หนีเจียเอ๋อร์ไม่ชอบความคลุมเครือแบบนี้ จึงเงยหน้าขึ้นถามอย่างตรงไปตรงมา “บอกข้ามาสิ ว่าเหตุใดเ้าถึงโกรธ?”
“พอมีอาจารย์ เ้าก็ลืมข้าไปเลยนะ เช่นนี้แล้ว ข้าควรจะเสียใจหรือไม่?” โจวชิงหวาพูด
ความหึงหวงในน้ำเสียงนั้น ชัดเจนเสียยิ่งกว่าอะไร!
หนีเจียเอ๋อร์ยังคงไม่เข้าใจ “อาจารย์สอนวิชาแพทย์ให้ข้า จะให้ข้าไม่สนใจ เอาแต่มาคุยเล่นกับเ้าได้อย่างไร? ในฐานะพี่ชายของข้า เ้าไม่รู้สึกโล่งใจหรอกหรือ? ที่เห็นน้องสาวคนนี้มุมานะบากบั่นร่ำเรียนกับเขาบ้าง จะกินน้ำส้มสายชู[1]มากเกินไปแล้ว!”
พอเห็นว่านางมิได้เข้าใจความหมาย ที่ตน้าจะสื่อแม้แต่น้อย หัวใจของโจวชิงหวาก็หดหู่มากขึ้นเรื่อยๆ
หนีเจียเอ๋อร์มองไม่เห็นสีหน้าของเขา ย่อมมิได้คิดอะไรมากนัก ด้วยคิดว่าหากมีสิ่งใด อีกฝ่ายคงจะพูดเอง นางจึงหันไปสอบถามความเป็ไปของคนที่บ้านแทน
โจวชิงหวากล่าวว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี จวนสกุลหนีสงบสุข เมื่อเว่ยอี๋เหนียงและหนีเจียเฮ่อได้ข่าวว่านางปลอดภัยดี ก็พากันคลายกังวล
สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือ การลงจากเขาในครั้งนี้ โจวชิงหวาส่งคนมากมายออกไปเสาะหาหมอที่มีชื่อเสียง ทั้งยังทุ่มเทเงินทองให้กับหอสืบข่าวไม่น้อย แต่ก็ยังคงไร้วี่แวว
แต่เขาไม่คิดจะยอมแพ้ มันต้องมีใครสักคนที่สามารถรักษาดวงตาให้นางได้
หลังสนทนาสัพเพเหระเกี่ยวกับที่บ้าน นางก็ถามถึงข่าวคราวของเว่ยฉีหราน ต้วนอวิ๋นหลาน ฮองเฮา และองค์รัชทายาทน้อย
โจวชิงหวาจึงเล่าอย่างยินดี บอกว่าเว่ยฉีหรานเลิกระรานพวกตนแล้ว คราวนี้ เขาสามารถกลับไปได้อย่างปลอดภัย ทั้งยังนำ ‘หลักฐาน’ ที่อยู่ในสำนักฝูเซิงออกมาได้ และเว่ยฉีหรานจะไม่ทำให้คนทั้งสองต้องเดือดร้อนอีก
ชายหนุ่มได้เดินทางย้อนกลับไปยังเมืองจี้ เพื่อขอบคุณเหมยอี่เหลียนที่ช่วยชีวิตเขาเป็การส่วนตัว และส่งหีบทองคำไปให้นาง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับไว้ ด้วยไม่้าสิ่งตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น
ต่อมา โจวชิงหวาจึงให้คนแอบส่งสมุนไพรล้ำค่า และผ้าแพรราคาแพงหลายทบไปให้ เพราะเหมยอี่เหลียนตามหาตัวเ้าของไม่เจอ จึงจำใจต้องรับมันเอาไว้
ทันทีทีที่เขาไปถึงเมืองหลวง ชายหนุ่มก็ส่งคนไปช่วยดูแลแม่ของอิ๋งเซียง ขณะเดียวกัน ก็คอยหาข่าวเื่หมอที่จะมารักษาตาของหนีเจียเอ๋อร์ไปด้วย
หลังจากพูดคุยมาถึงเื่นี้ ทั้งสองก็เงียบไป...
แล้วหนีเจียเอ๋อร์ก็กล่าวว่า ถึงเวลาที่นางจะไปเยี่ยมควงเหยากับลู่ซีแล้ว
ใบหน้าของโจวชิงหวามืดครึ้มอีกครั้ง ด้วยไม่ชอบใจที่นางต้องอยู่ห้องเดียวกันกับควงเยวี่ยโหลว จึงอ้างว่าควงเหยาเป็หนึ่งในผู้มีพระคุณของตน เขาจึงอาสาจะเฝ้าไข้อีกฝ่ายในคืนนี้
พวกเขาเดินออกจากห้องไปด้วยกัน หลังจากออกมาแล้ว ก็เปลี่ยนทิศทางไปด้านซ้าย เดินตรงไปยังห้องโอสถ
แต่ระหว่างทางที่เดินไปนั้น จู่ๆ หญิงสาวก็ชนเข้ากับแผ่นอกของใครคนหนึ่ง ที่กำลังวิ่งสวนมาด้วยความร้อนรน จนโจวชิงหวาต้องคว้าตัวนางหลบ แล้วคว้าแขนของคนผู้นั้นเอาไว้ “ควงเหยา เ้ายังไม่หายดีเลย จะรีบไปไหน?”
ควงเหยาจึงตอบ “ข้าสบายดี ไม่ต้องเป็ห่วง!”
พอได้ยินเสียงฝีเท้าผละจากไปอย่างร้อนรนเช่นนั้น หนีเจียเอ๋อร์ก็ขมวดคิ้ว “ชิงหวา ข้าคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ เ้าลองตามเขาไป ดีหรือไม่?”
“แล้วเ้าจะไปห้องโอสถคนเดียวได้หรือ?” โจวชิงหวาพูดเสียงกังวล
หนีเจียเอ๋อร์ผลักเขาเบาๆ เป็การกระตุ้น “ไม่ต้องวิตกด้วยเื่ของข้า รีบไปเถอะ!”
เมื่อเห็นว่าควงเหยากำลังจะลับสายตาไป โจวชิงหวาก็เกรงว่าหากรีรอต่อ คงจะตามเขาไม่ทัน ชายหนุ่มจึงพยักหน้า “เช่นนั้นก็ระวังตัวด้วย อย่าวิ่งเพ่นพ่าน ค่อยๆ เดินล่ะ!”
อาการาเ็ของควงเหยายังไม่หายดี แต่ยังคงใช้วิชาตัวเบาได้อย่างรวดเร็ว เขาพุ่งไปยังูเาหิมะอย่างไม่สนใจใคร โจวชิงหวาจึงฉวยโอกาส ดึงตัวชายหนุ่มลงมาจากกลางเวหา
โจวชิงหวาคว้าแขนอีกฝ่ายแน่น พลางเอ่ยถาม “ควงเหยา นี่ก็ใกล้จะมืดแล้ว เ้ามาทำอะไรทีู่เาหรือ?”
ควงเหยาเปลี่ยนสีหน้า ท่าทีเช่นคุณชายผู้อ่อนโยนประดุจหยก กลายเป็คนก้าวร้าว พูดจาโผงผางไม่เกรงใจใคร “ไสหัวไป!”
จากนั้นก็โจมตี แล้วฉวยโอกาสทะยานจากไป
แต่ไม่นาน ร่างของชายหนุ่มพลันสั่นสะท้าน ทำท่าซวนเซจนเกือบจะล้ม หากไม่ได้โจวชิงหวาเข้ามาช่วยประคองเอาไว้ก่อน
ต่อมาอาการของชายหนุ่มก็ยิ่งแย่ลง ผ้าพันแผลสีขาวย้อมไปด้วยโลหิตสีแดง แต่ยังคงฝืนโจมตี จนกระทั่งหมดแรง ล้มทรุดลงไปกองกับหิมะ เขาข่มความเ็ปแล้วเริ่มออกเดิน แต่ไปได้แค่ไม่กี่ก้าว ร่างกายก็ส่อเค้าว่ารับไม่ไหว
โจวชิงหวาที่อยู่ไม่ไกล ปรากฏตัวขึ้นโดยมิได้พูดอันใด เพียงยกแขนควงเหยามาพาดไหล่ตัวเอง พลางประคองให้เดินไปข้างหน้า
ควงเหยานิ่งไป จากนั้น คนทั้งสองก็ค่อยๆ ก้าวเดิน
ยามนี้ พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว โชคดีทีู่เาหิมะแห่งนี้ยังคงมีแสงสะท้อนจากหิมะ จึงพอจะมองเห็นอะไรได้บ้าง เมื่อเดินมาถึงบริเวณที่ถูกโจมตีใน่กลางวัน ควงเหยาก็ดึงแขนของตัวเองออกจากไหล่ของโจวชิงหวา แล้วก้มลงควานหาบางสิ่งบนพื้นหิมะ
โจวชิงหวาก้าวออกไป พร้อมเอ่ยปากอาสา “เ้ากำลังหาอะไร ข้าจะช่วยเอง”
ควงเหยาทรุดตัวลง พลางตอบโดยมิได้เงยหน้าขึ้นมามอง “เชือกถักสีแดง”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงอันร้อนรน โจวชิงหวาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบลงมือช่วยหาทันที
คนทั้งสองพยายามค้นหาไปทั่วูเาหิมะในบริเวณนี้ แต่ก็ไม่เจอ
ควงเหยานั่งพังพาบ คอตกด้วยความสิ้นหวัง คงหาเจอมิได้ง่ายๆ แน่ ชายหนุ่มจึงบอกโจวชิงหวา แต่ก็คล้ายจะเอ่ยกับตัวเองเสียมากกว่า “ข้าช่างไร้ประโยชน์นัก! สิ่งสำคัญที่สุดของนาง ก็ยังรักษาเอาไว้มิได้”
ท่ามกลางทุ่งหิมะที่เปลี่ยวร้างและหนาวเหน็บแห่งนี้ น้ำเสียงของเขาช่างหดหู่ ใบหน้าด้านข้างก็แลดูเคว้งคว้างยิ่งนัก
โจวชิงหวาตบไหล่อีกฝ่าย เป็เชิงปลอบโยน “อย่าเพิ่งตัดใจ เ้านั่งรออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปหาดูอีกที เผื่อจะเจอ”
ควงเหยามิได้เอ่ยปาก ทั้งยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาตอบสนองต่อคำพูดของเพื่อนร่วมทางอีกต่างหาก
โจวชิงหวากวาดตามองไปโดยรอบ โดยไม่ยอมแพ้ และท้ายที่สุด ก็สังเกตเห็นเชือกบางๆ สีแดง ซึ่งอยู่ถัดจากซากศพของปีศาจหิมะ
ชายหนุ่มรีบปรี่เข้าไปดู พบว่ามันถูกร่างของปีศาจหิมะทับเอาไว้จริงๆ แต่อากาศอันหนาวเหน็บของูเาหิมะ ทำให้ซากศพของเ้าปีศาจถูกแช่แข็ง จนยากที่นำเชือกออกมาได้ในทันที
เขาเข้าไปมองใกล้ๆ แล้วหยิบมันออกมา พลางพูดอย่างยินดี “ควงเหยา เจอแล้ว ใช่สิ่งนี้หรือไม่?”
ควงเหยาเงยหน้าขึ้น แล้วเอื้อมมือไปคว้ามาแนบไว้กับอกทันที ก่อนหลับตาลงด้วยความโล่งใจ
โจวชิงหวามองคนที่กอดสิ่งสำคัญเอาไว้ไม่ปล่อยอย่างพูดไม่ออก แล้วนั่งลง “ผู้ที่มอบให้สิ่งนี้ให้เ้า คงจะเป็คนที่เ้ารักมาก ใช่หรือไม่?”
ควงเหยาลืมตาขึ้น มองเชือกถักที่ถูกแช่แข็งซึ่งอยู่ในมือ
พอมองไปที่เชือกถัก พลันหวนนึกถึงใบหน้ายิ้มแย้มร่าเริงของสตรีผู้หนึ่ง ที่ะโเข้าใส่เขาอย่างเป็ธรรมชาติ นางเหมือนดั่งหิมะบริสุทธิ์ที่ไม่แปดเปื้อนสิ่งใด มีชีวิตอยู่อย่างบริสุทธิ์สดใส ดุจสีแดงชาดของเชือกถักเส้นนี้
หญิงสาวเป็คนที่ไม่เหมือนผู้ใดในโลกของเขา แต่เป็เพราะในยามนั้นเขาไม่รู้จักหวงแหน จนกระทั่งต้องเสียอีกฝ่ายไป ควงเหยาถึงตระหนักได้ว่า นางเป็คนสำคัญที่สุดในชีวิต!
ไม่นานนัก ชายหนุ่มก็ระงับอารมณ์ได้ เขาจึงตอบคำถามที่ติดค้างโจวชิงหวาเอาไว้ “ศิษย์น้องหญิงผู้หนึ่ง เป็คนมอบให้ข้า”
“อะไรนะ! ศิษย์น้องหญิงหรือ?” โจวชิงหวาเบิกตากว้าง เสียงที่โพล่งขึ้นด้วยความใ ดังไปทั่วูเาหิมะ
-----------------------------------------
[1] กินน้ำส้มสายชู (吃醋: ชือชู่) เป็ศัพท์สแลง แปลว่า หึงหวง