เมื่อคิดเช่นนั้น ซูฉีเฉียวก็กวาดสายตามองไปที่เป้าของจางเฉาิ
แม้ว่าเขาจะอุ้มลูกอยู่ แต่ตอนที่สายตาของนางมองมายังจุดสำคัญของเขาแล้ว…หลังของเขาก็เหยียดตรงขึ้นทันที
“อะแฮ่ม ถ้าอย่างนั้น ข้าคิดว่าบางเื่ พวกเราก็ค่อยเป็ค่อยไปได้” เมื่อรู้ว่าตนเองถูกจับได้แล้วว่ามองไปที่ใด ซูฉีเฉียวก็รีบเปลี่ยนเื่ทันที
นางจึงรับบุตรสาวมาอุ้ม
เมื่อเขาเห็นนางเป็ฝ่ายที่อยากจะอุ้มลูก จางเฉาิก็มีท่าทีตกตะลึงไปทันที ถึงแม้ว่าเบื้องหน้านางจะเป็มารดาของเด็กน้อยทั้งสาม แต่ในความเป็จริง เวลาที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันนางเป็คนที่ไม่ชอบเด็กเอาเสียเลย
หากเลือกที่จะไม่อุ้มได้ นางก็จะไม่อุ้มเด็ดขาด แต่เพราะตอนนี้นางเพิ่งกลับมาจากประตูปรโลก ถึงได้…เป็ฝ่ายเสนอตัวในการอุ้มเสียเอง!
“เ้าพักผ่อนต่ออีกสักหน่อยเถอะ ข้าอุ้มพวกเขาเอง”
ซูฉีเฉียวไม่สนใจที่เขาพูด ก่อนจะอุ้มลูกคนหนึ่งขึ้นมา “เด็กคนนี้คือ?” หน้าเหมือนอีกคนหนึ่งมากเลย ซูฉีเฉียวแยกไม่ออกจริงๆ ว่าใครเป็พี่ใครเป็น้อง
“เสี่ยวซวงซวง” จางเฉาิดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว
เด็กตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนมีอายุราวๆ หนึ่งขวบ ดวงตาดำกลมโต ขนตายาวเปียกชื้นกำลังมองมาที่นาง มือเล็กๆ อยู่ในปากพร้อมกับกัดแล้วกัดอีก บางครั้งก็ส่งเสียงน่ารักออกมาเป็ครั้งคราวซึ่งมีตนเองเข้าใจอยู่เพียงคนเดียว
ใบหน้าเล็กอมชมพูจนทำให้คนมองอยากจะกัดลงไปสักครา เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เด็กคนนี้ได้รับการเลี้ยงดูค่อนข้างดีมาก แขนอ้วนๆ เหมือนรากบัวอมชมพูจนดึงดูดให้ใครต่อใครรักใคร่
“พู่…” เวลานี้เสี่ยวซวงเป่าน้ำลายออกมา “คิกๆ…” เ้าตัวน้อยน่าจะรู้สึกประสบความสำเร็จ นางตบแขนอวบอ้วนเหมือนรากบัวและหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ปากเล็กสีชมพูที่มีฟันเพียงซี่เดียวโผล่ออกมา ทำให้ซูฉีเฉียวอดไม่ได้ที่จะเย้าแหย่…
“หืม เสี่ยวซวงเก่งนัก เป่าน้ำลายเก่งมาก มาให้แม่หอมหนึ่งทีสิ”
นางถูกใจเด็กคนนี้จริงๆ ก่อนที่นางจะยิ้มตาหยีและก้มลงไปจูบเสี่ยวซวง
ผมยาวสองสามเส้นตกลงมาปัดใบหน้าของเสี่ยวซวงจนเ้าตัวรู้สึกจั๊กจี้และหัวเราะออกมาอีกครั้ง
เสียงหัวเราะน่าฟังนั้นทำให้ซูฉีเฉียวหัวเราะคิกคักออกมาด้วยเช่นกัน เมื่อหัวเราะออกมาความเ็ปที่ลำคอก็แล่นปรี่ขึ้นมา
ทว่าอย่างไรรอยยิ้มแห่งความสุขที่ส่งออกมาจากใจจริงของนางก็ทำให้ตัวนางดูโกรธเคืองอยู่เล็กน้อย
ในตอนที่นางเงยหน้าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวนั้นก็พบกับดวงตาของจางเฉาิที่เบิกกว้าง ท่าทีตกตะลึงนั้นทำให้นางขมวดคิ้วขึ้นมา “หลังจากนี้ เด็กคนนี้…ข้าจะเป็คนเลี้ยงเอง บุรุษอย่างเ้าจะดูแลเด็กได้อย่างไร ดูขาเ้าสิ”
สายตาของนางหยุดอยู่ที่ขาของเขา เวลาเดินเห็นได้ชัดว่าขาข้างนั้นไม่มีเรี่ยวแรง คงจะได้รับาเ็มาไม่น้อย
“เ้า…เปลี่ยนไป”
“เอ่อ อ่า… ฮ่าๆ…หึๆ…” ซูฉีเฉียวหาข้ออ้างอะไรไม่ได้จึงทำได้เพียงหัวเราะหึๆ ฮ่าๆ ไป
“เ้าอย่าพูดมากเลย เ้าเจ็บอยู่นี่” จางเฉาิเห็นท่าทีที่นางแสดงออกก็ทำให้เขาใไม่น้อย จึงรีบเข้าไปอุ้มลูกน้อยวางลงและตรวจสอบนางทันที
เมื่อเห็นสีหน้าร้อนรนของเขา ซูฉีเฉียวก็รู้สึกประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้มีความห่วงใยและใส่ใจนางมาก เ้าของร่างเก่าไม่มีความรู้สึกใดๆ กับชายคนนี้เลยอย่างนั้นหรือ แท้ที่จริงแล้วเป็คนนิสัยอย่างไรกันแน่ที่ยอมให้หญิงสาวในยุคโบราณละทิ้งกรอบความคิดของผู้คน แต่งงานมาถึงขั้นนี้แล้วยังจะต้องมีอะไรให้กังวลกันอีกเล่า
เพราะความสงสัยเ่าั้ทำให้ซูฉีเฉียวแกล้งป่วยเพื่อจะได้ขังตัวเองอยู่ในห้อง
บางครั้งก็คอยหยอกล้อต้าซวงและเสี่ยวซวง รวมไปถึงบุตรสาวคนโตต้านิว อันที่จริงแต่ละวันก็ผ่านไปได้ด้วยดี
วันนี้จางเฉาิเองก็ไม่ได้ออกไปข้างนอก อันที่จริงการที่ต้องดูแลเด็กทั้งสามคนและเป็เด็กที่ยังเดินไม่ได้อีกด้วย งานเช่นนี้ถือว่าไม่ใช่เื่ง่ายเอาเสียเลย
ต้านิวดูเป็เด็กที่ค่อนข้างขี้อาย ดวงตางดงามคู่นั้นจะคอยมองซูฉีเฉียวด้วยท่าทีระมัดระวัง ในตอนที่แววตาคู่นั้นของซูฉีเฉียวมองมาที่นางและมอบรอยยิ้มให้กับนางนั้น ต้านิวก็จะคอยมุดศีรษะหลบลงไปในอ้อมแขนของจางเฉาิ เมื่อเอนกายออกมาอีกครั้งก็จะมองนางด้วยความระมัดระวังเช่นเดิม
เพราะเมื่อชาติก่อนนางเคยให้กำเนิดและเลี้ยงดูเด็กมาก่อน เมื่อชาติก่อนนางเคยเป็ครูในหมู่บ้าน ทำให้ซูฉีเฉียวมีประสบการณ์ว่าควรจะปฏิบัติและสื่อสารกับเด็กอย่างไร
ใช้รอยยิ้มเพื่อสร้างความรู้สึกใกล้ชิดกับต้านิวก่อน มอบความบริสุทธิ์ใจและความรู้สึกที่ไม่มีทางทำร้ายส่งเป็รอยยิ้มไปให้ ยามที่ต้านิวใกล้ชิดกับนางนั้น นางก็ได้ทดลองเล่นเกมง่ายๆ กับต้านิว
ต่อให้เป็เด็กขี้อายมากเพียงใด แต่อย่างไรก็จะต้องชื่นชอบการเล่นสนุก หลังจากใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็ประสบความสำเร็จ ต้านิว ต้าซวง และเสี่ยวซวงต่างก็ชื่นชอบซูฉีเฉียว
จนเมื่อถึงตอนที่จางเฉาิกลับมาจากไปหาฟืน เมื่อได้เห็นสี่คนแม่ลูกเล่นด้วยกันอย่างมีความสุข ก็ทำให้ดวงตาของชายหนุ่มที่สูงถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดเิเเปียกชื้น
นั่นเป็เพราะความสามัคคีกลมเกลียวเช่นนี้คือสิ่งที่เขาปรารถนามาโดยตลอด…
ซูฉีเฉียวรู้สึกได้ว่าสามีคนใหม่คนนี้ของนางเป็คนมีน้ำใจ ดูแลใส่ใจนางด้วยความพิถีพิถัน
เขารู้ว่านางป่วย เขาก็ยกอาหารเข้ามาให้นางกินในห้อง แน่นอนว่าอาหารการกินในบ้านนั้นไม่ใช่ของที่ดีเท่าไรนัก
อาหารของนางก็เป็แค่น้ำแกงผักหนึ่งถ้วย พร้อมกับก้อนเนื้อดำๆ และผักดองจานเล็กๆ อีกหนึ่งจาน
“กินเถอะ ถึงจะค่อนข้างแตกต่างกับตอนที่พวกเราอยู่ในหมู่บ้านชิงซานอยู่มาก แต่ก็ยังโชคดีที่มีอะไรกิน”
จางเฉาิยื่นถ้วยมาเบื้องหน้านางด้วยความใส่ใจ ก่อนจะหดตัวกลับไปอยู่ด้านข้าง
ราวกับว่าชายผู้นี้…ไม่ได้กินอาหารร่วมโต๊ะกับนาง
นางกวาดสายตามองเขาด้วยความประหลาดใจ “เ้ามากินด้วยกันสิ ไปหลบทำอะไรอยู่ตั้งไกล ทำอย่างกับข้าเป็โรคติดต่อ”
“หา?” จางเฉาิกะพริบตาแล้วกะพริบตาอีกด้วยความสงสัย ราวกับว่าภรรยาผู้นี้ไม่มีท่าทีต่อต้านเขาอีกต่อไปแล้ว
หลังจากที่ตกปากรับคำ เขาก็รีบพูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่เรียบง่ายและจริงใจ “ไม่ใช่ ข้า…ข้าจะไปอุ้มต้าซวงกับเสี่ยวซวงมา พวก…พวกเราจะได้กินอาหารร่วมกันทั้งครอบครัว”
เมื่อเห็นเขายิ้มทั้งน้ำตา ซูฉีเฉียวก็รู้สึกเป็กังวลขึ้นมาอีกครั้ง เ้าของร่างเก่าร่างนี้รังเกียจชายผู้นี้มากขนาดไหนกันนะ
ว่ากันตามตรง นางรู้สึกว่าชายคนนี้…ก็เป็คนดี เหตุใดแม่สามีถึงได้้าจะให้สามีภรรยาหย่าร้างกัน
เพียงแต่ว่านางไม่รู้ว่าสถานการณ์จริงเป็เช่นไร นางไม่รู้ว่าจางเฉาิคนนี้เป็คนอย่างไร ในหมู่บ้านนี้ครอบครัวทางฝั่งสามีมีชื่อเสียงเรียงนามเป็อย่างไร…
และหลังจากนั้น ซูฉีเฉียวก็เพิ่งจะได้รับรู้เื่ราวเหล่านี้
พวกเขาบอกว่านางเป็คนอับโชค แต่ในความเป็จริง ชื่อเสียงเรียงนามของจางเฉาิกลับเป็คนที่อับโชคยิ่งกว่านางเสียอีก
ในปีที่เขากำเนิดขึ้นมาก็ได้เกิดแผ่นดินไหวจนทำให้มีคนล้มตายหลายสิบคน
ตอนที่เขาอายุครบสัปดาห์ก็มีคนล้มตายจากภัยพิบัติอีกเป็สิบคน
เมื่อเติบโตมาจนอายุครบหนึ่งขวบก็พบเจอกับความแห้งแล้ง ผู้คนในหมู่บ้านต่างก็ต่อว่าด้วยความโกรธเคืองว่าเขาเปรียบดั่งดาวอัปมงคลที่เกิดมาพร้อมลางร้ายเพื่อทวงหนี้จากผู้คน
ดังนั้นคนที่ถูกผู้คนในหมู่บ้านขับไล่มาั้แ่เด็กอย่างเขานั้น ก็ถูกคนในครอบครัวขับไล่ด้วยเช่นกัน…
หากไม่ใช่เพราะตาเฒ่าจางดูแลเลี้ยงดูเขามา เขาก็คงจะถูกผู้เป็แม่แท้ๆ ทอดทิ้งมาั้แ่ยังเล็กแน่นอน
และเพราะเหตุนี้ ตอนที่เขาอายุได้สิบสามปี เขาจึงถูกนางจางขับไล่ออกจากบ้านเพื่อไปล่าสัตว์ที่หมู่บ้านชิงซานร่วมกับคนอื่นๆ เพื่อหาเลี้ยงชีพ และยังสามารถหาเงินเล็กๆ น้อยๆ เพื่อนำมาเลี้ยงครอบครัวได้อีกด้วย
หากไม่ใช่เพราะสามปีก่อนที่เขาหาเงินกลับมาได้ เกรงว่านางจางก็คงไม่ยอมสู่ขอภรรยาให้กับเขา
แน่นอนการที่เขาสู่ขอภรรยาก็คงจะไม่ได้มีครอบครัวดีๆ ที่ยอมคบค้าสมาคมกับเขาอยู่แล้ว
เพราะได้คาดเดาเอาไว้ในใจแล้ว ทำให้เ้าของร่างเก่าในเวลานั้นยอมวางแผนแต่งงานเป็คู่สามีภรรยาปลอมๆ กับเขา
หลังจากได้รับรู้ต้นสายปลายเหตุแล้ว ซูฉีเฉียวก็ได้เข้าใจตระกูลจางที่นางมาอยู่หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน
นางจางเอาแต่ดุด่าต่อว่าคนทั้งคู่ไม่เว้นแต่ละวัน จางต้าและผู้เป็ภรรยาที่ชอบยุ่งเื่ของผู้อื่น คอยเป็ผู้สมรู้ร่วมคิดราวกับกลัวว่าจะถูกนางแย่งความรักไปอย่างไรอย่างนั้น
ในตอนแรกซูฉีเฉียวก็ยังยอมนิ่งเฉย ทนได้ก็ทน
เพราะนางเพิ่งจะทะลุมิติมา บางเื่ก็ไม่กล้าที่จะออกตัวจนเกินไปและไม่กล้าเปิดเผยบุคลิกและนิสัยส่วนตัวออกไป เพราะอย่างไรในตอนนี้ก็เป็ยุคโบราณ หากไม่ระมัดระวังก็จะถูกผู้คนกล่าวหาว่าเป็ตัวประหลาด หากถูกโยนลงทะเลสาบทั้งเป็ก็คงไม่มีโอกาสได้ร้องไห้
สำหรับเด็กทั้งสามคนนี้ ตัวนางรู้สึกชื่นชอบพวกเขาจากใจจริง
ทุกครั้งที่ได้เจอกับบุตรสาวที่น่ารักเหล่านี้ หัวใจที่เคยว่างเปล่าของนางก็ถูกเติมจนเต็ม
ตอนที่อยู่ในยุคปัจจุบัน อายุของนางถือว่าไม่น้อยแล้ว
คบหากับสามีร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งสิบสองปี แต่พวกเขาก็ไม่มีลูกด้วยกัน
หลังจากผ่านการรักษาอยู่เป็เวลานาน เธอก็ตั้งครรภ์ได้ด้วยความยากลำบาก เวลานั้นเธอคิดเพียงแค่ว่าเมื่อสามีกลับมาเธอก็จะบอกข่าวดีนี้ แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เธอรอคอยคือหญิงสาวท้องโตที่มาร่ำไห้เว้าวอนอยู่หน้าบ้าน
สามีของเธอยืนมองหญิงสาวท้องโตด้วยความเป็ห่วง…
“ความรู้สึกของสามีภรรยาตลอดสิบสองปีที่ผ่านมา มันเทียบกับเด็กคนหนึ่งไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือคะ”
“ฉีเฉียว คุณฟังผมพูดก่อน…ผมกับซืออวี่…เรามีความรู้สึกต่อกันมานานแล้ว เธอ…ทำเพื่อผมจนต้องทำแท้งลูกไปถึงสามคนแล้ว หมอบอกว่าหากทำแท้งเด็กคนนี้ไปอีก หลังจากนี้เธออาจจะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้อีกแล้ว ขอโทษที่ผมหลอกลวงคุณ ผมกับซืออวี่เราอยู่ด้วยกันมาั้แ่แปดปีก่อนแล้ว เพราะคุณปฏิบัติต่อผมดีมากและเพราะครอบครัวของคุณมีบุญคุณกับผม ดังนั้น…จึงทำให้ผมไม่กล้าที่จะเอ่ยเื่หย่า”
“ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากเื่หย่าอย่างนั้นหรือ… หึๆ… ที่แท้ที่คุณทำดีกับฉัน ความรู้สึกที่มีต่อฉัน มันเป็เพียงแค่…ความกลัวที่จะเสียหน้า แค่…ครอบครัวของฉันมีบุญคุณกับคุณ ดังนั้นเื่ลูก…ไม่ใช่เพราะพวกเราไม่สามารถมีได้ แต่…คุณคอยระมัดระวังที่จะไม่มีมาตลอดใช่ไหม”
“ฉีเฉียว ผมรู้ว่าคุณรู้สึกแย่มาก แต่ผมไม่สามารถยอมให้ซืออวี่ทำแท้งอีกแล้ว มันจะทำร้ายเธอให้ไม่สามารถเป็แม่คนได้อีก แบบนั้นผมก็คงจะไม่สามารถเป็ลูกผู้ชายได้อีก
อีกอย่างผมก็อายุเกือบจะสี่สิบแล้ว พ่อแม่ของผมก็คาดหวังที่จะให้ผมมีลูก หลายปีก่อนนั้นหมอก็บอกแล้วว่าคุณตั้งครรภ์ยาก ดังนั้นผมก็เลือกทำเพื่อซืออวี่และเพื่อพ่อแม่ของผม ซึ่งผมทำได้เพียงแค่ต้องหย่ากับคุณ แน่นอนว่าถ้าคุณไม่เต็มใจที่จะเลิกรากับผม ผมก็ไม่มีความเห็นใด พวกเรา้าเพียงแค่ใบหย่า หลังจากนี้ผมจะมาเยี่ยมคุณบ่อยๆ ปฏิบัติต่อคุณให้ดีกว่าเมื่อก่อน”
“เพียะ”
“…เซี่ยงฉี่ผิง คุณช่างเป็ผู้ชายที่น่ารังเกียจและหน้าด้านจริงๆ น่าเสียดายที่ฉันมองว่าคุณเป็ผู้ชายที่ดี แต่ที่แท้คุณกลับเป็คนที่มีจิตใจคับแคบ แบ่งปันความสุขของเมียหลวงและเมียน้อย…ฉันคงมองคนผิดเอง”
หย่าร้างกับผู้ชายที่แต่งงานกันมาสิบสองปี แต่เธอกลับไม่เสียน้ำตาสักหยด
หากเลือกที่จะทำแท้ง ก็สามารถเลือกทำแบบที่ไม่ต้องเ็ปได้
แต่เพื่อที่จะจดจำความเ็ปนั้น เธอกลับเลือกการขูดมดลูก
ความเ็ปที่อธิบายออกมาเป็คำพูดไม่ได้นั้น หลังจากเสร็จสิ้นแล้วเธอก็เดินโซเซออกมา หมอและพยาบาลเห็นใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาก็คิดว่าเธอเ็ปจากการขูดมดลูก ไม่มีใครรู้ว่าเธอ…เ็ปมาจากภายในจิตใจ…
เพราะอาการาเ็ที่ขาของจางเฉาิเป็สาเหตุ ทำให้ครั้งนี้ทั้งสองคนต้องเดินทางกลับมาจากหมู่บ้านชิงซาน คาดว่าน่าจะใช้เวลารักษาตัวราวๆ หนึ่งปีครึ่งแล้วค่อยวางแผนกันอีกที
อันที่จริงการรักษาอาการาเ็นั้นไม่ได้ใช้เวลานานขนาดนั้น แต่บิดาของเขาอายุมากแล้ว สองปีที่ผ่านมาเขาก็รู้สึกคิดถึงบุตรชายอย่างจางเฉาิ จึงได้คิดเื่ที่จะชักชวนให้บุตรชายกลับมาอยู่ที่หมู่บ้าน
ทว่าการกลับมาของจางเฉาิและภรรยา รวมไปถึงบุตรสาวทั้งสามคนทำให้นางจางไม่พอใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ใช้เงินของจางเฉาิที่นำกลับมาไปจนเกือบหมดแล้ว สีหน้าของนางจางหลิ่วก็ยิ่งแสดงออกด้วยความไม่พอใจมากขึ้น
สิ่งที่มากกว่าไปกว่านั้นก็คือหลังจากที่ทั้งคู่กลับมา สถานที่ที่พวกเขาได้พักอาศัยคือเล้าหมูเก่า
บ้านหลังนั้นไม่ว่าจะทำความสะอาดอย่างไรก็ไม่สามารถกลบกลิ่นแปลกๆ ไปได้
หลังคาก็มักจะรั่วในยามที่ฝนตก กำแพงก็มีรูหลายรู บางครั้งตอนกลางคืนก็มักจะมีหนูลอดเข้ามา
หลังจากที่ซูฉีเฉียวสามารถลงจากเตียงมาทำงานบ้านได้นั้น สิ่งแรกที่นางทำคือการทำความสะอาดบ้านชั่วคราวที่เคยเป็เล้าหมูมาก่อน
ที่นี่อยู่ห่างจากบ้านของตาเฒ่าจางราวๆ สิบกว่าเมตร
สามารถอยู่ห่างจากนางจางหลิ่วได้เช่นนี้ ก็ถือเป็เื่ดีสำหรับซูฉีเฉียว
เมื่อมีกลิ่นแปลกๆ ในบ้านก็ต้องรมควันเสียหน่อย แน่นอนว่าในหมู่บ้านชนบทคงไม่มีธูปหอม สิ่งที่นำมาใช้ได้จึงมีเพียงแค่สมุนไพรบนเขาเท่านั้น