เพื่อไม่ให้ตนรู้สึกพ่ายแพ้มากเกินไป ตอนที่ทั้งสองเดินออกจากศาลบรรพชนพร้อมกัน เยวี่ยเจาหรานจึงตะบึงตะบอนขึ้นมาอย่างกะทันหัน พร้อมเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง “เช่นนั้นที่ข้าได้ยินว่าเ้าตายแล้วจึงรีบโร่มาที่จวนเยี่ยนก็เป็เพราะข้าหุนหันพลันแล่นเหมือนกันนั่นแหละ ฮึ!” พูดจบ ทั้งสองคนก็เริ่มต้นการวิ่งอย่างบ้าระห่ำของตน...
ไม่รู้ว่าเป็ประสงค์ของ์หรือเป็โชคชะตากลั่นแกล้งบ้าบออะไรกันแน่ เหตุใดทุกครั้งที่เยวี่ยเจาหราน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว และสวี่ชิวเยวี่ยทั้งสามคนมาปรากฏตัวพร้อมกัน บทสรุปสุดท้ายต้องเป็เยวี่ยเจาหรานและเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกะหนุงกะหนิงไปด้วยกันและสวี่ชิวเยวี่ยก็ถูกทิ้งให้สับสนมึนงงอยู่คนเดียวตลอดเลย?
สวี่ชิวเยวี่ยในยามนี้เองก็อยากจะถามอยู่ข้างหลังเหมือนกัน ครั้งหน้าช่วยพาข้าไปด้วยได้หรือไม่?
“เปี่ยวเกอ...! เปี่ยวเกอ!!!” ทว่าตอนนี้สวี่ชิวเยวี่ยไม่มีเวลารอครั้งหน้าอีกแล้ว นางเพียงแค่ยืนอยู่ตรงที่เดิม นางร้องะโเรียกเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเปี่ยวเกอผู้นั้นที่ไม่มีทางได้ยิน พลางกระทืบเท้าอย่างร้อนใจ อาเชวี่ยที่เดินเอ้อระเหยลอยชายพลันตื่นตระหนกลนลาน รีบวิ่งเข้ามา
“คุณ คุณหนู นี่มันเกิดอะไรขึ้นอีกหรือเ้าคะ?” อาเชวี่ยเอ่ยถามขึ้น พลางหันมองไปยังศาลบรรพชนที่ว่างเปล่าไปแล้ว พยายามหาเงื่อนงำบางอย่างจากเบาะแสที่หลงเหลืออยู่ในที่เกิดเหตุอย่างลนลาน เพื่อช่วยให้ตนสะสางคดีได้อย่างรวดเร็วที่สุด แต่ก็ยังคงงงงวย ไม่เข้าใจอะไรขึ้นมาเลย
ยามนี้สวี่ชิวเยวี่ยก็ยังคงกระทืบเท้าอยู่อีกด้านไม่หยุด จะมีเวลาไปตอบคำถามโง่ๆ ของสาวใช้ที่ไหนกัน? ด้วยเหตุนี้นายบ่าวทั้งสองจึงจัดการแสดงร่วมกันขึ้นมา การแสดงกระทืบเท้าคู่ หากว่ายามนี้มีการจัดดนตรีประกอบอยู่ด้วย คาดว่าคงจะส่งต่อระบำกระทืบเท้าอะไรสักอย่างให้คนรุ่นหลังได้เลย เช่นนั้นแล้วความต้องที่จะเป็คนโดดเด่นกว่าใครของสวี่ชิวเยวี่ยก็คงจะง่ายขึ้นเยอะ
นอกจากนี้ทั้งหมดยังไม่ต้องพึ่งพากำลังของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและฮูหยินเยี่ยนอีกด้วย ขอแค่ให้ตนสร้างบุคลิกคนักระบำผู้มานะพยายามขึ้นมาก็พอแล้วไม่ใช่หรือไร
“เ้าจะมากระทืบเท้าตามข้าทำไมกันเล่า ยังไม่รีบไปหาฮูหยินเยี่ยนอีก!!!” สวี่ชิวเยวี่ยที่กระทืบอยู่พักใหญ่ในที่สุดก็ได้สติกลับมา นางยกมือขึ้นดีดหน้าผากอาเชวี่ยที่กระทืบเท้าอยู่ด้วยกันข้างๆ ทีหนึ่ง ปากก็เอ่ยออกมาเช่นนั้น
หากไม่มีคำพูดต่อมานั้นละก็ คงจะคิดว่าสวี่ชิวเยวี่ยโมโหเช่นนี้เพราะกลัวว่าความสามารถในการเต้นของสาวใช้จะเกินหน้าตน จนไม่อาจทำให้ผู้คนตกตะลึงได้แล้วเสียอีก...
ไม่มีเวลามาอธิบายแล้ว เวลาที่เหลืออยู่ของสวี่ชิวเยวี่ยมีไม่มากแล้ว อาเชวี่ยที่อยู่ตรงหน้าได้แต่กุมหัวแล้วร้องครวญด้วยความเจ็บคงหวังพึ่งไม่ได้แล้ว สวี่ชิวเยวี่ยจึงชิงวิ่งออกไปก่อน อาเชวี่ยเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่กุมหัวที่ยังปวดตุบๆ อยู่อย่างตื่นตระหนก แล้ววิ่งตามออกไปด้วย
“นี่เ้า อยู่จวนเยวี่ยสบายๆ ไม่ชอบ จะวิ่งมาจวนเยี่ยนเพื่อคุกเข่าที่ศาลบรรพชนทำไมกัน? เ้าเสพติดการถูกทารุณหรืออย่างไร?” อีกด้านหนึ่ง เยวี่ยเจาหรานและเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่กลับมายังเรือนแล้วก็เริ่มการคิดบัญชีย้อนหลังของตน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแหงนหน้าซดน้ำชาถ้วยหนึ่ง ก่อนจะเช็ดปากแล้วหันไปถามกับเยวี่ยเจาหรานเช่นนั้น
คาดไม่ถึงว่าเยวี่ยเจาหรานเองก็มีเหตุอย่างยิ่ง เขาไม่สะท้านกับคำถามของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแม้แต่น้อย “เ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกหรือ? ก็ไม่ใช่เพราะได้ยินมาว่าเ้าป่วยจนนอนซมลงจากเตียงไม่ได้ ใกล้จะได้นั่งกระเรียนไป์อยู่แล้วข้าก็เลยมาไม่ใช่หรืออย่างไร? ไม่เช่นนั้นเ้านึกว่าข้าอยากมายุ่งกับเื่วุ่นวายที่บ้านเ้าหรือ ข้าอยู่ที่บ้านก็มีชีวิตสุขสบายดี!”
เยวี่ยเจาหรานพูดจบก็กลอกตาใส่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วทีหนึ่ง ที่เขาพูดเป็ความจริง ตอนอยู่ที่จวนเยวี่ย อย่าว่าแต่คุกเข่าที่ศาลบรรพชนหรือกินเศษผ้าสกปรกเลย ไม่มีใครกล้ามาชักสีหน้าใส่เขาด้วยซ้ำ!
จะว่าไปแล้วก็เป็ตนที่เป็ห่วงกระวนกระวาย จนวิ่งมาถึงจวนเยี่ยนโดยไม่พูดไม่จา ถึงอย่างไรเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ไม่ได้จะตายวันตายพรุ่งจริงๆ ไม่เช่นนั้นตนมิใช่คุกเข่าในศาลบรรพชนไปเปล่าๆ หรอกหรือ?
“เ้า! ปัดโธ่... เ้า...” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยังรู้สึกว่าตนจะแพ้ไม่ได้ ดังนั้นนางจึงยังคิดที่จะพูดอะไรเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ได้แต่ถอนหายใจยืดยาว แล้วเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นเ้าว่าตอนนี้จะทำอย่างไร เ้าสร้างความวุ่นวายนี้ขึ้นมาเองนะ อย่ามาทำให้ข้าลำบากไปด้วยสิ!”
แม้ว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจะพูดออกมาเช่นนั้น แต่ในใจไม่รู้ว่าทำไมถึงวางแผนที่จะร่วมตกทุกข์ได้ยากไปด้วยกันกับเยวี่ยเจาหรานไปตั้งนานแล้ว ต่อให้นางจะรู้ว่าความคิดเช่นนี้ของตนเป็เพราะความหน้ามืดตามัว แต่นางก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความห่วงพะวงต่อเยวี่ยเจาหรานได้ ปัดโธ่ นี่มันความรักนี่นา!
“ข้าก็ไม่ได้จะให้ลำบากไปถึงเ้าหรอก ข้าจะกลับจวนเยวี่ยเดี๋ยวนี้ ข้าจะดูซิว่าใครจะกล้าไปจับข้าที่จวนเยวี่ยให้คุกเข่าที่ศาลบรรพชน!” เยวี่ยเจาหรานเองก็ถูกยั่วโมโหจนทิ้งหลักเหตุผลไปแล้ว เขาลุกขึ้นและคิดจะเดินไป แต่กลับถูกเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วดึงกลับมาโดยไม่คาดคิด “เ้าเสียสติอะไรขึ้นมาอีก? เ้าเองจะมาก็มาจะไปก็ไป เหมือนจวนเยี่ยนเป็บ้านเ้าหรืออย่างไร?”
เยวี่ยเจาหรานขมวดคิ้ว แอบใคร่ครวญอยู่ในใจครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยอย่างแข็งทื่อ “ข้าแต่งกับเ้าแล้วก็เป็คนบ้านเดียวกันกับเ้าไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นบ้านเ้าก็เป็บ้านข้า จวนเยี่ยนก็ไม่ได้เป็บ้านข้าอยู่แล้วหรืออย่างไร?!”
ถึงแม้เยวี่ยเจาหรานจะพูดออกมาอย่างดูสมเหตุสมผล แต่จวนเยี่ยนก็คือจวนเยี่ยน จวนเยวี่ยก็คือจวนเยวี่ย จะเอามาพูดรวมกันได้อย่างไร? เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วส่ายหัว แล้วจึงโบกมือเอ่ย “นั่นข้าไม่สน ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านเ้า” พูดจบก็เอ่ยเสริมขึ้นมาอีกครั้ง “่นี้สวี่ชิวเยวี่ยคงกำลังคิดหาวิธีต่อกรกับพวกเราอยู่แน่ วิธีที่เถรตรงที่สุดก็คือไปหาท่านแม่ของข้า”
เยวี่ยเจาหรานนั่งลงใหม่อีกครั้งอย่างงุนงง แล้วเอ่ยขึ้น “เ้าพูดมีเหตุผล แต่คำพูดนั้นเ้าไม่บอกข้าก็รู้น่า!”
“พอแล้ว! ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พวกเราจะมาทะเลาะกัน!” มือของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตบลงบนโต๊ะอย่างแรง อย่าพูดเลย มันเจ็บมากจริงๆ เมื่อนั้นเยวี่ยเจาหรานจึงเงียบสงบลง แล้วพยักหน้าตาม
ไม่รู้เพราะเหตุใด เยวี่ยเจาหรานที่เฉลียวฉลาดมาตลอด ขอเพียงเจอกับเื่ที่เกี่ยวข้องกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว เขาก็จะเปลี่ยนไปอย่างแปลกประหลาด ละทิ้งซึ่งความมีเหตุและผลไปเสียทุกครั้ง ทั้งมักจะทำพฤติกรรมที่คนอื่นมองว่ามันน่าขันอยู่บ่อยๆ จะพูดง่ายๆ ก็คือ เยวี่ยเจาหรานที่มักจะเรียกตัวเองว่าเป็อัจฉริยะมาตลอด พอได้เจอกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเท่านั้น คนทั้งคนก็โง่ขึ้นมาหลายเท่าตัว!
“ตอนนี้เ้าไม่สามารถกลับไปที่จวนเยวี่ยได้แล้ว” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วขมวดคิ้ว ทั้งสองคนจริงจังขึ้นมาอย่างไม่ง่ายดายนัก เยวี่ยเจาหรานถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจกลับครุ่นคิดอยู่ไม่น้อย
ความจริงแล้ว หากใคร่ครวญแม้สักนิดเดียว ก็จะสามารถมองออกว่าในตอนนี้การกลับไปยังจวนเยวี่ยไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก อย่างแรกสวี่ชิวเยวี่ยจะต้องเอาเื่นี้ไปใส่สีตีไข่บอกฮูหยินเยี่ยนแน่ หากฮูหยินเยี่ยนเห็นว่าการที่เยวี่ยเจาหรานกลับจวนเยวี่ยไปทันทีเป็การยั่วยุละก็ เื่ราวจะยิ่งยุ่งยากขึ้นไปอีกแน่
ด้วยนิสัยของฮูหยินเยี่ยน ไม่แน่ว่านางอาจจะไปถึงจวนเยวี่ยเองเลยก็ได้ หากไปปะทะกับมารดาของเยวี่ยเจาหรานที่เป็ดั่งถังดินะเิผู้นั้น หากถังดินะเิทั้งสองมาอยู่ด้วยกัน แล้วยังจะมีอะไรดีอีก?
ถึงเวลานั้นแม่ทัพเยี่ยนและมหาบัณฑิตเยวี่ยเองก็ประสบภัยพิบัติเช่นกัน และคนที่จะตายเป็คนต่อไปก็คือเยวี่ยเจาหรานกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว!
สำหรับเยวี่ยเจาหรานและเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วในยามนี้แล้ว มีเพียงการยอมจำนนเท่านั้นจึงจะเป็การกระทำที่มีประโยชน์มากที่สุด และมีเพียงทางนี้เท่านั้นจึงจะมีความเป็ไปได้ที่จะสงบหรือลดความโมโหขุ่นเคืองที่อัดอั้นในอกของฮูหยินเยี่ยนลงได้ ไม่ต้องพูดอะไรมากความ เยวี่ยเจาหรานและเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสบตากันก็รู้ได้ว่าละครกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ส่วนวิธีการที่เยวี่ยเจาหรานและเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วคิดคืออะไรน่ะหรือ? นั่นก็แน่นอนว่าเป็การปฏิบัติการที่ง่ายดายที่สุดในโลกแห่งกลยุทธ์พิชัยา และยังเป็วิธีการที่ประสบความสำเร็จได้ง่ายที่สุดอีกด้วย กลยุทธ์ทุกข์กาย [1]
ทันใดนั้นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและเยวี่ยเจาหรานต่างคนต่างก็พลันสาละวนกับเื่ของตนเองขึ้นมาอย่างรู้กันโดยไม่ต้องอธิบาย จะสำเร็จหรือไม่ ก็คงต้องพึ่งโชคในวันนี้แล้ว
เชิงอรรถ
[1] กลยุทธ์ทุกข์กาย (苦肉计) เป็กลยุทธ์ที่หลอกให้ศัตรูหลงเชื่อโดยไม่ติดใจสงสัย โดยใช้หลักจิตวิทยาที่โดยทั่วมนุษย์ย่อมไม่ทำร้ายตนเอง หากจะาเ็ก็ต้องเกิดจากการถูกทำร้าย เมื่อหลอกล่อโดยโอนอ่อนผ่อนตามไป ก็จะสามารถลวงให้ศัตรูหลงเชื่อและบรรลุตามความประสงค์ที่ตั้งไว้ได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้