจะเป็ศูนย์
ทุกคนที่อยู่ในลานต่างมองออก ฉู่เจิ้นหนาน แม้แต่คุณสมบัติในการเข้าร่วมการประลอง เขาก็ไม่คิดจะให้ฉู่อวิ๋นได้รับไป
สิ่งที่เรียกว่าการให้โอกาส เป็เพียงการแสดงน้ำใจเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงที่สูญเสียไปโดยปกปิดความผิดของฉู่เฟย
บนลานฝึกยุทธ์เริ่มมีเสียงดังอีกครั้ง เหล่าศิษยาต่างตกอยู่ในความโกลาหล
แต่ฉู่อวิ๋นที่อยู่ในสนามรบ กลับจ้องมองอย่างแน่วแน่และยืนตรงตระหง่าน
เมื่อเห็นท่าทางเงียบเชียบของฉู่อวิ๋น ฉู่เจิ้นหนานจึงถามว่า "เ้าจะสู้หรือไม่?"
จะสู้หรือไม่สู้?
เมื่อห้าคำนี้ลอยเข้าหูฉู่อวิ๋น จิตใจของเขาก็สั่นคลอนและปั่นป่วน
ในระหว่างการเดินทางมาตระกูลหลักนี้ ฉู่อวิ๋นก็ตระหนักได้ว่าฉู่เฟยมีพลังเพียงใด เมื่อได้รับรู้และเห็นการจากไปของลุงรอง และได้ัักับความเย่อหยิ่งของฉู่เจิ้นหนาน อารมณ์ของเขาผันผวนอย่างมาก แต่ตอนนี้เขาสงบลงแล้ว
ฉู่อวิ๋นมองไปรอบๆ และพบว่าบางคนมีสีหน้าตื่นเต้น บางคนมีแววตาเยาะเย้ย และส่วนใหญ่มองด้วยความยินดี
ในขณะนี้ ฉู่อวิ๋นหลับตา หัวใจของเขายังคงนิ่งสงบ บรรยากาศโดยรอบดูเหมือนจะเงียบลง และพื้นก็ดูเหมือนจะแข็งตัวอย่างเงียบๆ ไม่ว่าผู้ชมจะะโดังแค่ไหน เขาก็ยังคงไม่สะทกสะท้าน
ทุกสิ่งเป็เพียงภาพสะท้อน
ในขณะนี้ ฉู่อวิ๋นมีเพียงกระบี่อยู่ในใจเท่านั้น
"ชิ้ง--"
ฉู่อวิ๋นลืมตาขึ้น เผยให้เห็นสายตาของผู้ไม่แพ้ ชักกระบี่ยาวออกมา ถ่ายเทปราณกระบี่แล้วชี้ไปบนท้องฟ้า ก่อนจะพูดเพียงสองคำ
"ข้าสู้!"
สองคำนี้กระชับและคมกริบ เหมือนกระบี่ที่แหลมคมราวกับอยากจะเจาะทะลุท้องนภา
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉู่เจิ้นหนานก็ยกยิ้มและไม่พูดอะไร เขาขยิบตาให้นักรบทั้งสี่คนบนลาน เป็การบอกให้พวกเขาโจมตี
เพียงพริบตา นักรบิญญาสี่คนก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและยืนอยู่ในสี่ทิศทางรอบๆ ฉู่อวิ๋น พวกเขาแต่ละคนหยิบอาวุธและปล่อยแรงกดดันอันดุเดือดออกมา!
รังสีของนักรบระดับสี่ในขอบเขตควบแน่นพลังปราณ กดดันและปิดกั้นเส้นทางการเคลื่อนไหวของเขาโดยสิ้นเชิง!
แต่ฉู่อวิ๋นยังคงนิ่งสงบ ในตอนนี้ เขารู้สึกว่าตนเองและกระบี่ได้หลอมรวมกันเป็หนึ่ง
“พลังข้าไม่มากพอ ครึ่งหนึ่งข้าใช้ไปกับการประลองกับฉู่เจี้ยนเหรินแล้ว ตอนนี้ทำได้เพียงรีบสู้รีบจบเท่านั้น”
จิตใจของฉู่อวิ๋นหมุนวน และพลังปราณในเส้นลมปราณของเขาถ่ายเทเข้าสู่กระบี่เล่มยาวอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อเห็นฉู่อวิ๋นยืนเงียบตรงกลางลาน ยกกระบี่ชี้ฟ้า นักรบทั้งสี่ก็หัวเราะเบาๆ เพราะคิดว่าเขายอมแพ้แล้ว จึงเริ่มใช้พลังปราณ ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็วิ่งเข้าหาฉู่อวิ๋นจากทุกทิศทางทิศทาง!
"วิ้ง--"
ทันใดนั้น แสงกระบี่ก็วาบวับ เงาดาบทะลุอากาศ เสียงหอกทิ่มแทง เงาหมัดต่อเนื่อง พลังปราณทั้งสี่พุ่งออกมาอย่างท่วมท้น อัดแน่นและแผ่ซ่านไปทั่ว ทำให้ฉู่อวิ๋นไม่อาจหลบเลี่ยงได้!
ดูเหมือนทุกคนจะได้เห็นภาพที่ฉู่อวิ๋นถูกพลังปราณฉีกขาดออกจากกัน
ฉู่เฟยยกยิ้มอย่างเ็า ต่อให้นางอยู่ในระดับสามของขอบเขตควบแน่นพลังปราณก็ไม่อาจจัดการกับคู่ต่อสู้สี่คนในระดับที่สูงกว่าในเวลาเดียวกันได้ แต่ฉู่อวิ๋นผู้นี้กลับยอมรับคำท้า ด้วยความสามารถของเขาแล้ว ย่อมต้องพ่ายแพ้แน่นอน
ในลานฝึกยุทธ์ การโจมตีของคนทั้งสี่นั้นทรงพลัง และพวกเขากำลังจะโจมตีฉู่อวิ๋น!
ในขณะนี้ ดวงตาของฉู่อวิ๋นหรี่ลง และมีร่องรอยของความสับสนในดวงตา แต่การเคลื่อนไหวของเขาราบรื่นไม่สะดุด! เขาะโ ตีลังกา และลอยไปในอากาศ ถือกระบี่ไว้ในมือข้างหนึ่ง และชี้มันลงพื้น
นักรบทั้งสี่ปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ย พวกเขาต่างก็รอการเคลื่อนไหวของฉู่อวิ๋นมานานแล้ว
ในระหว่างการต่อสู้ หากะโขึ้นไปในอากาศอย่างบุ่มบ่ามจะมีข้อบกพร่อง เพราะในอากาศไม่มีที่ยึดจับ ตราบใดที่เส้นทางลงพื้นถูกปิดกั้น คนในอากาศจะถูกยับยั้งเอาไว้
"ควั่บควั่บ!"
ชายทั้งสี่ยกอาวุธขึ้นเป็มุม ฟาดด้วยกระบี่ แทงด้วยหอก และแรงหมัดที่หนักหน่วง! รอเพียงให้ฉู่อวิ๋นตกหลุมพราง!
ในกลางอากาศ ฉู่อวิ๋นชี้กระบี่ไปที่พื้นอย่างสงบ และพ่นเสียงออกมาจากปาก!
“กระบี่...ประกาย...ทมิฬ!”
"ชิ้งชิ้งชิ้ง"
ทันใดนั้น ก็มองเห็นรัศมีกระบี่แสงดาวสีม่วงสามสิบหกมรรคาร่วงลงมาจากท้องฟ้า ทั่วทั้งผืนฟ้าราวกับดวงดาวะในคืนที่มืดมิด แวววาวสุกสกาว ปกคลุมทั้งสี่คนบนพื้น!
ยามนี้ ฉู่อวิ๋นรู้สึกว่าเวลาเดินช้าลง ราวกับว่าเขาสามารถมองเห็นเส้นทางการโจมตีและการเปลี่ยนแปลงในการเคลื่อนไหวของทั้งสี่คนได้อย่างชัดเจน
เขาทำตามหัวใจและร่ายรำกระบี่อย่างเป็ธรรมชาติ โดยแบ่งปราณกระบี่สามสิบหกมรรคาออกเป็สี่ทิศทางแล้วฟันออก แต่ละทิศทางมีเก้าดวง โจมตีสี่คนตามลำดับ
ปราณกระบี่แต่ละดวงทำลายการโจมตีของทุกคนได้อย่างแม่นยำ พลังที่เหลือก็ฟันเข้าที่ร่างของแต่ละคน ทำให้พวกเขาไม่อาจล่าถอยและไม่อาจป้องกันตัวเองได้
ฉู่อวิ๋นใช้ความเสียเปรียบในอากาศตอบโต้ศัตรูได้สำเร็จ มองเห็นทั้งสี่คนรวมตัวกันและถูกพลังกระบี่แสงดาวโถมซัดใส่!
ทุกการเคลื่อนไหวไร้ที่ติ!
“ชิ้ง--ชิ้ง!”
พวกเขาทั้งสี่คนไม่ทันระวัง ร่างกายจึงถูกพลังกระบี่แสงดาวโจมตี มีเครื่องหมายกระบี่ที่สะดุดตาหลายอันปรากฏขึ้นบนหน้าอก พวกเขากระอักเืออกมาทันที ทั้งยังาเ็สาหัส ทำให้ก้าวเท้าถอยหลังไปสิบก้าว เห็นได้ชัดว่าสู้ไม่ได้แล้ว
ครู่ต่อมา ฉู่อวิ๋นร่อนตัวลงเบาๆ ยืนขึ้นช้าๆ กวัดแกว่งกระบี่ตั้งท่าในแนวนอน และมองไปที่ฉู่เจิ้นหนาน ใบหน้าของเขานิ่งสงบราวผืนน้ำ
ในลานฝึกยุทธ์ มีหนึ่งคนยืนตระหง่านและสี่คนล้มลง
รูปร่างที่สง่างามของฉู่อวิ๋นทำให้ทุกคนคำรามในใจ และแม้แต่ตอนนี้ พวกเขาก็ไม่อยากจะเชื่อในความจริงข้อนี้เลย
ฉู่อวิ๋น ซึ่งอยู่ในระดับสามของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ สามารถเอาชนะนักรบิญญาสี่คนที่อยู่ระดับเหนือว่าได้ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว!
เหลือเชื่อ เหลือเชื่อจริงๆ!
บนแท่นชมลานฝึกยุทธ์ ฉู่เจิ้นหนานที่นิ่งมาตลอดก็ตกตะลึงเช่นกัน "นี่คือ...นี่คือจิตไหวกระบี่! เด็กคนนี้ สามารถทะลุผ่านขอบเขตแห่งกระบี่ในระหว่างการต่อสู้ได้จริงๆ!"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้