หานิที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเย่หลิน หรี่ตาลงนิดหน่อย ยิ้มเหมือนไม่ได้แปลกใจอะไร
“เ้าคิดดีแล้วหรือ?”
เย่หลินตอบกลับ “ข้า... คิดมาดีแล้ว... .”
“หืม... เ้าลืมไปแล้วรึเปล่า? ในตัวเลือกที่สอง... ไม่ใช่แค่ฮัวจินหรูเท่านั้นที่จะต้องตาย”
“เ้าเอง... ก็ต้องตายไปด้วยนะ”
คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงเข้าใส่กลางหัวใจของเย่หลิน เขาลืมสิ่งสำคัญขนาดนั้นไปได้ยังไง?
ริมฝีปากของเขาสั่น ความกลัวเริ่มกัดกินจิตใจอย่างช้าๆ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด และตอนนี้ ทุกคนที่เฝ้าดูอยู่ก็เหมือนจะลืมเงื่อนไขข้อนี้ไปแล้วเหมือนกัน แต่พวกเขาสังเกตไปที่หน้าของเย่หลินก็ได้เห็นแล้วว่าหน้าตาของเขา มันแสดงให้เห็นว่าเขายังไม่พร้อมจะตาย
หานิหัวเราะออกมาเบาๆ “อย่าทำหน้าใขนาดนั้นสิ…”
เย่หลินนอนนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจความตึงเครียดแล่นไปทั่วร่างจนหัวใจของเขาเต้นไม่เป็จังหวะ เขารู้สึกเหมือนสมองถูกแช่แข็ง
“เดี๋ยวก่อน...” เย่หลินพูดขึ้น น้ำเสียงของเขาแ่เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
หานิพยักหน้าเบาๆ ดวงตาของเขานิ่งสนิท ไม่มีแววตาแห่งการดูถูก ไม่มีแววตาแห่งความโกรธ มันเรียบเฉย... ก่อนที่หานิจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบาๆ
“ข้ารู้... พวกเราโตมาในโลกที่บอกให้เราเสียสละ เป็คนดี เป็วีรบุรุษ”
เขาหยุดพักนิดหน่อย ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เ็า
“แต่โลกใบนี้... มันเคยอยู่ข้างเ้าบ้างไหม? ตอนเ้าหิว... ตอนเ้าหนาว... หรือแม้แต่ตอนที่เ้ากำลังจะตาย โลกเคยยื่นมือมาช่วยเ้าหรือเปล่า?”
“ไม่มีหรอก” หานิส่ายหน้าเบาๆ
“มีแต่เ้า... ที่ต้องยื่นมือไปคว้าอะไรบางอย่างไว้ด้วยตัวเอง”
“เ้ารู้ไหม เย่หลิน? คนส่วนมากไม่อยากยอมรับมันหรอก แต่ว่ามันกลับมีอยู่ในตัวพวกเราทุกคน นั้นคือสิ่งที่เรียกว่า ความโลภ… ไม่ว่าจะโลภในสตรี โลภในอำนาจ โลภในเงินทอง โลภในชื่อเสียง หรือแม้แต่โลภในชีวิต”
หานิเดินเข้าไปหาเย่หลินช้าๆ เสียงของเขาเหมือนกำลังเล่าเื่ธรรมดาแต่มันดึงอารมณ์ของทุกคนที่นั่นให้มาสนใจที่เขาเท่านั้น
“ต่อให้เ้าจะทำความดีมากแค่ไหน ช่วยคนไปมากมายเท่าไหร่ แต่ในวันที่คมดาบทะลุผ่านคอของเ้าไป... ความตายจะลอกเปลือกความดีทั้งหมดของเ้าออกไปจนหมด เหลือแค่กระดูกเน่าๆ ที่รอเวลาสลายไปกับกาลเวลา”
“โลกไม่เคยขับเคลื่อนด้วยความเสียสละ” ดวงตาของหานิยังคงนิ่ง
“แต่มันหมุนไปด้วย... ความโลภ”
“คำพูดอันแสนหอมหวานของพวกที่อยู่ข้างบน ที่เอาไว้ล่อหลอกคนอย่างพวกเราให้เชื่อง และอยู่ภายในกรอบทางความคิดที่พวกมันกำหนด”
“พวกมันสร้างคำว่า เสียสละ เพื่อให้เราเอาชีวิตไปแลกกับผลประโยชน์ของพวกมัน”
“พวกมันสร้างคำว่า ศรัทธา เพื่อให้เราเชื่อฟังโดยไม่ตั้งคำถามใดๆ”
“พวกมันสร้างคำว่า วีรบุรุษ ขึ้นมา เพื่อให้คนธรรมดายอมตายแทนชนชั้นนำ แล้วเรียกความตายของเราว่า เกียรติยศ”
“ท้ายที่แล้ว เราก็แค่มนุษย์คนหนึ่ง… ที่ถูกปลุกปั้นให้กลายเป็เครื่องมือ เพื่อตอบสนองความโลภของใครบางคน ที่อยู่สูงเกินกว่าจะเข้าใจว่า ชีวิตของเราเ็ปแค่ไหน แล้วก็รอเวลาตายไปอย่างไร้ค่า หมุนวนเป็วัฏจักรไร้ที่สิ้นสุด”
“แต่ที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นคือ... มันกลับไม่ใช่เื่ที่ผิด”
“คำพูดของข้ามันอาจจะดูเห็นแก่ตัว แต่มันคือธรรมชาติ และธรรมชาติ... มันไม่สนหรอกว่าเ้าจะเป็คนดีแค่ไหน มันแค่กลืนกินคนที่อ่อนแอ แล้วให้คนที่ยังหายใจอยู่เดินต่อไป”
“ถ้าเ้าอยากอยู่รอดในโลกนี้ เ้าไม่จำเป็ต้องเป็คนดี”
“แต่แค่ต้องเข้าใจว่า ความถูกต้อง นั้น ไม่มีอยู่จริง มีแค่ ผู้รอดชีวิต... กับ ผู้ตาย เท่านั้น”
บรรยากาศรอบตัวของทุกคนเยือกเย็นจนแทบจะหายใจไม่ออก
“ในโลกแห่งการบ่มเพาะที่ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอ การเอาชีวิตรอด... คือคุณธรรมสูงสุด”
“โลกอาจจะจดจำเ้าในฐานะวีรบุรุษ แต่ประวัติศาสตร์… ถูกสร้างโดยผู้รอดชีวิต”
หานิยิ้มบาง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกล่าวกับเย่หลิน
“ดังนั้น... จงตัดสินใจให้ดี โอกาสอยู่ในมือของเ้าแล้ว”
น้ำเสียงนั้นไม่ดังไม่เบา แต่ทุ้มลึกพอจะสะท้อนเข้าไปถึงกลางจิตใจของใครก็ตามที่ได้ยิน
ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้าที่ซุยจื่อเมิ่งและอู๋เวินกำลังเฝ้าดูอยู่ นางเบิกตากว้างเล็กน้อยก่อนจะนิ่งไปชั่วครู่ นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วรีบดึงสติกลับคืนมาทันที นางหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น
“เหมาะสมแล้ว... ที่เป็คนที่ข้าไม่สามารถมองเห็นโชคชะตาได้ แม้แต่คำพูดธรรมดาของเ้า เกือบทำให้การบ่มเพาะของข้าทะลวงไปยังขั้นถัดไปโดยไม่ตั้งใจ”
สายตาของซุยจื่อเมิ่งยังคงจับจ้องไปที่ร่างของหานิ ทางด้านอู๋เวิน แม้เขาจะได้ฟังคำพูดเดียวกัน แต่แววตากลับว่างเปล่าเล็กน้อย เขาเข้าใจ... แต่ก็เข้าใจเพียงผิวเผิน ไม่อาจเข้าถึงแก่นแท้ได้
ซุยจื่อเมิ่งที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วเหมือนคิดอะไรได้บางอย่าง ก่อนจะหลุดคำพูดออกมาเบาๆ
“เ้าเด็กนี่.... มันเห็นว่าเต๋า์ไม่ยอมลงมาช่วยคนเ่าั้สักที มันเลยตั้งใจเพิ่มคุณค่าของพวกนั้นโดยตรง เพื่อเพิ่มแรงดึงดูดให้เต๋า์ลงมาช่วยคนเ่าั้”
“หึหึ…ไม่ใช่แค่เด็กคนนั้นที่ต้องเลือกระหว่างชีวิตของเขาเองกับชีวิตของคนอื่นๆ แต่เต๋า์เองก็ต้องเลือกเหมือนกัน ว่าจะลงมาช่วยเด็กเหล่านี้ หรือจะยอมทิ้งเมล็ดพันธุ์ชั้นเลิศเหล่านี้ไป…ใช้ได้เลย”
ด้านล่าง ศิษย์หญิงทั้งห้าของยอดเขาไผ่์ที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น เมื่อได้ยินถ้อยคำของหานิ ก็เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างจุดประกายในจิตใจของพวกนาง แสงสีทอง... สะท้อนผ่านดวงตาทั้งห้า
บางคนร่างกายเริ่มสั่นเล็กน้อย พลังิญญาไหลเวียนพลุ่งพล่านราวกับัตื่นรู้ บางคนกลับนิ่งสงบ แต่รัศมีจากร่างแผ่กระจายรุนแรงจนพื้นแตกร้าว
ในพริบตา การบ่มเพาะของพวกนางพุ่งทะยานขึ้นไป บางคนข้ามไปหนึ่งอาณาจักรใหญ่ บางคนทะลุทะลวงสองอาณาจักรใหญ่ในคราวเดียว
ไม่เพียงแค่พวกนาง ชายชราผู้เป็ผู้พิทักษ์ของซ่างกวนถิงถิงเองก็หลับตาลง และรับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงภายใน ความเข้าใจในพลัง... มันคลี่คลายออกราวกับม่านหมอกถูกแหวกออกมา
ส่วนฮัวจินหรู ถึงแม้อาการาเ็ของนางจะหนักจนขยับไม่ได้ แต่ภายในร่างของนางกลับสั่นะเือย่างรุนแรง นางได้รับบางสิ่งจากคำพูดนั้นเช่นกัน แต่ร่างกายของนางาเ็สาหัสเกินไป
ในอีกมุมหนึ่ง จี้อี้เหรินที่ทุกคนคิดว่าสลบอยู่... ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ แววตาของนางสงบนิ่ง แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง ออร่าที่แผ่ออกจากร่างของนางบางเบา แต่กลับลึกซึ้งราวกับห้วงมหาสมุทร
นางทะลวงผ่านขั้นกึ่งจักรพรรดิ... สู่จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ อย่างเงียบงัน
แต่ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครััได้ เพราะหานิ... ได้สั่งระบบของเขาให้ปกปิดออร่าของนางเอาไว้ทั้งหมด
ทว่าท่ามกลางความตื่นรู้ของทุกคน ดวงตาของหานิกลับหรี่ลง เขาหันไปมองเย่หลิน... ที่ยังคงนอนนิ่ง ไม่ใช่นิ่งจากการทำสมาธิ แต่... สายตานั้นไร้สติราวกับจมดิ่งอยู่ในโลกที่ไม่มีใครเข้าถึง
หานิขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ดูเหมือนคำพูดของข้าจะส่งไปถึงเ้าแล้วสินะ...”
น้ำเสียงของหานิแม้จะเบา แต่ก็แฝงไว้ด้วยความยินดีบางอย่างที่ซ่อนอยู่
ขณะที่ทั่วทั้งพื้นที่ปั่นป่วนด้วยพลังแห่งการตรัสรู้ เย่หลินกลับยังจมอยู่ในความมืดของตัวเอง หานิหลับตาลงเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“ข้าคงช่วยเ้าได้แค่นี้ละ…”
หานิส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะคว้าร่างของฮัวจินหรูเข้ามาใกล้ นิ้วแตะเบาๆ ที่หน้าผากของนาง ตามด้วยการดึงเย่หลินที่ยังนอนเหม่ออยู่เข้ามา แล้วแตะที่หน้าผากของเขาด้วยเช่นกัน