เมื่อเห็นสีหน้าขึงขังของโจวชิงหวา สือหวู่ก็หยุดพูดเล่น พลางยืดอกรายงานอย่างจริงจัง “คนผู้นั้น เข้าไปในจวนของแม่ทัพฝ่ายซ้ายขอรับ!”
โจวชิงหวาผุดลุกขึ้น สายตาวาวโรจน์ “ต้วนอวิ๋นหลาน!”
เริ่มจากเว่ยฉีหราน ตามมาด้วยต้วนอวิ๋นหลาน เหตุใดพวกเขาถึงวางแผนทำร้ายหนีเจียเอ๋อร์?
ชายหนุ่มคิดไม่ออก ว่านางไปมีเื่บาดหมางกับคนทั้งสองั้แ่เมื่อใด?
โจวชิงหวากับสือหวู่ไปตรวจสอบบุคคลต้องสงสัย ที่ลอบเข้าไปในจวนสกุลต้วน และพบว่าคนผู้นั้นมีนามว่าต้วนหงอวี้ มีศักดิ์เป็ลูกพี่ลูกน้องของต้วนอวิ๋นหลาน นอกจากทหารที่ชื่อสือหู่แล้ว ก็มีต้วนหงอวี้นี่แหละ ที่ต้วนอวิ๋นหลานไว้ใจที่สุด
นอกจากนี้ยังพบว่าต้วนหงอวี้กลับบ้านไปหนึ่งวัน ก่อนเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่เรือนพักร้อน จากนั้น เขาก็มิได้มายังจวนสกุลต้วนอีก
แม้จะไม่อาจด่วนสรุปได้ ว่าต้วนหงอวี้เป็หนึ่งในชายชุดดำ แต่ตอนนี้เขาก็น่าสงสัยที่สุด
พอนึกได้ว่าหนีเจียเอ๋อร์เรียกต้วนอวิ๋นหลานว่า ‘พี่ใหญ่’ โจวชิงหวาก็ขมวดคิ้ว หันไปพูดกับสือหวู่สองสามคำ ขณะทะยานไปยังจวนสกุลหนีด้วยความกังวล
เมื่อมาถึงจวนสกุลหนี ท้องฟ้ากลับแปรปรวน ฟ้าแลบแปลบปลาบ เสียงฟ้าร้องสนั่น จากนั้นสายฟ้าก็ฟาดลงมาอย่างไม่ขาดสาย ก่อนฝนจะกระหน่ำลงมาอย่างหนักจนชายคาแทบแตก
พอสือหวู่เห็นเ้านายทำท่าจะฝ่าสายฝนไปตัวเปล่า จึงนำร่มกระดาษที่พกมากางให้อีกฝ่าย โดยไม่สนว่าตัวเองจะต้องเปียกแทน “จะตากฝนไปจริงๆ หรือขอรับ?”
โจวชิงหวาหยิบร่มมา แล้วพูดอย่างขบขัน “ข้าไปเองได้ เ้ากลับไปเปลี่ยนชุดเถอะ”
ใบหน้าของสือหวู่เปื้อนยิ้ม เขาโค้งคำนับอย่างนอบน้อม และผละจากไปท่ามกลางสายฝน
พายุที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างฉับพลันนี้ ทำให้ฝนตกลงมาอย่างหนัก
เมื่อถึงลานหน้าเรือนของหนีเจียเอ๋อร์ ทั้งเสื้อผ้าและรองเท้าของโจวชิงหวาก็เปียกโชก ทั้งยังมีเศษดินที่กระเด็นเลอะเทอะเปรอะเปื้อน เสี่ยวเสวียนรู้ดีกว่าชายหนุ่มเป็คนรักความสะอาด จึงแนะนำให้เขาไปที่ห้องพัก เพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน
สายฝนสาดกระเซ็นเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ โจวชิงหวาจึงปิดมันลง และรอให้เสี่ยวเสวียนนำเสื้อผ้ามาให้
จากนั้นจึงไปพบหนีเจียเอ๋อร์ ที่กำลังเอนตัวอ่านตำราแพทย์อยู่บนเตียง ใบหน้าอ่อนหวานดูเปล่งปลั่ง ริมฝีปากแดงระเื่ดงาม
ดวงตาชายหนุ่มทอประกายวาววับ เขาเดินไปที่ขอบเตียง ก่อนนั่งลงอย่างเงียบๆ พลางหยิบตำราออกจากมือบางอย่างระมัดระวัง “อย่ามัวแต่ดูหนังสือ หันมามองข้าก่อน มีเื่สำคัญจะบอก”
โจวชิงหวาทอดเสียงเล็กน้อย ก่อนเงียบไป
ฉวยโอกาสอีกแล้ว!
หนีเจียเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น ตั้งท่าจะตอบโต้สักสองสามคำ แต่พอสบสายตาอันลึกล้ำ ประหนึ่งวังน้ำวนที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง หัวใจก็พลันสั่นไหว จึงหลบเลี่ยงสายตาคู่นั้นอย่างไม่รู้ตัว “อาการาเ็ของเ้ายังไม่หายดี เหตุใดไม่พักผ่อนอยู่ที่จวน มีอะไรส่งคนมาบอกข้าก็ได้ ไม่จำเป็ต้องมาด้วยตัวเอง”
“ไม่ต้องห่วง าแของข้ามิใช่เื่ใหญ่” ดวงตาเรียวรี ซึ่งมีขนตาดกหนาและยาวงอนคู่นั้น จับจ้องไปที่นาง “ถือเป็เื่เล็กมาก เมื่อเทียบกับเื่นี้”
หนีเจียเอ๋อร์หันไปมองโจวชิงหวา ที่เท้าศอก พลางใช้มือรองศีรษะตัวเองไว้
สายตาของเขาชำเลืองไปยังร่างบอบบาง ด้วยสรีระของสตรีเป็เื่ที่ละเอียดอ่อน ไม่ควรปล่อยให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่าน เขาจึงหยิบเสื้อสีอ่อนมาคลุมให้นาง และพูดเข้าประเด็นทันที
“คนของข้าเห็นชายผู้หนึ่ง ซึ่งมีาแไฟไหม้ที่ข้อมือในโรงเตี๊ยม พวกเขาจึงติดตามคนผู้นั้นไป เพราะคาดว่าจะเป็ผู้ต้องสงสัย แต่แล้วคนผู้นั้นกลับเข้าไปในจวนของต้วนอวิ๋นหลาน”
หนีเจียเอ๋อร์ครุ่นคิด หลุบสายตาลง แล้วมองไปที่เขาอีกครั้ง “ท่านพี่ของข้าเพิ่งกลับไปเมื่อครู่ ก่อนที่เ้าจะมานี่เอง เขามาจากจวนแม่ทัพต้วน และบอกว่าท่านแม่ทัพดูไม่ใคร่จะกระตือรือร้นในเื่ชายชุดดำนัก แต่ทุกคนก็รู้ว่าเขาเป็คนซื่อสัตย์ มีนิสัยไม่เห็นแก่ตัว ต่างจากขุนนางผู้อื่นในราชสำนัก”
หยุดไปครู่หนึ่ง หญิงสาวก็ถามอย่างระมัดระวัง “เป็ไปได้หรือไม่ ว่าคนของเ้าจะเข้าใจผิด?”
เมื่อได้ฟังความคิดที่นางมีต่อต้วนอวิ๋นหลาน โจวชิงหวาก็ค่อนข้างผิดหวัง เขาจึงผุดลุกขึ้น เดินไปพิงหน้าต่างเงียบๆ
เสียงฝนจากนอกหน้าต่าง คล้ายจะเงียบไปแล้ว ชายหนุ่มผลักหน้าต่างออก ปล่อยให้สายลมอ่อนๆ อันสดชื่นหลังฝนซา พัดพาเส้นผมให้ปลิวไสว
ไม่นาน ก็หันมามองหญิงสาว ก่อนถามด้วยสายตาซับซ้อน “เสี่ยวเอ๋อร์ เ้าไม่เชื่อข้าหรือ?”
เสียงนั้นยังคงนุ่มนวลชวนฟัง ทว่าสิ่งที่เขาถาม กลับกดดันอย่างหนักหน่วง หนีเจียเอ๋อร์กัดริมฝีปาก หลุบสายตาลงและกระซิบตอบ “ที่ข้าไม่เชื่อเ้า เพราะครั้งนี้ เ้าอาจจะตัดสินท่านแม่ทัพต้วนด้วยความรู้สึกอคติ มิใช่ข้อเท็จจริงก็เป็ได้”
อคติ?
เป็เื่จริง ที่โจวชิงหวามีอคติกับแม่ทัพต้วน ทั้งยังแสดงออกอย่างชัดเจน ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์อย่างแน่ชัด เขาคงไม่อาจโต้แย้งในเื่นี้ได้
ชายหนุ่มรู้ดีว่าไม่อาจตำหนินาง ที่ไม่ไว้วางใจตน แต่ความไม่พอใจก็ยังคงเปี่ยมล้นอยู่ในอกมิรู้คลาย จนอยากจะประกาศให้นางได้รับรู้ ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มอย่างประชดประชัน ก่อนจะหันไปมองสายฝน ที่ตกลงมากระทบใบไม้นอกหน้าต่างเสียจนเปียกชุ่ม
ความเงียบของเขา ทำให้บรรยากาศเยือกเย็นลง
หนีเจียเอ๋อร์ถึงกับสะดุ้ง เพราะเสียงของเสี่ยวเสวียนที่ดังมาจากด้านนอก
“บ่าวขอคารวะท่านแม่ทัพต้วน”
ทั้งหนีเจียเอ๋อร์และโจวชิงหวาพากันประหลาดใจ แต่สีหน้าของทั้งสองกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง
โจวชิงหวาช่วยพยุงหญิงสาวให้ลุกขึ้นจากเตียง ซึ่งหนีเจียเอ๋อร์ก็มิได้ขัดขืน และให้ความร่วมมือเป็อย่างดี
ต้วนอวิ๋นหลานไม่รู้สึกแปลกใจ ที่เห็นโจวชิงหวาออกมาจากห้องนอนของหญิงสาว เขาก้าวเข้ามายิ้มทักทาย “พี่ชิงหวาก็อยู่ด้วยหรือ?”
ชายหนุ่มปล่อยแขนหนีเจียเอ๋อร์ พลางกล่าวเบาๆ “ดูสิเสี่ยวเอ๋อร์ ท่านแม่ทัพต้วนมีเื่จะคุยกับเ้า ทั้งๆ ที่เจียเฮ่อเพิ่งจะกลับไป แล้วเหตุใดเขาถึงมาพบเ้าอีกเล่า?”
หนีเจียเอ๋อร์กระตุกแขนเสื้อโจวชิงหวาเบาๆ เป็เชิงห้ามปราม แล้วหันไปพูดกับต้วนอวิ๋นหลาน พร้อมรอยยิ้มอันสดใส “พี่ใหญ่ นั่งลงเถอะ เสี่ยวเสวียนช่วยชงชามาที”
“ถูกต้อง! เจียเฮ่อเพิ่งจะกลับมาจากจวนของข้า แต่พอดีว่าข้าได้รับรายงานจากลูกน้อง เลยต้องมาทำธุระด่วน ระหว่างทางกลับได้ผ่านจวนสกุลหนี จึงถือโอกาสมาแวะเยี่ยมน้องสาวเป็การส่วนตัวก็เท่านั้น” จ้วนอวิ๋นหลานนั่งลงอย่างสบายใจ
โจวชิงหวาที่อยู่ถัดไปมีสีหน้าราบเรียบ นั่งนิ่งดั่งรูปสลัก ในท่วงท่าหลังตรงนิ้วมือสอดประสาน
ความเงียบของเขา ถือเป็การแสดงความเมินเฉยต่อต้วนอวิ๋นหลาน ซึ่งกำลังนั่งอารมณ์ดีอยู่ข้างๆ
เห็นได้ชัด ว่ามิใช่เพียงสตรีเท่านั้นที่กลัวการเปรียบเทียบ แต่บุรุษก็เช่นกัน... หนีเจียเอ๋อร์ยกยิ้มมุมปากโดยไม่รู้ตัว
เมื่อนึกถึงคำพูดของโจวชิงหวา นางก็เริ่มหนักใจ มีเหตุผลใด ที่ทำให้ต้วนอวิ๋นหลานคิดจะทำร้ายนาง?
ในฐานะน้องชายของฮองเฮา และแม่ทัพซึ่งอายุน้อยที่สุดในแคว้นฉีหลาน จะอยากเห็นนางตายด้วยเหตุผลอันใด? หรือเพราะเกะกะสายตา?
เมื่อคิดเช่นนั้น หนีเจียเอ๋อร์ก็บอกไปตามตรง “พี่ใหญ่ ลูกน้องของชิงหวา บังเอิญเห็นชายผู้หนึ่งซึ่งมีแผลไฟไหม้ที่ข้อมือในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง พวกเขาสงสัย จึงลอบติดตามคนผู้นั้นไปอย่างเงียบๆ และพบว่าเขาเข้าไปในจวนของท่าน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้