เฟิ่งอวี่ที่อยู่บนหลังม้าพลันตกตะลึง หลิ่วอวิ๋นเฟิงกระอักกระอ่วนเป็ที่สุด “อวิ๋นฮว๋า ท่านผู้นี้คือคุณชายใหญ่แห่งจวนชางติ้งโหว”
อะไรนะ? เหลยซื่ออ้าปากค้างด้วยความใ ส่วนหลิ่วอวิ๋นฮว๋าพลันแข็งค้าง บุรุษรูปงามผู้นี้ไม่ใช่องค์รัชทายาทเหรือ? ทันใดนั้นใบหน้าของนางพลันแดงก่ำ รอยยิ้มก็แข็งทื่อ แทบอยากจะมุดแผ่นดินหนี “...เป็ คุณชายใหญ่?”
ตอนนี้ทั้งสองไม่มีเวลามาสนใจความอึดอัดของสตรีผู้นี้แล้ว “ท่านแม่ขอรับ เห็นองค์รัชทายาทหรือไม่?”
“พระองค์ไม่ได้อยู่กับลูกหรือ?” เหลยซื่อแอบรู้สึกไม่ดีอยู่ในใจ นางเพิ่งจะพบว่าบนร่างของหลิ่วอวิ๋นเฟิงและเฟิ่งอวี่เต็มไปด้วยรอยเื “เกิดเื่อะไรขึ้น?!”
“องค์รัชทายาทถูกหมีน้ำตาลทำร้ายจนาเ็ น้องสี่ของข้าพาพระองค์ออกมาก่อนแล้วขอรับ” เฟิ่งอวี่อธิบาย เขามองไปยังกระโจมที่ถูกเปิดค้างไว้ ด้านในมีของระเกะระกะ ดูท่าทางน้องสี่จะหายาไม่เจอ จึงพาองค์รัชทายาทไปที่อื่นแล้ว
“คุณชายสี่คงจะพารัชทายาทไปที่วัดเทียนฝูแล้ว!” หลิ่วอวิ๋นเฟิ่งสะบัดแส้ เขาเองก็ไม่มีเวลามาสนใจสองมารดาและน้องสาวแล้ว พริบตาก็หายไปจากสายตาของพวกนางพร้อมเฟิ่งอวี่
“ทะ ท่านแม่เ้าคะ จะทำเช่นไรดี...” ใจของหลิ่วอวิ๋นฮว๋าทั้งอับอายทั้งร้อนรน นางถึงกับมองคุณชายใหญ่ของชางติ้งโหวเป็รัชทายาท! ทั้งยังคารวะไปด้วยท่าทางลึกซึ้งครั้งหนึ่ง! ถ้าเื่นี้ถูกแพร่ออกไปไม่เพียงแต่จะมีความผิดโทษฐานเสียมารยาท ยังจะต้องถูกผู้คนใต้หล้าหัวเราะเยาะอีกด้วย!
ั์ตาทั้งสองของเหลยซื่ออ่อนลง ใช้มือคว้ากิ่งไม้ข้างๆ พยุงตัว รัชทายาทได้รับาเ็ ได้รับาเ็เสียแล้ว! นี่จะทำเช่นไรดี?! “อวิ๋นฮว๋า เร็วเข้า พวกเราต้องรีบกลับไป!”
เฟิ่งหลิงที่รออยู่ข้างป่าเห็นม้าสองตัวบึ่งทะยานมาด้วยความรวดเร็ว ก็ปรากฏความยินดีบนใบหน้า “พี่ใหญ่!”
“หลิงเอ๋อร์ เหตุใดเ้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
“พี่ใหญ่ รัชทายาทได้รับาเ็! ตอนนี้พี่ซูกำลังรักษาพระองค์อยู่เ้าค่ะ!”
พี่ซูคือผู้ใดกัน?
ดรุณีน้อยตรงหน้าพาบุรุษทั้งสองเข้าไปในเรือน เมื่อหลิ่วอวิ๋นเฟิงเห็นฮูหยินผู้เฒ่า ความสงสัยในใจก็ยิ่งทบทวี หรือว่าในจวนจะมีสาวใช้ที่รู้วิชาแพทย์อยู่?
“ท่านย่า!”
“ฮูหยินผู้เฒ่า!” เฟิ่งอวี่คารวะฮูหยินผู้เฒ่าจวนชางหรงโหวด้วยความเคารพ
“เฟิงเอ๋อร์ อวิ๋นซูกำลังรักษาแผลให้องค์รัชทายาทอยู่ในห้อง!” ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าไม่น่ามองยิ่งนัก นางมองปราดเดียวก็ทราบว่าชายหนุ่มผู้นี้คือหลานชายของตนเอง หลิ่วอวิ๋นเฟิงประหลาดใจ อวิ๋นซู? ชื่อนี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก หรือจะเป็น้องหกที่จวนเพิ่งจะรับกลับมาจากบ้านของหมอในชนบทผู้นั้น?!
เฟิ่งอวี่เดินเข้าไปในห้องก่อนแล้ว กำลังมองดูอวิ๋นซูเก็บเข็มเงินในมือ
สตรีนางนั้นเช็ดหยาดเหงื่อบนหน้าผาก ใบหน้าดูอิดโรยอยู่หลายส่วน “ปากแผลถูกเย็บเรียบร้อยแล้ว ข้าจะรีบไปจัดเตรียมสมุนไพรเ้าค่ะ”
“รัชทายาทจะทรงฟื้นยามใด?!”
“นี่ต้องดูพระวรกายของพระองค์ หากคืนนี้มีไข้สูง ก็จำเป็ต้องดูแลอย่างระมัดระวัง รอให้หายไข้ก็จะตื่นขึ้นมาเองเ้าค่ะ”
อวิ๋นซูกล่าวจบก็ลุกขึ้นยืน แต่ขากลับอ่อนแรงอย่างไม่คาดคิด เฟิ่งอวี่ที่มีสายตาเฉียบแหลมทั้งยังมือเท้าว่องไวจึงเข้าประคองแขนนางไว้ คิ้วคมอดไม่ได้ที่จะขมวดแน่น เป็สตรีที่บอบบางเหลือเกิน ผอมบางขนาดนี้ นางถึงกับช่วยองค์รัชทายาทจัดการาแเชียวหรือ “คุณหนู ท่านไม่เป็ไรใช่หรือไม่?”
สตรีเบื้องหน้าดึงแขนตนเองออกอย่างไม่เป็ธรรมชาตินัก ส่ายศีรษะเบาๆ “นั่งนานเกินไป ขาก็เลยชาเ้าค่ะ” นางยิ้มบาง ร่างกายนี้ยังคงอ่อนแอเกินไป นั่งเพียงครู่เดียวก็ไม่ไหวเสียแล้ว เมื่อก่อนตอนที่เซียวอี้เชินถูกธนูยิง ตนคอยดูแลเขาข้างกายไม่หลับไม่นอนถึงสามวันสามคืนก็ยังไม่อ่อนเพลียถึงเพียงนี้
ทุกคนล้อมวงกันเข้ามา เฟิ่งฉีมองาแที่ดูน่ากลัวนั้นชั่วครู่ แล้วจึงมองไปยังสตรีที่เดินโอนเอนออกไป “คุณหนูหก ข้าช่วยเ้าเอง!”
าแบนแขนของรัชทายาทสามารถมองเห็นรอยไหมได้อยางชัดเจน แม้จะดูน่ากลัว แต่ก็เย็บได้อย่างประณีตยิ่ง ทว่ายังคงมีเืไหลซึมออกมาเล็กน้อย
ผ่านไปไม่นาน เหลยซื่อพาหลิ่วอวิ๋นฮว๋าที่มีใบหน้าท่าทางอึดอัดมาปรากฏตัวหน้าประตู “องค์รัชทายาท?!”
เมื่อเห็นว่าทุกคนไปล้อมกันอยู่ตรงนั้น สองแม่ลูกก็ตามเข้าไป บนเตียงมีบุรุษรูปงามใบหน้าซีดขาวผู้หนึ่งนอนอยู่ าแบนแขนที่ดูน่ากลัวทำให้หลิ่วอวิ๋นฮว๋ารู้สึกมวนท้อง นางปิดปากหันหน้าหนีอย่างไม่อาจทนมองได้
ยามนี้เหลยซื่อมองนางอย่างเข้มงวดปราดหนึ่ง เหตุใดจึงได้เสียมารยาทกับองค์รัชทายาทต่อหน้าทุกคนเช่นนี้
“ยามาแล้ว!” เฟิ่งฉีถือยาข้นเหนียวที่เพิ่งจะกวนเสร็จวิ่งเข้ามา เหลยซื่อมองไปเห็นอวิ๋นซูเดินตามเข้ามา แววตาพลันมืดครึ้ม ไม่ควรเป็เช่นนี้ เป็นังเด็กนี่ที่ช่วยรักษารัชทายาทเช่นนั้นหรือ?!
เป็จริงดังคาด เฟิ่งฉีมองยาในมือของตน แล้วยื่นไปเบื้องหน้าของอวิ๋นซู “คุณหนูหก ให้เ้าจัดการดีกว่า”
“น้องสี่ คุณหนูหกเหนื่อยมากแล้ว!” เฟิ่งอวี่ตำหนิ
“แต่พวกเราไม่มีใครรู้วิชาแพทย์เลยนะขอรับ หากทำอะไรไม่ดีแล้วทำให้แผลของรัชทายาทแย่ลงเล่า” การพิจารณาของเฟิ่งฉีนับว่ามีเหตุผล
อวิ๋นซูยิ้มบาง “ส่วนที่ยากที่สุดผ่านไปแล้วเ้าค่ะ ขอเพียงนำยาข้นนี้โปะไว้บนแผลแล้วพันผ้าเอาไว้ก็เรียบร้อยแล้ว อีกอย่าง การเฝ้าดูแลในหลายวันนี้ คงต้องรบกวนคุณชายทั้งหลายแล้วเ้าค่ะ” จะอย่างไรหญิงชายก็ยังคงแตกต่างกัน
ทันใดนั้น เหลยซื่อได้แย่งชิงหม้อยาในมือของเฟิ่งฉีมา การกระทำนี้ทำให้ทุกคนใ การแสดงออกของนางออกจะหยาบคายอยู่หลายส่วน
เหตุใดจึงได้เป็ลูกอนุภรรยาผู้นี้อีกแล้ว?! ในใจของเหลยซื่อโกรธแค้นจนอดรนทนไม่ไหว กอดหม้อยาในมือไว้แน่น ไม่นานจึงพบว่าทุกคนกำลังใช้สายตาสงสัยมองมาที่นาง ใบหน้าของนางแข็งค้าง รีบเก็บอารมณ์ของตน
“อวิ๋นซูเหนื่อยมากแล้ว อวิ๋นฮว๋า เ้ามีความละเอียอ่อน มาช่วยทายาให้รัชทายาทเถิด” ใบหน้าของนางประดับไปด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน ส่งหม้อยาไปในมืออวิ๋นฮว๋าที่ตกตะลึงจนนิ่งไปแล้ว
“ท่านแม่...”
หลิ่วอวิ๋นฮว๋าเบนสายตาขึ้น เห็นแววตาอันแหลมคมของเหลยซื่อเข้าพอดี พริบตานั้นนางพลันเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงก้มหน้าลงกวนยาข้นหนืดด้วยท่าทางเหมาะสม นั่งลงไปยังขอบเตียง แล้วจึงทายาลงบนแผลอย่างระมัดระวัง มีเพียง์เท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้นางพยายามอดกลั้นความคลื่นไส้ในกระเพาะอย่างยากลำบากเพียงใด าแนี่ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว!
หลิ่วอวิ๋นฮว๋าที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมาั้แ่เด็กไม่เคยพบเจอภาพเช่นนี้มาก่อน ทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามือที่จับช้อนอยู่นั้นกำลังสั่นระริก อดไม่ได้ที่จะรู้สึกจนใจ เห็นได้ชัดว่ากลัวจนกลายเป็เช่นนี้ไปแล้ว...
“...” เฟิ่งอวี่และเฟิ่งฉีสบตากัน ในใจทั้งสองราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง ส่วนหลิ่วอวิ๋นเฟิงนั้นกลับกังวลใจ น้องสาวร่วมมารดาของตนจะดูแลรัชทายาทได้ดีหรือไม่ แม้าแจะถูกเย็บดีแล้ว แต่การดูแลก็สำคัญมาก หรือท่านแม่จะให้แม่นางที่ไม่เคยออกจากห้องนางหนึ่งดูแลรัชทายาทสักหลายวันกัน? หากเื่แพร่ออกไป คงฟังดูไม่ดีแน่
อวิ๋นซูย่อมรู้ดีว่าเหลยซื่อกำลังคิดอะไรอยู่ ในที่สุดก็เข้าใจกระจ่างว่าเหตุใดพวกนาง้ามาที่วัดเทียนฝู เกรงว่าพวกนางจะทราบว่าคุณชายใหญ่และรัชทายาทกลับมาด้วยกัน จึงอยากสร้างโอกาสให้บุตสาวกระมัง? ดูหลิ่วอวิ๋นฮว๋าที่วันนี้แต่งกายแปลกไปก็รู้เจตนาของสองแม่ลูกคู่นี้แล้ว
แต่นี่เกี่ยวอะไรกับนางเล่า?
นางหันกายจากไป เฟิ่งฉีเห็นสตรีที่เดินออกไปอย่างสงบก็ตามออกไป
เฟิ่งหลิงที่ยืนอยู่ตรงประตูไม่กล้าเข้าไป หลังจากได้ฟังเื่ราวก็โกรธจนกระทืบเท้า “เป็พี่ซูที่ช่วยรักษารัชทายาทไว้ชัดๆ หลิ่วอวิ๋นฮว๋าจะไปประสมโรงด้วยทำไม นี่มันแย่งชิงความดีความชอบมิใช่หรือ หน้าไม่อาย!”
“หลิงเอ๋อร์!” เฟิ่งฉีดุ แม้ว่าเขาจะไม่ชอบหลิ่วอวิ๋นฮว๋าผู้นั้นเช่นเดียวกัน ทั้งน้องเจ็ดของตนเองก็ใจเร็วปากไว แต่อย่างไรก็ไม่อาจพูดจาไม่เข้าหูได้ หากท่านพ่อท่านแม่มาได้ยินเข้าคงแย่แน่
“ฮึ! ไป พี่ซู พวกเราไปหาพี่สามกันเถิด!”
ทว่าเบื้องหน้ากลับปรากฏเงาร่างที่คุ้นเคยขึ้น บุรุษรูปงามเป็เอกใบหน้าเต็มไปด้วยความร้อนรน หลังจากเห็นคนทั้งสามเดินเข้ามา สายตาพลันเปล่งประกายอย่างมีหวัง
“คุณหนูหก ท่านย่าของข้าหมดสติไปแล้ว เชิญคุณหนูหกไปดูเสียหน่อยได้หรือไม่?”
“อะไรนะ! ท่านย่าหมดสติไปแล้ว?!”
เฟิ่งหลิงกับเฟิ่งฉีใอย่างยิ่งยวด
ภายในห้องอันเงียบสงบ อวิ๋นซูช่วยจับชีพจรฮูหยินผู้เฒ่าของชางติ้งโหว จากนั้นจึงห่มผ้าให้นาง หยิบขวดกระเบื้องเล็กๆ ขวดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วจ่อตรงจมูกของฮูหยินผู้เฒ่า วนเวียนไปมาอยู่หลายรอบ
กลิ่นที่ช่วยกระตุ้นสมองถูกสูดเข้าไปในจมูก ได้ยินเสียงหายใจหนักๆ หน้าอกของฮูหยินผู้เฒ่ากระเพื่อมขึ้นลงจากนั้นจึงฟื้นคืนสติ
“ท่านย่า!” คนทั้งสามรีบกรูเข้ามา ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงสับสนอยู่บ้าง
“คุณหนูหก ท่านย่าของข้า...”
อวิ๋นซูยืนขึ้นช้าๆ “ร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่าไม่ค่อยแข็งแรงนัก เพียงแค่อากาศที่นี่หนาวเย็น จึงเป็หวัดเล็กน้อย อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ฮูหยินผู้เฒ่าได้นั่งเป็เวลานาน แล้วลุกขึ้นฉับพลันหรือไม่?”
เฟิ่งหลิงนึกทบทวน “อืม ท่านย่าเห็นม้าของพี่ใหญ่วิ่งกลับมา จึงรีบลุกขึ้น”
เฟิ่งฉีเพิ่งจะสังเกตว่า ม้าของเฟิ่งอวี่กำลังกินหญ้าอยู่นอกเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ส่วนกลับมายามใดนั้น เขาเองก็ไม่ทราบ
“เป็เพราะฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนแปลงท่าทางทำให้เืไปเลี้ยงสมองไม่พอ”
คำพูดของอวิ๋นซูทำให้ทั้งสามไม่เข้าใจ นางอธิบายอย่างอดทนว่า “ฮูหยินผู้เฒ่านั่งนานเกินไป หากลุกขึ้นอย่างฉับพลัน เืจะไม่สามารถส่งไปยังสมองได้ในทันที ทำให้เกิดการวิงเวียนศีรษะ วันหน้าต้องดูแลให้ดี คอยเตือนฮูหยินผู้เฒ่าให้เดินช้าๆ อย่าเคลื่อนไหวอย่างรีบร้อนเกินไปนัก ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้ จะช่วยให้ร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่าอบอุ่นขึ้น”
ในที่สุดทั้งสามก็เข้าใจความหมายของนางแล้ว ความเลื่อมใสที่มีต่อหลิ่วอวิ๋นซูก็ยิ่งลึกล้ำขึ้นอีกหลายส่วน
“คุณหนูหก สีหน้าของเ้าไม่ค่อยดีนัก?” เฟิ่งหลิงเห็นว่าใบหน้าของอวิ๋นซูค่อนข้างขาวซีด จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างกังวล
“ไม่ร้ายแรงเ้าค่ะ หากคุณชายสี่เต็มใจ อีกสักครู่ช่วยไปหยิบสมุนไพรในเรือนกับข้าเถิด สองวันมานี้เก็บสมุนไพรบนเขาได้ไม่น้อยเลยเ้าค่ะ”
ตอนนี้เองสายตาของคุณหนูเจ็ดเฟิ่งหลิงที่มองไปยังอวิ๋นซูเต็มไปด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้า “พี่สาม ท่านไม่รู้อะไร เมื่อครู่นี้พี่ซูช่วยรักษารัชทายาทด้วยเ้าค่ะ! เก่งกาจที่สุดเลย! นั่งอยู่ที่นั่นตั้งหนึ่งชั่วยามเลยเ้าค่ะ!”
รัชทายาทได้รับาเ็หรือ? เฟิ่งหลิงขมวดคิ้ว มองไปยังสีหน้าของเฟิ่งฉียามนี้ก็รู้ว่าสถานการณ์ร้ายแรงยิ่งนัก เช่นนั้นคุณหนูหกรักษารัชทายาทเสร็จก็ถูกตนพามาหาท่านย่าที่นี่หรือ? ในใจของเขารู้สึกผิดอย่างยิ่ง “คุณหนูหก...”
อวิ๋นซูคล้ายกับรู้ว่าเขา้าจะกล่าวอะไร จึงแย้มยิ้มบางเบา “ก่อนหน้านี้คุณชายสามช่วยข้าไว้ในป่าเ้าค่ะ” ความหมายของนางคือมีบุญคุณต้องทดแทน ไม่จำเป็ต้องรู้สึกผิด “อวิ๋นซูขอตัวกลับไปเตรียมยาก่อนเ้าค่ะ” กล่าวจบก็ยืนขึ้น เฟิ่งฉีจึงรีบตามนางไป
เฟิ่งหลิงเหม่อมองเงาร่างที่ห่างออกไปนั้นอยู่นาน คุณหนูเจ็ดแอบแย้มยิ้ม ดูท่าแล้วพี่ซูจะต้องเป็พี่สะใภ้สามของตนในไม่ช้าอย่างแน่นอน!