เช้าวันรุ่งขึ้น พวกหลิ่วเทียนฉีก็เตรียมตัวออกเดินทาง
เฉียวรุ่ยเดินมาถึงนอกประตูใหญ่ของตระกูลหลิ่ว เขามองเห็นรถม้าหรูหราอยู่หน้าประตูจึงกะพริบตาปริบๆ หลายที ตกตะลึงจนไม่กล้าเชื่อทุกสิ่งที่ตนเห็นอยู่
“เทียนฉี รถม้าคันนี้ช่างงดงามยิ่ง ดูหรูหรานักเชียว!” เฉียวรุ่ยดึงชายเสื้อของหลิ่วเทียนฉี เอ่ยขึ้นอย่างดีใจ
“อืม นี่เป็รถหรูหราที่สุดของตระกูลหลิ่ว ที่ลากรถไม่ใช่อสูรอาชาขั้นสอง แต่เป็มฤคินสี่เขาขั้นสามเชียวนะ มฤคินสี่เขาน่ะ ไม่เพียงวิ่งเร็วกว่าอสูรอาชา แต่ความเร็วที่บินนั้นเร็วยิ่งกว่ามากนัก แม้จะวิ่งเร็วเท่าไร แต่มันก็วิ่งได้นิ่งมาก พวกเราที่อยู่ในรถก็เหมือนอยู่บ้าน กิน นอน ฝึกฝนได้ตามปกติไม่มีปัญหา!” หลิ่วเทียนฉีแนะนำให้เฉียวรุ่ยอย่างจริงจัง
“มฤคินสี่เขางั้นหรือ?” เฉียวรุ่ยได้ยินชื่อนี้ก็เดินมาตรงหน้า ชื่นชมมฤคินสี่เขาทั้งสี่ตัวที่ถูกใช้ลากรถพักหนึ่ง
มฤคินสี่เขาสี่ตัวนี้ ทั้งร่างล้วนเป็สีชมพูกุหลาบ เหนือหัวมีเขางอกอยู่สี่เขา กีบเท้าสีดำสนิท ขนบนตัวมันวาว ดูแล้วงดงามยิ่งนัก
“มฤคินสี่เขาเหล่านี้สวยงามมาก!” เฉียวรุ่ยจ้องมองนิ่ง ชื่นชมด้วยสีหน้าสนใจ
“ช่างบ้านนอกเสียจริง!” หลิ่วอู่เหล่ตามองเฉียวรุ่ยผู้โง่เขลาทีหนึ่ง เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดูแคลน
“เสี่ยวอู่!” หลิ่วซือดึงแขนเสื้อน้องสาวเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายหยุดพูด
“ข้า ข้าพูดความจริงนะ!” หลิ่วอู่เบ้ปาก บอกอย่างไม่ยินยอม
“ออกจากบ้านเ้าต้องฟังคำพูดข้า นี่เป็สิ่งที่เ้ารับปากท่านแม่ไว้นะ!” หลิ่วซือดุต่อ
“อื้อ ข้ารู้แล้วท่านพี่!” หลิ่วอู่ก้มศีรษะ ไม่กล้าส่งเสียงอีก
ถูกหลิ่วอู่ว่าเช่นนี้ ใบหน้าเฉียวรุ่ยพลันแดงก่ำ “ใช่ ข้าเห็นเมืองมาไม่มากเท่าคุณหนูห้า ข้าเป็คนบ้านนอก แล้วอย่างไรเล่า? เ้าสู้ชนะข้างั้นหรือ? เ้ากล้าสู้กับข้าไหมล่ะ?”
“เ้า...” หลิ่วอู่ได้ยินก็ถลึงตาใส่
“เฮอะ!” เฉียวรุ่ยแค่นเสียงหยัน ถลึงตากลับอย่างไม่ยอมแพ้
เห็นทั้งสองคนชักกระบี่ง้างศร หลิ่วซือก็รีบร้อนดึงหลิ่วอู่ไปหลังร่างตน
“เสี่ยวรุ่ย เสี่ยวอู่อายุยังน้อย เ้าอย่าถือสานางเลยนะ!”
“ชิ ข้าไม่ถือสาคนระดับฝึกปราณขั้นเจ็ดหรอก?” เฉียวรุ่ยเบ้ปาก พูดด้วยสีหน้าหยิ่งทะนง
ยัยอัปลักษณ์หลิ่วอู่ตอนระดับเดียวกับเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้แล้ว หากตอนนี้ยังอยากทะเลาะกับเขาอีก คงกลายเป็ถูกซ้อมแทนกระมัง!
“เ้า เ้า...”
“พอได้แล้ว เสี่ยวรุ่ยพูดถูก พลังของเ้าสู้เสี่ยวรุ่ยไม่ได้จริงๆ ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือน เ้าฝึกฝนมากเข้าเถอะ! อย่าให้ถึงเวลาแล้วเ้าสอบเข้าวิทยาลัยเซิ่งตูไม่ได้เชียวล่ะ!”
“อื้อ เข้าใจแล้วท่านพี่!” หลิ่วอู่พยักหน้า บึนปากตอบอย่างไม่พอใจ พลังของตนต่ำที่สุดในห้าคน ช่างทำร้ายจิตใจกันจริง!
ไม่นานหลิ่วเหอกับหลิ่วซานก็เดินออกมา
“ท่านพ่อ!”
“ท่านอาสาม!”
“ท่านอาหลิ่ว!”
เห็นหลิ่วเหอเดินมา ทั้งสี่คนรีบร้อนก้มศีรษะต่ำคำนับ
“มาพร้อมกันหมดแล้ว ทุกคนขึ้นรถเถอะ!” หลิ่วเหอพูดพลางขึ้นรถเป็คนแรก คนอื่นขึ้นตามลำดับ
“ไป!” หลังขึ้นรถกันหมดทุกคน คนขับรถก็ขับวิ่งตรงไปทางประตูเมืองทิศใต้
ในรถเหมือนที่เฉียวรุ่ยคิดไว้ หรูหราโอ่อ่า หกคนนั่งอยู่ในรถม้าพร้อมกันไม่รู้สึกคับแคบสักนิด
หลิ่วเทียนฉีเอาโต๊ะตัวหนึ่งออกมาจากในแหวนมิติ แล้วหยิบเตาถ่านน้อยกับกาน้ำ รวมถึงถ้วยชากับกาน้ำชาอีกชุดหนึ่งออกมา เขาชี้นิ้วให้มันกรอกน้ำหนึ่งกา
“เสี่ยวรุ่ย จุดเตาหน่อยสิ!” หลิ่วเทียนฉีหันไปมองเฉียวรุ่ยที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“อื้ม!” เฉียวรุ่ยพยักหน้า หมุนปลายนิ้วทีหนึ่งดวงไฟน้อยดวงหนึ่งพลันร่วงลงในถ่านไฟ จุดไฟในเตาขึ้นมา
หลิ่วเหอเห็นเด็กสองคนทำงานเข้าขากันก็ยกมุมปากเล็กน้อย สีหน้าปลาบปลื้ม
ไม่นานหลิ่วเทียนฉีก็ต้มน้ำจนเดือด ชงชาทิพย์กาหนึ่งเสร็จจึงเทออกมาหนึ่งถ้วย ส่งให้บิดาตนอย่างนอบน้อม “ท่านพ่อ เชิญรับชาขอรับ!”
“อืม!” หลิ่วเหอเห็นชาที่บุตรชายส่งมาก็พยักหน้าหลายหนอย่างพึงพอใจ ยื่นมือรับถ้วยชาไป
“พี่สาวทั้งสามดื่มชาร้อนสักถ้วยไหมขอรับ?” หลิ่วเทียนฉีเอ่ยพลางมองไปทั้งสามที่นั่งอยู่อีกข้างหนึ่ง
“อา น้องเจ็ดไม่ต้องดูแลพวกเราหรอก ถ้าพวกเราอยากดื่มจะจัดการเอง!” หลิ่วซือบอกอย่างเกรงใจ
“เช่นนั้นก็ได้ ข้าวางไว้ตรงนี้นะขอรับ!” พูดพลางวางกาน้ำชาไว้ด้านข้าง ยกกาน้ำเดือดบนเตาลงมาด้วย
หลิ่วเทียนฉีเอาตะแกรงเหล็กขนาดหนึ่งฝ่ามือออกมาจากในแหวนมิติ ครอบตะแกรงเหล็กไว้บนเตาถ่านน้อยขนาดพอดิบพอดี จากนั้นเอาเนื้อสัตว์อสูรที่ผสมเสร็จแล้วหนึ่งอ่างเล็กออกมา ใช้ตะเกียบคีบวางไว้บนตะแกรงเหล็กทีละชิ้น
“ซู่...”
เฉียวรุ่ยได้ยินเสียงย่างเนื้อก็เบิกตาโต ใบหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันที “เทียนฉี?”
“เ้ารีบออกมาแต่เช้า ไม่ได้กินข้าวสักคำ ข้าย่างเนื้อสัตว์อสูรให้เ้ากินสักหน่อยดีกว่า!” หลิ่วเทียนฉีมองคนข้างกาย เอ่ยด้วยสีหน้ารักใคร่
“อืม” เฉียวรุ่ยพยักหน้ารัว ดวงตาทั้งสองข้างยิ้มจนกลายเป็พระจันทร์เสี้ยว
“รับไว้สิ ข้าให้!” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางหยิบถ้วยใส่น้ำจิ้มกับตะเกียบส่งให้อีกฝ่าย
“อืม!” เฉียวรุ่ยพยักหน้าก่อนรับมา เลียนแบบหลิ่วเทียนฉี พลิกเนื้อบนตะแกรงเหล็กด้วยกัน
“หอมจัง!” เฉียวรุ่ยดมกลิ่นเนื้อระลอกแล้วระลอกเล่าด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม
“ใกล้ได้ที่แล้ว!” บอกพลางหยิบชามตะเกียบออกมาอีกชุดหนึ่ง
รอจนเนื้อย่างชุดแรกย่างเสร็จ หลิ่วเทียนฉีก็คีบสองชิ้นวางในชาม ส่งมาตรงหน้าหลิ่วเหอ
“ท่านพ่อลองชิมขอรับ!”
“ฮ่าๆๆ ไม่ต้องหรอก ให้เสี่ยวรุ่ยกินเถอะ ข้าดื่มชาก็พอ เช้าตรู่ให้กินของมันเกินข้าไม่ชิน!” หลิ่วเหอส่ายศีรษะบอก
“ถ้าเช่นนั้น ท่านพ่อโปรดดื่มชาอีกขอรับ!” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางเติมชาให้บิดาอีกหนึ่งถ้วย
“เทียนฉี เ้ารีบกินสิ อร่อยมากเลยนะ!” เฉียวรุ่ยกินไปพลาง คีบเนื้อวางบนตะแกรงเหล็กต่อไปพลาง
เห็นคนรักชอบกินปานนั้นก็ลูบใบหน้าน้อยอย่างอ่อนโยน ช่วยย่างเนื้อให้อย่างตั้งใจ
หลิ่วอู่เหลือบมองเฉียวรุ่ยกินจนปากมันเยิ้มไม่รักษาภาพลักษณ์สักนิดก็อดกลอกตาไม่ได้พลางคิด ‘ไม่รู้จริงๆ ว่าเ้าขยะน้อยหาบุรุษสองเพศที่ทั้งดุร้าย ทั้งหยาบคายเช่นนี้มาจากไหน ดูท่าทางเขากินเนื้อสิ เหมือนผีหิวโหย ช่างน่าเกลียดอะไรปานนี้ ไร้มารยาทไม่มีที่สิ้นสุดจริงเชียว’
หลิ่วซือชำเลืองมองทั้งสองกินเนื้อราวกับอวดความรักในรถอย่างเปิดเผยก็อดกระตุกมุมปากไม่ได้ ในใจคิด ‘มิน่า เสี่ยวอู่ถึงทนดูเฉียวรุ่ยไม่ได้ พูดตามตรง เฉียวรุ่ยช่างไร้มารยาทและหยาบคายนัก! ไม่รู้ท่านอาสามคิดอย่างไร ถึงกับให้น้องเจ็ดหมั้นกับบุรุษสองเพศเช่นนี้’
“ท่านอาสาม ข้ารินชาให้ท่านนะเ้าคะ!” หลิ่วซานเห็นชาในถ้วยของหลิ่วเหอดื่มจนเหลือเพียงครึ่งถ้วยนางรีบหยิบกาน้ำชามารินให้อีกฝ่าย
หลิ่วเหอมองหลิ่วซานทีหนึ่งโดยไม่พูดจาไม่จา รอจนกระทั่งรินชาเต็มถ้วยจึงยกขึ้น เปิดหน้าต่างรถ เทชาทั้งถ้วยทิ้งจนหมด
เมื่อเห็นการกระทำของหลิ่วเหอ หลิ่วซือกะพริบตาเล็กน้อยพลางคิด ‘ดูท่าว่าหลิ่วซาน คงไม่เป็ที่โปรดปรานของท่านอาสามเสียแล้ว’
แต่จะโทษท่านอาสามก็ไม่ได้ ลุงใหญ่ทำเื่เลวทรามมากปานนั้นกับบ้านของท่าน ท่านอาสามจะไม่คิดแค้นได้อย่างไรเล่า?
หลิ่วซานมองถ้วยเปล่าตรงหน้าหลิ่วเหอ นางกัดริมฝีปากอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ รู้สึกอับจนคำพูด
“ท่านพ่อ ให้ลูกชงชาให้ท่านอีกกาหนึ่งไหมขอรับ?” หลิ่วเทียนฉีหันมาเอ่ยถามเสียงเบา
“ไม่ต้องแล้ว เก็บชุดชงชาไปเถอะ สกปรกแล้วย่อมไม่ดี!”
“ขอรับ!” หลิ่วเทียนฉีรับคำ เก็บกาน้ำชาหนึ่งใบ ถ้วยชาหกใบและกาต้มน้ำหนึ่งใบบนโต๊ะไป
ได้ยินประโยคสุดท้ายของท่านอาสาม ในใจของหลิ่วซานยิ่งยากจะพรรณนา นางก้มศีรษะลง
หลิ่วเทียนฉีลอบมองหลิ่วซานทีหนึ่ง ขมวดคิ้วน้อยๆ พลางคิด ‘ท่านพ่อเหมือนจะล่วงเกินนางเอกเข้าแล้วสินะ หากภายหลังนางเติบใหญ่ ท่านต้องเคราะห์ร้ายเป็แน่! แต่อย่างไรก็มีเขาผู้ล่วงรู้คนนี้อยู่ หากหลิ่วซานคิดทำร้ายท่าน มันก็ไม่ง่ายปานนั้นหรอก!’
“เทียนฉี มีแต่เนื้อพวกนี้หรือ?” เฉียวรุ่ยมองชิ้นเนื้อที่เหลืออยู่ไม่เท่าไรในอ่างแล้วถามเหมือนยังไม่จุใจ
“เนื้อมีเท่านี้ แต่ยังมีมันเทศแผ่นกับผักสดอีก!” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางหยิบมันเทศแผ่นชามหนึ่งออกมา
“ฮ่าๆๆ เ้าเตรียมพร้อมดีจริงเชียว! ผักเนื้อมีครบหมด!” เฉียวรุ่ยหัวเราะ ยิ้มรับมันเทศแผ่นมา
หลิ่วอู่มองเฉียวรุ่ยรู้จักแต่กินแล้วก็กิน พลันอับจนวาจา ไม่รู้จริงๆ ว่าหลิ่วเทียนฉีพาสุกรตัวนี้มาทำไม?
.........
หลายวันให้หลัง
เฉียวรุ่ยนั่งอยู่ในรถม้า เขาหลับตาดูดกลืนศิลาทิพย์ หลิ่วเทียนฉีกำลังวาดยันต์ ส่วนหลิ่วเหอมองบุตรชายวาดยันต์อยู่ข้างๆ ตั้งใจชี้แนะจุดที่ผิดให้
“ท่านพ่อ ท่านว่าเป็อย่างไรขอรับ?” หลิ่วเทียนฉีส่งยันต์ที่วาดเสร็จแล้วไปตรงหน้า ให้บิดาชี้แนะ
“อืม วาดได้ไม่เลว แต่องศาของสองเส้นนี้มากไปหน่อย” หลิ่วเหอพูดพลางหยิบพู่กันมาวาดให้บุตรชายดูหนึ่งแผ่น
“ไม่รู้ทำไม ข้ามักเข้าใจความลึกตื้นขององศานี่ไม่ดีพอ” หลิ่วเทียนฉีมองยันต์ของบิดาพลางขมวดคิ้วตอบ
“มา พ่อจะสอนเ้าให้เอง!” หลิ่วเหอจับมือบุตรชาย สอนวาดแผ่นที่สามทีละขีด
“ตอนนี้รู้สึกอย่างไร จับขนาดขององศาได้ไหม?”
“อืม เหมือนจะเข้าใจขึ้นมานิดๆ แล้วขอรับ!” หลิ่วเทียนฉีพยักหน้า หยิบพู่กันขึ้นมาวาดเองหนึ่งแผ่น
หลิ่วเหอมองยันต์แผ่นนั้นก็พยักหน้าหลายหนอย่างพึงพอใจ “ไม่เลว แบบนี้แหละ! ลูกพ่อเข้าใจเร็วยิ่ง!”
ได้ยินคำพูดนี้ หลิ่วอู่กลอกตาเล็กน้อยพลางคิด ‘เข้าใจได้เร็วที่ไหนกันเล่า ท่านอาสามสอนละเอียดชัดๆ วิธีสอนขีดต่อขีดนั่น ต่อให้เป็สุกรก็เรียนได้เหมือนกัน’
เห็นหลิ่วเหอตั้งอกตั้งใจสอนหลิ่วเทียนฉีวาดยันต์เช่นนี้ หลิ่วซานกับหลิ่วซืออดริษยาไม่ได้ วิชายันต์ของพวกนางล้วนเป็ท่านอาสามสอนให้ แม้ตอนนั้นจะสอนพวกนางอย่างตั้งใจเช่นกัน แต่สอนโดยจับมือวาดทีละขีดเช่นนี้ไม่เคยทำมาก่อน บุตรชายกับหลานสาวช่างต่างกันมากเสียจริง
“ท่านอาสาม ยันต์หมื่นกระบี่ขั้นสองนั่น ข้าวาดได้ไม่ดีสักที!” หลิ่วซือบอกเสียงเบา
“เทียนฉี วาดยันต์หมื่นกระบี่ขั้นสองแผ่นหนึ่งให้พี่สี่ของเ้าดูซิ!”
“ขอรับ ท่านพ่อ!” หลิ่วเทียนฉีขานรับ เอาหมึกยันต์ขั้นสองขวดหนึ่งกับพู่กันเขียนยันต์ขั้นสองด้ามหนึ่งออกมา วาดยันต์หมื่นกระบี่ขั้นสองอย่างตั้งอกตั้งใจ
หลิ่วซือจ้องมือของหลิ่วเทียนฉีละเอียดเป็พิเศษ นางค้นพบอย่างประหลาดว่ายันต์หมื่นกระบี่ที่ตนไม่อาจเข้าใจหลักของมันมาตลอด สำหรับหลิ่วเทียนฉีกลับง่ายดายเพราะท่านอาสามจับมือสอน ดูแตกต่างกันจริง
“วาดเสร็จแล้วขอรับ!” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางส่งให้หลิ่วเหอ
“อืม ซือเอ๋อร์ เอากลับไปวาดเลียนแบบดีๆ ขยันฝึกฝนเข้านะ!”
“ขอบคุณท่านอาสาม ขอบคุณน้องเจ็ด!” หลิ่วซือรับยันต์วิเศษไป รีบเอ่ยขอบคุณ
“ท่านอาสาม ยันต์อสนีบาตขั้นสามของข้าก็วาดได้ไม่คล่องนักเหมือนกัน!” หลิ่วซานบอกเสียงเบาด้วย
“วาดไม่คล่องก็ฝึกฝนมากเข้า อยากประสบความสำเร็จในศาสตร์ยันต์ก็ขยันตรากตรำหน่อย” หลิ่วเหอตอบอย่างมีเหตุผล
หลิ่วซานได้ยินก็พยักหน้า “เ้าค่ะ!”
ท่านอาสามเปลี่ยนไปจริงๆ หากเป็ก่อนหน้านี้ต้องถามตนอย่างละเอียดแน่ว่าตรงไหนวาดได้ไม่ดี จะสาธิตให้ดู แล้วยังมอบยันต์วิเศษให้ตนกลับมาวาดเลียนแบบด้วย แต่ตอนนี้...
หลิ่วซือกับหลิ่วอู่สองพี่น้องเห็นสภาพถูกบีบให้ยอมแพ้ของหลิ่วซานต่อหน้าหลิ่วเหอก็ลอบยิ้ม
หลิ่วเทียนฉีเห็นท่าทางคับแค้นเล็กน้อยของนางเอกกลับรู้สึกเป็ห่วงหลิ่วเหอขึ้นมา หากหลังจากนี้นางเอกเติบใหญ่ ต้องมาแก้แค้นบิดาของตนแน่!