ชายวัยกลางคนชำเลืองมองเซี่ยเสี่ยวหลาน เด็กคนนี้คารมคมคายสุดยอดไม่ระวังเพียงเล็กน้อยก็สามารถถูกเธอลวงเอาได้
แม้แต่เส้นผมยังฉายแววความเ้าเล่ห์ กลับกันคือแทบไม่ต่างจากการหลอกพาพวกค้ามนุษย์เซ่อซ่านั่นไปขายต่อให้เขาไม่เข้าไปช่วยเหลือ เซี่ยเสี่ยวหลานก็สามารถปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนอยู่ดีอย่างไรเสียความฉลาดของเซี่ยเสี่ยวหลานสามารถจัดเป็ประเภทหลักแหลมน่าชื่นชมเอ็นดูยังไม่ถือว่าเป็คนคดโกง ดังนั้นชายวัยกลางคนจึงไม่รู้สึกเกลียดเธอ
เขาคิดว่ามีตนเองนั้นชะตาต้องกันกับเซี่ยเสี่ยวหลานทีเดียวไม่ถึงครึ่งปีพบหน้าถึงสามหน ครั้งแรกคือบนรถไฟ ครั้งที่สองคือในหยางเฉิงคาดไม่ถึงว่าพอเขามาทำงานยังเผิงเฉิง ก็ต้องเจอกับเซี่ยเสี่ยวหลานอีกแล้ว
เขากำลังทำความรู้จักกับสภาพการณ์ของเผิงเฉิงพอดีเด็กสาวคนนี้เหมือนจะเป็คนทำธุรกิจอิสระ?
ชายผู้นี้ไม่้าฟังเซี่ยเสี่ยวหลานพูดจาไร้แก่นสารอีก “ฉันจำได้ว่าเธอแซ่เซี่ย? ฉันแซ่ทังชื่อทังหงเอิน”
“คุณอาทัง ความจำคุณดีจริงๆ ขอแนะนำตัวฉันเองอย่างเป็ทางการกับคุณ ฉันชื่อเซี่ยเสี่ยวหลาน”
ทังหงเอินพยักหน้า “ท่าทางชีวิตดีนี่ถึงกับจ้างคนคุ้มกันได้แล้ว? มีมาดของเถ้าแก่ฮ่องกงไม่เบา”
เซี่ยเสี่ยวหลานยิ้มอย่างเขินอาย “ไม่ใช่คนคุ้มกันหรอกค่ะแต่ทั้งสองคนมาชมเผิงเฉิงเป็เพื่อนฉัน ฉันมาคนเดียวค่อนข้างน่ากลัว”
ทังหงเอินชี้อาคารชั้นเดียวหลังเล็กด้านหน้า “เมื่อครู่ไม่ใช่บอกว่าจะตอบแทนฉันหรือ? ไปสิ ข้างหน้ามีร้านอาหาร เลี้ยงข้าวฉันสักมื้อ”
“ได้ค่ะ คุณอาทัง! คุณไปก่อน ฉันจะบอกเพื่อนทั้งสองคนเสียหน่อย”
หน้าต่างรถทังหงเอินเลื่อนขึ้น ก่อนที่จะขับออกไป
ศิษย์พี่ว่านเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานกลับมาคนเดียว ใจคิดว่าทักทายสำเร็จหรือ?
“ศิษย์พี่ทั้งสอง เมื่อครู่ฉันพบผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เขาชวนฉันกินข้าวกลางวันร้านอาหารข้างหน้านี่เอง พวกเรารีบไปกันเถอะ”
ที่แท้ก็รู้จักจริง
ศิษย์พี่ว่านไม่กล้าคิดวิพากษ์วิจารณ์อีก
เขาเห็นว่าเมื่อครู่มีคนตั้งมากมายวนเวียนล้อมรอบชายวัยกลางคนในรถยนต์ผู้นั้นเซี่ยเสี่ยวหลานอัธยาศัยดีขนาดไหนกัน? เธอเป็ถึงคนที่สามารถต่อต้านเคออีสฺยงได้เคออีสฺยงผู้ที่ไม่สนกระทั่งเกียรติของสำนักตระกูลไป๋ แต่กลับโดนคนที่อยู่เื้ัเซี่ยเสี่ยวหลานข่มขู่อีกทั้งตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานยังรู้จักบุคคลใหญ่โตในเผิงเฉิงด้วยท่าทีของศิษย์พี่ว่านจึงเคารพนบนอบไม่น้อย
เซี่ยเสี่ยวหลานพาทั้งสองคนไปถึงร้านอาหารแม้แต่อาหารทังหงเอินก็สั่งเรียบร้อยแล้ว
เสี่ยวหวังคนขับรถมีสำนึกนั่งอีกโต๊ะด้วยตนเอง ไม่รู้ว่าทำไมนายว่านและนายหลี่ก็รู้สึกว่าพวกเขาควรนั่งกับเสี่ยวหวังโต๊ะในร้านอาหารค่อนข้างมันลื่นไปด้วยคราบมันของอาหารไม่ว่าจะเป็ทังหงเอินผู้มีภูมิฐานหรือเซี่ยเสี่ยวหลานผู้หน้าตาสะสวยล้วนไม่เหมือนคนที่จะปรากฏตัวในสถานที่นี้เพื่อรับประทานอาหารแต่ทั้งสองคนต่างนั่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะด้วยความผ่าเผย
หลังจากวางตะเกียบ ในที่สุดทังหงเอินก็ถามถึงประเด็นหลัก
“เธอวนเวียนตรงเขตก่อสร้างเพื่อทำอะไรกันที่นั่นมีธุรกิจอะไรที่หญิงสาวคนหนึ่งอย่างเธอสามารถร่วมทำได้หรือ?”
ธุรกิจก่อสร้างมีเงินให้ทำกำไร
ั้แ่รับซื้อวัสดุก่อสร้างถึงการจัดหาแรงงาน อาหารในพื้นที่ก่อสร้างจวบจนการจัดการขยะขณะก่อสร้าง ส่วนไหนที่ไม่ทำเงินบ้าง? อาคารถูกสร้างโดยหน่วยงานของรัฐทังหงเอินรู้ว่ามีผู้คนมากมายคิดร้อยแปดพันเก้าวิธีเข้ามามีส่วนร่วมต่อให้เป็การกำจัดขยะก่อสร้างก็ยังมีคนแย่งชิง คนท้องถิ่นสามัคคีกันมากพอทั้งหมู่บ้านเริ่มเคลื่อนไหว หากเซี่ยเสี่ยวหลานจ้างผู้คุ้มกันสองคนแล้วคิดจะแย่งทำธุรกิจกับคนท้องถิ่นนั่นเป็ความเพ้อฝันที่ไม่สารมารถเป็ไปได้โดยแท้
“เมื่ออาคารพวกนี้สร้างเสร็จ ด้านในจำเป็ต้องประดับตกแต่งสินะคะ?”
สิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานพูดออกมากลับเหนือความคาดหมายของทังหงเอิน
ชิงงานจัดการขยะก่อสร้างไปจากคนท้องถิ่นไม่ได้ หมัดใครใหญ่กว่าคนนั้นมีสิทธิ์ตัดสินใจแล้วการตกแต่งด้านในเล่า? สิ่งนี้้าทักษะทางวิชาชีพไม่มากก็น้อยมิใช่ธุรกิจที่ชาวบ้านประมงกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันก็สามารถชิงไปได้เซี่ยเสี่ยวหลานย่อมรู้ว่าการปลูกสร้างอาคารกำไรดีที่สุดทว่าตอนนี้เธอไม่มีเงินทุนสำหรับการริเริ่ม
ดังนั้นก็ต้องเริ่มจากการตกแต่งภายในไม่้าความเชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างมากนัก งานประเภททาสีผนังปูพื้นพวกนี้ไม่มีทางทำให้บ้านกลายเป็บ้านที่เสี่ยงถล่มลงมาแน่
“ประดับภายในบ้าน เธอหมายถึงการตกแต่ง?”
ในประเทศหาวิชาชีพนี้ได้ยากมาก บ้านเรือนของคนชนบทไม่จำเป็ต้องตกแต่งภายในที่อยู่อาศัยของพนักงานในเมืองจัดสรรโดยรัฐชีวิตของผู้คนเพิ่งสุขสบายขึ้นใน่สองปีที่ผ่านมาหลังจากท้องอิ่มผู้คนถึงยินดีจ่ายเงินไปกับเครื่องนุ่งห่มและของใช้ด้านความเปลี่ยนแปลงของเครื่องแต่งกาย ทังหงเอินมีประสบการณ์ด้วยตาตนเองั้แ่หยางเฉิงไปจนถึงเผิงเฉิงสีน้ำเงินและดำไม่ได้ครองเสื้อผ้าของผู้คนอีกต่อไปหยางเฉิงเปิดกว้างกว่าแผ่นดินใหญ่ เครื่องแต่งกายของคนบนท้องถนนจึงมีสีสันฉูดฉาด และรูปแบบที่หลากหลาย
ส่วน ‘ของใช้’ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้วในเผิงเฉิงกีดกัดสินค้าเถื่อนไม่ได้ด้วยซ้ำ
สินค้าโภคภัณฑ์ขนาดเล็กของฮ่องกงใช้เรือประมงลักลอบขนย้ายเข้ามายังแผ่นดินใหญ่ศุลกากรไม่สามารถปราบได้หมด ร่วมการขนของเถื่อนทั้งหมู่บ้านต่างปกปิดซึ่งกันและกัน ั้แ่หัวหงอกหัวดำล้วนคือผู้ลักลอบขนสินค้าเถื่อนจะจับคนในหมู่บ้านจนหมดได้หรือ?
และผู้มาเยือนจากแผ่นดินใหญ่ที่ปรากฏตัวในเผิงเฉิงมากกว่าร้อยละ 80 มาเขตพิเศษเพื่อ ‘รับสินค้า’
ทังหงเอินจึงนึกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานมาเยือนเพื่อรับสินค้าเถื่อนไปคิดไม่ถึงว่าเธอกลับ้ามีส่วนร่วมในการตกแต่งภายในบ้านเรือนซึ่งตอนนี้คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจในเื่นี้นัก
นี่ไม่เหมือนกับผู้ลักลอบขนสินค้าเถื่อน แต่เป็ธุรกิจที่ถูกทำนองคลองธรรมและยั่งยืน
ทังหงเอินพยักหน้าอยู่ในใจ และถามเซี่ยเสี่ยวหลานอีกหลายคำถาม พบว่าเธอตอบคำถามได้ชัดเจนและมีตรรกะดูท่าว่าเคยศึกษาวิชาชีพ ‘ตกแต่งภายใน’ นี้จริง ถ้าไม่มีประสบการณ์ด้านการตกแต่งภายในอย่างแท้จริงไม่มีทางตอบคำถามได้โดยละเอียดขนาดนี้ ทังหงเอินเกรงว่าคนหนุ่มสาวจะทะนงตน จึงจงใจข่มไว้
“หากเธอจะตกแต่งภายในบ้านของบุคคลทั่วไป แบบนั้นคงหาลูกค้ายากมากนะบริษัทฮ่องกง้าตกแต่งภายในแน่นอน แต่เธอรับงานของพวกเขาได้หรือ? พวกเขาจ้างบริษัทตกแต่งของฮ่องกงทั้งนั้น”
เซี่ยเสี่ยวหลานเกิดความคิดบางอย่าง วาจาของทังหงเอินแฝงความนัยคือขั้นตอนในการจะ ‘ยกระดับ’ เธอชัดๆ
เซี่ยเสี่ยวหลานกลับไม่กล้าพูดอย่างมั่นใจเกินพอดี
“ตอนนี้ฉันไม่มีหนทางรับโครงการขนาดใหญ่ อย่างไรเสียเพิ่งเริ่มต้นกลัวจะทำลายชื่อทางการค้าของตัวเอง แต่คนของพวกเราทำงานตกแต่งภายในเองย่อมมีข้อได้เปรียบมากกว่าบริษัทตกแต่งภายในจากฮ่องกง ต้นทุนแรงงานจะประหยัดมากราคาโดยรวมก็ลดลงแล้ว”
งานประเภทเดียวกัน ค่าแรงระหว่าการจ้างคนจากฮ่องกงและจ้างคนงานในแผ่นดินมาทำแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
่แรกของการก่อตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษเผิงเฉิงสิ่งที่ดึงดูดธุรกิจต่างแดนเข้ามานั้นนอกจากอภิสิทธิ์ด้านภาษีก็คือแรงงานราคาถูกในแผ่นดินสามารถทำให้ประหยัดต้นทุนได้มากมาย เงินเดือน 400 หยวนต่อเดือนทำให้ผู้คนจากเมืองในแผ่นดินใหญ่ดวงตาเป็ประกายทว่าหนึ่งเดือนสี่ร้อยหยวนอย่าได้คิดจะจ้างใครในฮ่องกงเลย
เนื้อหาการสนทนาของทังหงเอินและเซี่ยเสี่ยวหลานสัพเพเหระยิ่งนักดูเหมือนไร้แก่นสาร ค้อนตรงนั้นกระบองตรงนี้ [1] ทั้งถามถึงธุรกิจในปัจจุบันของเซี่ยเสี่ยวหลานทั้งถามว่าเธอไปสถานที่ใดในเผิงเฉิงแล้วบ้าง มีความคิดเห็นอะไรต่อเผิงเฉิง
อุปกรณ์รับประทานอาหารบนโต๊ะถูกเก็บไปนานแล้วเถ้าแก่ร้านอาหารจ้องโต๊ะพวกเขาสองคนอยู่หลายหน
สนทนากันราวหนึ่งชั่วโมง เสี่ยวหวังคนขับรถยกข้อมือขึ้นดูเวลาได้สามครั้งในที่สุดก็ทนเดินมาเตือนไม่ได้ “เ้านายครับตอนบ่ายคุณยังมีประชุม คุณ...”
“เด็กคนนี้นี่น่าสนใจ คุยกับเธอทำให้ฉันเกิดโครงร่างสำหรับคำถามบางอย่างเสี่ยวหวัง นายให้เบอร์โทรศัพท์แก่สหายเสี่ยวหลานหน่อยสิ”
เสี่ยวหวังประหลาดใจเหลือล้น
คนขับรถและเลขาข้างกายหัวหน้าล้วนคือบุคคลผู้สนิทสนมทังหงเอินวานคนขับรถทิ้งช่องทางติดต่อ ก็คือการยินยอมว่าหากเซี่ยเสี่ยวหลานมีธุระ้าความช่วยเหลือสามารถขอความช่วยเหลือจากเสี่ยวหวังได้แน่นอนว่าธุระแบบไหนและขอความช่วยเหลือได้กี่หนเซี่ยเสี่ยวหลานต้องพิจารณาด้วยตนเอง
ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้จักความเหมาะสมแม้แต่น้อยคาดว่าทังหงเอินคงช่วยในครั้งแรก และครั้งที่สองโทรศัพท์ของเสี่ยวหวังก็คงติดต่อไม่ได้แล้ว
เสี่ยวหวังให้หมายเลขโทรศัพท์แก่เซี่ยเสี่ยวหลานเซี่ยเสี่ยวหลานก็เขียนที่อยู่ติดต่อของตนเองเสร็จอย่างว่องไวเช่นกัน...เธอกลับซางตูเมื่อไรจะลองสอบถามเื่ติดตั้งโทรศัพท์ หาก้าติดต่อภายนอกโดยไร้โทรศัพท์ก็ต้องอาศัยโทรเลขทั้งหมดบางครั้งบางคราวโทรเลขนั้นไม่สะดวกยิ่งนัก
เช่นคนอย่างทังหงเอิน ขณะนี้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้แล้วว่านี่คือหัวหน้าของอะไรกันแน่
แต่เ้าตัวไม่อยากรับโทรเลขที่เซี่ยเสี่ยวหลานส่งให้อย่างเห็นได้ชัด มีธุระก็ใช้โทรศัพท์สิ!
“คุณอาทัง เช่นนั้นไม่รบกวนงานของคุณแล้ว”
เซี่ยเสี่ยวหลานเปี่ยมไปด้วยไหวพริบ เธอหน้าตาก็ช่างสะสวยเสียจริงทังหงเอินมองความเ้าเล่ห์ทั่วสรรพางค์กายเธอออกแท้ๆทว่าไม่รังเกียจการกระตือรือร้นเอาใจของเซี่ยเสี่ยวหลานคาดว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับความงามของเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยเช่นกัน
มนุษย์เป็สัตว์ที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งที่มองเห็น
อายุของทังหงเอินสามารถเป็บิดาของเซี่ยเสี่ยวหลานได้แล้วย่อมไม่เกิดความคิดพิสมัยกับหญิงสาวคนหนึ่งแน่นอนทว่าไม่ได้เป็อุปสรรคที่ทังหงเอินจะเกิดความชื่นชมเหมือนลูกหลานต่อเซี่ยเสี่ยวหลานวัยรุ่นที่มีปัญญาอีกทั้งพยายามก้าวหน้ามักเป็ที่ชื่นชอบของผู้คนเสมอและวัยรุ่นคนนี้ยังมีรูปลักษณ์เจริญตาเจริญใจด้วยดังนั้นแค่สนทนากับเธอไม่กี่ประโยค กระทั่งอารมณ์ยังสดใสขึ้นทีเดียว
ทังหงเอินบอกว่าให้เซี่ยเสี่ยวหลานเลี้ยงอาหารอาหารมื้อนี้ก็เป็เซี่ยเสี่ยวหลานที่ชำระเงินจริง
ทุกคนรับประทานอย่างเรียบง่าย เป็เงินไม่เท่าไรคนธรรมดาถือเงินมาก็ไม่ได้รับเกียรติจากทังหงเอินอยู่ดีเหมือนเหล่าคนพวกนั้นที่จดจ้องส่งรถของทังหงเอินตาละห้อยอยู่บริเวณเขตก่อสร้างหากให้โอกาสเลี้ยงอาหารแก่พวกเขาหนึ่งครั้งเกรงว่าต่อให้วิ่งด้วยเท้าก็ยังเร็วกว่ารถยนต์ของทังหงเอิน จัดแจงเตรียมอาหารมื้อหรูหราในภัตตาคารชั้นยอดแถบนี้เรียบร้อยไปนานแล้ว
สำหรับอาหารมื้อนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานเลี้ยงด้วยความเต็มใจ
เซี่ยเสี่ยวหลานได้รับหมายเลขโทรศัพท์มาก็อยากลองดู แต่ห้ามใจไว้ก่อน
เวลาปกติอย่าไปรบกวนคนขับรถเสี่ยวหวังดีกว่าโทรศัพท์ประเภทนี้ต้องเก็บไว้ติดต่อในเวลาสำคัญเซี่ยเสี่ยวหลานยังคงพานายว่านและนายหลี่ทั้งสองคนเดินเตร่ไปมาอยู่บริเวณเขตก่อสร้างแต่หนนี้ ศิษย์พี่ว่านไม่มีความคิดตำหนิอีกแล้วทังหงเอินผู้เข้าออกโดยมีรถยนต์และคนขับรถส่วนตัวมอบความน่าเกรงขามอันยิ่งใหญ่ให้ศิษย์พี่ว่านทีเดียว
เซี่ยเสี่ยวหลานใช้เวลาสองวันสำรวจทั่วเผิงเฉิงอย่างละเอียดหนึ่งรอบใช้เผิงเฉิงในตอนนี้ไปเปรียบเทียบกับเผิงเฉิงในอีก 30 ข้างหน้าเป็ครั้งคราวไม่ว่าสิ่งปลูกสร้างแลนด์มาร์คของเมืองหรือในอนาคตเมืองจะวางผังขยับขยายอย่างไรแม้แต่ผู้บริหารของเขตพิเศษในเวลานี้อาจยังเข้าใจดีสู้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ด้วยซ้ำ
แผน 5 ปี แผน 10 ปี [2] ถูกสนับสนุนใช้ในเวลานี้นั่นเอง
ขณะวางแผนสร้างเมือง ใครจะนึกถึง 30 ปีให้หลังทันทีกันทุกวันนี้ประเทศกำลังคลำหินข้ามแม่น้ำ [3] หัวหน้านักวางแผน [4] ของการปฏิรูปเศรษฐกิจก็คงคาดการณ์ไม่ถึงเหมือนกันว่าประเทศจีนอีก 30 ข้างหน้าจะโชติ่ชัชวาลขนาดนั้น
เซี่ยเสี่ยวหลานเดินชมเผิงเฉิงจนเสร็จสิ้น ติดสอยห้อยตามด้วยคนคุ้มกันชั่วคราวนั้นสะดวกมากจริงๆระหว่างกลับไปยังตลาดสินค้าขนาดเล็กสะพานเหรินหมินอีกครั้งก็ไม่มีคนสร้างความวุ่นวายแก่เธอเลยสักคน
วันที่สิบเอ็ดเดือนเจิงผ่านพ้นไป การค้าของแผงไป๋เจินจูคึกคักยิ่งนัก
ยุ่งจนกระทั่งเก็บร้าน ไป๋เจินจูปาดเหงื่อบนลำคอ “ฉันได้ข่าวว่าในหมู่บ้านมีสินค้าล็อตใหม่มา เธอกล้ารับไว้หรือไม่?”
เชิงอรรถ
[1]东一榔头西一棒子 ค้อนตรงนั้นกระบองตรงนี้ หมายถึง พูดหรือทำแบบมั่วซั่วตามยถากรรมไม่มีการวางแผน
[2]หมายถึง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
[3]摸着石头过河 คลำหินข้ามแม่น้ำ หมายถึง ทำสิ่งใดที่ไม่เคยมีผู้ริเริ่มมาก่อนและกระทำอย่างระมัดระวังเหมือนการคลำหินใต้แม่น้ำขณะข้ามไปอีกฝั่งเพื่อไม่ให้จมน้ำ
[4]总设计师 หัวหน้านักวางแผน หมายถึงผู้รับผิดชอบหน้าที่หลักในการพัฒนาการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน ในที่นี้คือเติ้งเสี่ยวผิง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้