ข้ามมิติลิขิตรักนายตัวเบี้ย 【แปลจบแล้ว】

สารบัญ
ปรับตัวอักษร
ขนาดตัวอักษร
-
+
สีพื้นหลัง
A
A
A
A
A
รีเซ็ต
แชร์

        เช้าวันรุ่งขึ้น พวกหลิ่วเทียนฉีก็เตรียมตัวออกเดินทาง

        เฉียวรุ่ยเดินมาถึงนอกประตูใหญ่ของตระกูลหลิ่ว เขามองเห็นรถม้าหรูหราอยู่หน้าประตูจึงกะพริบตาปริบๆ หลายที ตกตะลึงจนไม่กล้าเชื่อทุกสิ่งที่ตนเห็นอยู่

        “เทียนฉี รถม้าคันนี้ช่างงดงามยิ่ง ดูหรูหรานักเชียว!” เฉียวรุ่ยดึงชายเสื้อของหลิ่วเทียนฉี เอ่ยขึ้นอย่างดีใจ

        “อืม นี่เป็๞รถหรูหราที่สุดของตระกูลหลิ่ว ที่ลากรถไม่ใช่อสูรอาชาขั้นสอง แต่เป็๞มฤคินสี่เขาขั้นสามเชียวนะ มฤคินสี่เขาน่ะ ไม่เพียงวิ่งเร็วกว่าอสูรอาชา แต่ความเร็วที่บินนั้นเร็วยิ่งกว่ามากนัก แม้จะวิ่งเร็วเท่าไร แต่มันก็วิ่งได้นิ่งมาก พวกเราที่อยู่ในรถก็เหมือนอยู่บ้าน กิน นอน ฝึกฝนได้ตามปกติไม่มีปัญหา!” หลิ่วเทียนฉีแนะนำให้เฉียวรุ่ยอย่างจริงจัง

        “มฤคินสี่เขางั้นหรือ?” เฉียวรุ่ยได้ยินชื่อนี้ก็เดินมาตรงหน้า ชื่นชมมฤคินสี่เขาทั้งสี่ตัวที่ถูกใช้ลากรถพักหนึ่ง

        มฤคินสี่เขาสี่ตัวนี้ ทั้งร่างล้วนเป็๞สีชมพูกุหลาบ เหนือหัวมีเขางอกอยู่สี่เขา กีบเท้าสีดำสนิท ขนบนตัวมันวาว ดูแล้วงดงามยิ่งนัก

        “มฤคินสี่เขาเหล่านี้สวยงามมาก!” เฉียวรุ่ยจ้องมองนิ่ง ชื่นชมด้วยสีหน้าสนใจ

        “ช่างบ้านนอกเสียจริง!” หลิ่วอู่เหล่ตามองเฉียวรุ่ยผู้โง่เขลาทีหนึ่ง เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดูแคลน

        “เสี่ยวอู่!” หลิ่วซือดึงแขนเสื้อน้องสาวเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายหยุดพูด

        “ข้า ข้าพูดความจริงนะ!” หลิ่วอู่เบ้ปาก บอกอย่างไม่ยินยอม

        “ออกจากบ้านเ๽้าต้องฟังคำพูดข้า นี่เป็๲สิ่งที่เ๽้ารับปากท่านแม่ไว้นะ!” หลิ่วซือดุต่อ

        “อื้อ ข้ารู้แล้วท่านพี่!” หลิ่วอู่ก้มศีรษะ ไม่กล้าส่งเสียงอีก

        ถูกหลิ่วอู่ว่าเช่นนี้ ใบหน้าเฉียวรุ่ยพลันแดงก่ำ “ใช่ ข้าเห็นเมืองมาไม่มากเท่าคุณหนูห้า ข้าเป็๲คนบ้านนอก แล้วอย่างไรเล่า? เ๽้าสู้ชนะข้างั้นหรือ? เ๽้ากล้าสู้กับข้าไหมล่ะ?”

        “เ๯้า...” หลิ่วอู่ได้ยินก็ถลึงตาใส่

        “เฮอะ!” เฉียวรุ่ยแค่นเสียงหยัน ถลึงตากลับอย่างไม่ยอมแพ้

        เห็นทั้งสองคนชักกระบี่ง้างศร หลิ่วซือก็รีบร้อนดึงหลิ่วอู่ไปหลังร่างตน

        “เสี่ยวรุ่ย เสี่ยวอู่อายุยังน้อย เ๽้าอย่าถือสานางเลยนะ!”

        “ชิ ข้าไม่ถือสาคนระดับฝึกปราณขั้นเจ็ดหรอก?” เฉียวรุ่ยเบ้ปาก พูดด้วยสีหน้าหยิ่งทะนง

        ยัยอัปลักษณ์หลิ่วอู่ตอนระดับเดียวกับเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้แล้ว หากตอนนี้ยังอยากทะเลาะกับเขาอีก คงกลายเป็๲ถูกซ้อมแทนกระมัง!

        “เ๯้า เ๯้า...”

        “พอได้แล้ว เสี่ยวรุ่ยพูดถูก พลังของเ๽้าสู้เสี่ยวรุ่ยไม่ได้จริงๆ ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือน เ๽้าฝึกฝนมากเข้าเถอะ! อย่าให้ถึงเวลาแล้วเ๽้าสอบเข้าวิทยาลัยเซิ่งตูไม่ได้เชียวล่ะ!”

        “อื้อ เข้าใจแล้วท่านพี่!” หลิ่วอู่พยักหน้า บึนปากตอบอย่างไม่พอใจ พลังของตนต่ำที่สุดในห้าคน ช่างทำร้ายจิตใจกันจริง!

        ไม่นานหลิ่วเหอกับหลิ่วซานก็เดินออกมา

        “ท่านพ่อ!”

        “ท่านอาสาม!”

        “ท่านอาหลิ่ว!”

        เห็นหลิ่วเหอเดินมา ทั้งสี่คนรีบร้อนก้มศีรษะต่ำคำนับ

        “มาพร้อมกันหมดแล้ว ทุกคนขึ้นรถเถอะ!” หลิ่วเหอพูดพลางขึ้นรถเป็๞คนแรก คนอื่นขึ้นตามลำดับ

        “ไป!” หลังขึ้นรถกันหมดทุกคน คนขับรถก็ขับวิ่งตรงไปทางประตูเมืองทิศใต้

        ในรถเหมือนที่เฉียวรุ่ยคิดไว้ หรูหราโอ่อ่า หกคนนั่งอยู่ในรถม้าพร้อมกันไม่รู้สึกคับแคบสักนิด

        หลิ่วเทียนฉีเอาโต๊ะตัวหนึ่งออกมาจากในแหวนมิติ แล้วหยิบเตาถ่านน้อยกับกาน้ำ รวมถึงถ้วยชากับกาน้ำชาอีกชุดหนึ่งออกมา เขาชี้นิ้วให้มันกรอกน้ำหนึ่งกา

        “เสี่ยวรุ่ย จุดเตาหน่อยสิ!” หลิ่วเทียนฉีหันไปมองเฉียวรุ่ยที่นั่งอยู่ด้านข้าง

        “อื้ม!” เฉียวรุ่ยพยักหน้า หมุนปลายนิ้วทีหนึ่งดวงไฟน้อยดวงหนึ่งพลันร่วงลงในถ่านไฟ จุดไฟในเตาขึ้นมา 

        หลิ่วเหอเห็นเด็กสองคนทำงานเข้าขากันก็ยกมุมปากเล็กน้อย สีหน้าปลาบปลื้ม

        ไม่นานหลิ่วเทียนฉีก็ต้มน้ำจนเดือด ชงชาทิพย์กาหนึ่งเสร็จจึงเทออกมาหนึ่งถ้วย ส่งให้บิดาตนอย่างนอบน้อม “ท่านพ่อ เชิญรับชาขอรับ!”

        “อืม!” หลิ่วเหอเห็นชาที่บุตรชายส่งมาก็พยักหน้าหลายหนอย่างพึงพอใจ ยื่นมือรับถ้วยชาไป

        “พี่สาวทั้งสามดื่มชาร้อนสักถ้วยไหมขอรับ?” หลิ่วเทียนฉีเอ่ยพลางมองไปทั้งสามที่นั่งอยู่อีกข้างหนึ่ง

        “อา น้องเจ็ดไม่ต้องดูแลพวกเราหรอก ถ้าพวกเราอยากดื่มจะจัดการเอง!” หลิ่วซือบอกอย่างเกรงใจ

        “เช่นนั้นก็ได้ ข้าวางไว้ตรงนี้นะขอรับ!” พูดพลางวางกาน้ำชาไว้ด้านข้าง ยกกาน้ำเดือดบนเตาลงมาด้วย

        หลิ่วเทียนฉีเอาตะแกรงเหล็กขนาดหนึ่งฝ่ามือออกมาจากในแหวนมิติ ครอบตะแกรงเหล็กไว้บนเตาถ่านน้อยขนาดพอดิบพอดี จากนั้นเอาเนื้อสัตว์อสูรที่ผสมเสร็จแล้วหนึ่งอ่างเล็กออกมา ใช้ตะเกียบคีบวางไว้บนตะแกรงเหล็กทีละชิ้น

        “ซู่...”

        เฉียวรุ่ยได้ยินเสียงย่างเนื้อก็เบิกตาโต ใบหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันที “เทียนฉี?”

        “เ๽้ารีบออกมาแต่เช้า ไม่ได้กินข้าวสักคำ ข้าย่างเนื้อสัตว์อสูรให้เ๽้ากินสักหน่อยดีกว่า!” หลิ่วเทียนฉีมองคนข้างกาย เอ่ยด้วยสีหน้ารักใคร่

        “อืม” เฉียวรุ่ยพยักหน้ารัว ดวงตาทั้งสองข้างยิ้มจนกลายเป็๞พระจันทร์เสี้ยว

        “รับไว้สิ ข้าให้!” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางหยิบถ้วยใส่น้ำจิ้มกับตะเกียบส่งให้อีกฝ่าย

        “อืม!” เฉียวรุ่ยพยักหน้าก่อนรับมา เลียนแบบหลิ่วเทียนฉี พลิกเนื้อบนตะแกรงเหล็กด้วยกัน

        “หอมจัง!” เฉียวรุ่ยดมกลิ่นเนื้อระลอกแล้วระลอกเล่าด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม

        “ใกล้ได้ที่แล้ว!” บอกพลางหยิบชามตะเกียบออกมาอีกชุดหนึ่ง

        รอจนเนื้อย่างชุดแรกย่างเสร็จ หลิ่วเทียนฉีก็คีบสองชิ้นวางในชาม ส่งมาตรงหน้าหลิ่วเหอ

        “ท่านพ่อลองชิมขอรับ!”

        “ฮ่าๆๆ ไม่ต้องหรอก ให้เสี่ยวรุ่ยกินเถอะ ข้าดื่มชาก็พอ เช้าตรู่ให้กินของมันเกินข้าไม่ชิน!” หลิ่วเหอส่ายศีรษะบอก

        “ถ้าเช่นนั้น ท่านพ่อโปรดดื่มชาอีกขอรับ!” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางเติมชาให้บิดาอีกหนึ่งถ้วย

        “เทียนฉี เ๽้ารีบกินสิ อร่อยมากเลยนะ!” เฉียวรุ่ยกินไปพลาง คีบเนื้อวางบนตะแกรงเหล็กต่อไปพลาง

        เห็นคนรักชอบกินปานนั้นก็ลูบใบหน้าน้อยอย่างอ่อนโยน ช่วยย่างเนื้อให้อย่างตั้งใจ

        หลิ่วอู่เหลือบมองเฉียวรุ่ยกินจนปากมันเยิ้มไม่รักษาภาพลักษณ์สักนิดก็อดกลอกตาไม่ได้พลางคิด ‘ไม่รู้จริงๆ ว่าเ๽้าขยะน้อยหาบุรุษสองเพศที่ทั้งดุร้าย ทั้งหยาบคายเช่นนี้มาจากไหน ดูท่าทางเขากินเนื้อสิ เหมือนผีหิวโหย ช่างน่าเกลียดอะไรปานนี้ ไร้มารยาทไม่มีที่สิ้นสุดจริงเชียว’

        หลิ่วซือชำเลืองมองทั้งสองกินเนื้อราวกับอวดความรักในรถอย่างเปิดเผยก็อดกระตุกมุมปากไม่ได้ ในใจคิด ‘มิน่า เสี่ยวอู่ถึงทนดูเฉียวรุ่ยไม่ได้ พูดตามตรง เฉียวรุ่ยช่างไร้มารยาทและหยาบคายนัก! ไม่รู้ท่านอาสามคิดอย่างไร ถึงกับให้น้องเจ็ดหมั้นกับบุรุษสองเพศเช่นนี้’

        “ท่านอาสาม ข้ารินชาให้ท่านนะเ๽้าคะ!” หลิ่วซานเห็นชาในถ้วยของหลิ่วเหอดื่มจนเหลือเพียงครึ่งถ้วยนางรีบหยิบกาน้ำชามารินให้อีกฝ่าย

        หลิ่วเหอมองหลิ่วซานทีหนึ่งโดยไม่พูดจาไม่จา รอจนกระทั่งรินชาเต็มถ้วยจึงยกขึ้น เปิดหน้าต่างรถ เทชาทั้งถ้วยทิ้งจนหมด

        เมื่อเห็นการกระทำของหลิ่วเหอ หลิ่วซือกะพริบตาเล็กน้อยพลางคิด ‘ดูท่าว่าหลิ่วซาน คงไม่เป็๲ที่โปรดปรานของท่านอาสามเสียแล้ว’

        แต่จะโทษท่านอาสามก็ไม่ได้ ลุงใหญ่ทำเ๹ื่๪๫เลวทรามมากปานนั้นกับบ้านของท่าน ท่านอาสามจะไม่คิดแค้นได้อย่างไรเล่า?

        หลิ่วซานมองถ้วยเปล่าตรงหน้าหลิ่วเหอ นางกัดริมฝีปากอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ รู้สึกอับจนคำพูด

        “ท่านพ่อ ให้ลูกชงชาให้ท่านอีกกาหนึ่งไหมขอรับ?” หลิ่วเทียนฉีหันมาเอ่ยถามเสียงเบา

        “ไม่ต้องแล้ว เก็บชุดชงชาไปเถอะ สกปรกแล้วย่อมไม่ดี!”

        “ขอรับ!” หลิ่วเทียนฉีรับคำ เก็บกาน้ำชาหนึ่งใบ ถ้วยชาหกใบและกาต้มน้ำหนึ่งใบบนโต๊ะไป

        ได้ยินประโยคสุดท้ายของท่านอาสาม ในใจของหลิ่วซานยิ่งยากจะพรรณนา นางก้มศีรษะลง

        หลิ่วเทียนฉีลอบมองหลิ่วซานทีหนึ่ง ขมวดคิ้วน้อยๆ พลางคิด ‘ท่านพ่อเหมือนจะล่วงเกินนางเอกเข้าแล้วสินะ หากภายหลังนางเติบใหญ่ ท่านต้องเคราะห์ร้ายเป็๞แน่! แต่อย่างไรก็มีเขาผู้ล่วงรู้คนนี้อยู่ หากหลิ่วซานคิดทำร้ายท่าน มันก็ไม่ง่ายปานนั้นหรอก!’

        “เทียนฉี มีแต่เนื้อพวกนี้หรือ?” เฉียวรุ่ยมองชิ้นเนื้อที่เหลืออยู่ไม่เท่าไรในอ่างแล้วถามเหมือนยังไม่จุใจ

        “เนื้อมีเท่านี้ แต่ยังมีมันเทศแผ่นกับผักสดอีก!” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางหยิบมันเทศแผ่นชามหนึ่งออกมา

        “ฮ่าๆๆ เ๽้าเตรียมพร้อมดีจริงเชียว! ผักเนื้อมีครบหมด!” เฉียวรุ่ยหัวเราะ ยิ้มรับมันเทศแผ่นมา

        หลิ่วอู่มองเฉียวรุ่ยรู้จักแต่กินแล้วก็กิน พลันอับจนวาจา ไม่รู้จริงๆ ว่าหลิ่วเทียนฉีพาสุกรตัวนี้มาทำไม?

        .........

        หลายวันให้หลัง

        เฉียวรุ่ยนั่งอยู่ในรถม้า เขาหลับตาดูดกลืนศิลาทิพย์ หลิ่วเทียนฉีกำลังวาดยันต์ ส่วนหลิ่วเหอมองบุตรชายวาดยันต์อยู่ข้างๆ ตั้งใจชี้แนะจุดที่ผิดให้

        “ท่านพ่อ ท่านว่าเป็๞อย่างไรขอรับ?” หลิ่วเทียนฉีส่งยันต์ที่วาดเสร็จแล้วไปตรงหน้า ให้บิดาชี้แนะ

        “อืม วาดได้ไม่เลว แต่องศาของสองเส้นนี้มากไปหน่อย” หลิ่วเหอพูดพลางหยิบพู่กันมาวาดให้บุตรชายดูหนึ่งแผ่น

        “ไม่รู้ทำไม ข้ามักเข้าใจความลึกตื้นขององศานี่ไม่ดีพอ” หลิ่วเทียนฉีมองยันต์ของบิดาพลางขมวดคิ้วตอบ

        “มา พ่อจะสอนเ๽้าให้เอง!” หลิ่วเหอจับมือบุตรชาย สอนวาดแผ่นที่สามทีละขีด

        “ตอนนี้รู้สึกอย่างไร จับขนาดขององศาได้ไหม?”

        “อืม เหมือนจะเข้าใจขึ้นมานิดๆ แล้วขอรับ!” หลิ่วเทียนฉีพยักหน้า หยิบพู่กันขึ้นมาวาดเองหนึ่งแผ่น

        หลิ่วเหอมองยันต์แผ่นนั้นก็พยักหน้าหลายหนอย่างพึงพอใจ “ไม่เลว แบบนี้แหละ! ลูกพ่อเข้าใจเร็วยิ่ง!”

        ได้ยินคำพูดนี้ หลิ่วอู่กลอกตาเล็กน้อยพลางคิด ‘เข้าใจได้เร็วที่ไหนกันเล่า ท่านอาสามสอนละเอียดชัดๆ วิธีสอนขีดต่อขีดนั่น ต่อให้เป็๲สุกรก็เรียนได้เหมือนกัน’

        เห็นหลิ่วเหอตั้งอกตั้งใจสอนหลิ่วเทียนฉีวาดยันต์เช่นนี้ หลิ่วซานกับหลิ่วซืออดริษยาไม่ได้ วิชายันต์ของพวกนางล้วนเป็๞ท่านอาสามสอนให้ แม้ตอนนั้นจะสอนพวกนางอย่างตั้งใจเช่นกัน แต่สอนโดยจับมือวาดทีละขีดเช่นนี้ไม่เคยทำมาก่อน บุตรชายกับหลานสาวช่างต่างกันมากเสียจริง

        “ท่านอาสาม ยันต์หมื่นกระบี่ขั้นสองนั่น ข้าวาดได้ไม่ดีสักที!” หลิ่วซือบอกเสียงเบา

        “เทียนฉี วาดยันต์หมื่นกระบี่ขั้นสองแผ่นหนึ่งให้พี่สี่ของเ๯้าดูซิ!”

        “ขอรับ ท่านพ่อ!” หลิ่วเทียนฉีขานรับ เอาหมึกยันต์ขั้นสองขวดหนึ่งกับพู่กันเขียนยันต์ขั้นสองด้ามหนึ่งออกมา วาดยันต์หมื่นกระบี่ขั้นสองอย่างตั้งอกตั้งใจ

        หลิ่วซือจ้องมือของหลิ่วเทียนฉีละเอียดเป็๞พิเศษ นางค้นพบอย่างประหลาดว่ายันต์หมื่นกระบี่ที่ตนไม่อาจเข้าใจหลักของมันมาตลอด สำหรับหลิ่วเทียนฉีกลับง่ายดายเพราะท่านอาสามจับมือสอน ดูแตกต่างกันจริง

        “วาดเสร็จแล้วขอรับ!” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางส่งให้หลิ่วเหอ

        “อืม ซือเอ๋อร์ เอากลับไปวาดเลียนแบบดีๆ ขยันฝึกฝนเข้านะ!”

        “ขอบคุณท่านอาสาม ขอบคุณน้องเจ็ด!” หลิ่วซือรับยันต์วิเศษไป รีบเอ่ยขอบคุณ

        “ท่านอาสาม ยันต์อสนีบาตขั้นสามของข้าก็วาดได้ไม่คล่องนักเหมือนกัน!” หลิ่วซานบอกเสียงเบาด้วย

        “วาดไม่คล่องก็ฝึกฝนมากเข้า อยากประสบความสำเร็จในศาสตร์ยันต์ก็ขยันตรากตรำหน่อย” หลิ่วเหอตอบอย่างมีเหตุผล

        หลิ่วซานได้ยินก็พยักหน้า “เ๯้าค่ะ!”

        ท่านอาสามเปลี่ยนไปจริงๆ หากเป็๲ก่อนหน้านี้ต้องถามตนอย่างละเอียดแน่ว่าตรงไหนวาดได้ไม่ดี จะสาธิตให้ดู แล้วยังมอบยันต์วิเศษให้ตนกลับมาวาดเลียนแบบด้วย แต่ตอนนี้...

        หลิ่วซือกับหลิ่วอู่สองพี่น้องเห็นสภาพถูกบีบให้ยอมแพ้ของหลิ่วซานต่อหน้าหลิ่วเหอก็ลอบยิ้ม


        หลิ่วเทียนฉีเห็นท่าทางคับแค้นเล็กน้อยของนางเอกกลับรู้สึกเป็๞ห่วงหลิ่วเหอขึ้นมา หากหลังจากนี้นางเอกเติบใหญ่ ต้องมาแก้แค้นบิดาของตนแน่!

นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้