พวกหูเลี่ยงก็ไม่ได้มีเงินมากมายนัก ในงานประมูลครั้งนั้นนางขายเซียนหลิงเฉ่าไปจนหมดแล้ว พวกเขาไปเอาเซียนหลิงเฉ่าจากไหนมาปรุงยาเม็ดนี้กัน?
นอกจากนี้หูเลี่ยงและคนอื่นๆ ดูคล้ายกับคนที่จะรู้วิธีปรุงยาหรือ?
เห็นได้ชัดว่า ยาเม็ดนี้พวกเขาต้องได้รับมาจากตี้เฉินแน่
หากคุณชายชั้นสูงผู้นั้นที่เคยซื้อเซียนหลิงเฉ่าของนางไปคือสหายของตี้เฉิน คนผู้นั้นคงเป็อาจารย์ปรุงโอสถหรืออะไรสักอย่าง
หานโม่กลืนเม็ดยาเซียนหลิงเฉ่าลงไปในคราเดียว
มันมีรสขมเพียงนิด แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดภายในหัวใจของนางจึงมีความหวานเจือปนอยู่ด้วยเล็กน้อย
แม้ว่าตี้เฉินจะไม่ได้อยู่เคียงข้างนางตลอดเวลาแต่เขากลับรู้เื่อาการาเ็ของนางได้ พอนึกถึงเื่ของแหวนโค่งเจียนก่อนหน้านี้ หานโม่อดคิดไม่ได้ว่าตี้เฉินจะต้องรู้เื่นี้ผ่านความผันผวนของแหวนเป็แน่
พอเขารู้ว่านางได้รับาเ็จึงรีบส่งยามาให้ทันที
ความห่วงใยและความหวังดีเช่นนี้ ทำให้หานโม่รู้สึกขอบคุณอย่างซาบซึ้ง
ในชีวิตก่อนนางอยู่ตัวคนเดียวมานาน แม้แต่กับเพื่อนร่วมงานหานโม่ก็ไม่เคยได้รับความเป็ห่วงเป็ใยเช่นนี้เลย
ความรู้สึกเช่นนี้...มันก็ไม่เลว
หูเลี่ยงและคนอื่นๆ รั้งอยู่ในเรือนเหอเซียงเพียงไม่นานก็พากันจากไป
เมื่อได้รับเม็ดยาเซียนหลิงเฉ่าแล้ว อาการาเ็ของหานโม่ก็หายเป็ปกติ ไม่เพียงแค่นั้นแต่หานโม่ยังรู้สึกได้ว่าร่างกายของนางเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ซึ่งไปในทางที่ดี
ก่อนหน้านี้ตอนประมือกับถังชิงยุ่น นางรับรู้ถึงการใช้พลังจากลมปราณที่แท้จริง สองสามวันต่อมาหานโม่จึงใช้เวลาทั้งหมดเพื่อศึกษาวิธีการฝึกฝนพลังลมปราณอยู่ภายในห้อง โดยมีเสี่ยวเยว่คอยนำอาหารเข้ามาส่งให้
เพียงพริบตาเดียวก็ใกล้ถึงงานประลองของตระกูลหานแล้ว
งานประลองของตระกูลหานคล้ายกับงานเทศกาลประจำปีของตระกูล ในทุกๆ ปีตระกูลหานจะคัดเลือกบุตรหลานที่มีพร์และความสามารถมากที่สุดสามคนมาจากการประลอง แล้วส่งพวกเขาเข้าร่วมการทดสอบรอบคัดเลือกของสถานศึกษาของตี้ตู
'สถานศึกษาตี้ตู' นับเป็สถานที่ที่ผู้ฝึกตนทุกคนปรารถนาจะได้เข้าร่วม มีคำกล่าวว่าตราบใดที่เข้าสถานศึกษาตี้ตูได้ ก็คล้ายกับมองเห็นเงาที่สะท้อนความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
ผู้ที่จบการศึกษาจากที่นั่นล้วนแล้วแต่เป็ผู้ที่แข็งแกร่งจนผู้คนทั่วหล้าพากันสรรเสริญยกย่อง
หากมีคนใดคนหนึ่งในตระกูลสามารถเข้าเรียนในสถานศึกษาตี้ตูได้ ถือว่าเป็เกียรติแก่วงศ์ตระกูลอย่างมาก
ที่ผ่านมาตระกูลหานมีหานเสวี่ยเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ได้เข้าศึกษาในสถานศึกษาของตี้ตู ทำให้ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองหลิงหยวนนั้น ตระกูลหานจึงดูคล้ายว่าจะอยู่เหนือทุกตระกูล
ตราบใดที่ลูกหลานตระกูลหานสามารถสร้างผลงานดีๆ ได้ในครั้งนี้ ตำแหน่งประมุขของตระกูลหลักทั้งสี่ของเมืองหลิงหยวนก็ไม่ใช่ของใครอื่นนอกจากตระกูลหาน
ด้วยเหตุนี้ หานเฉินต้งจึงกังวลเกี่ยวกับการประลองภายในตระกูลครั้งนี้เป็พิเศษ
เนื่องจากอีกเพียงแค่สองวันก็ถึงการประลองแล้ว ทุกคนในตระกูลหานจึงยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมงานเป็อย่างมาก ในครั้งนี้ตระกูลต่างๆ ที่ได้ดองกับตระกูลหานบุตรหลานของพวกเขาจึงได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานประลองด้วย ดังนั้นภายในตระกูลหานเวลานี้จึงคึกคักเป็อย่างมาก
แต่ความคึกคักเหล่านี้ล้วนมาไม่ถึงหานโม่ที่อยู่ในเรือนเหอเซียง
พลังลมปราณของนางก้าวหน้าขึ้นมาบ้างแล้ว แต่หลังจากที่พยายามไปหลายครั้งนางก็ไม่สามารถฝ่าทะลวงเพื่อเลื่อนระดับได้ ส่วนโตวโตวก็คอยพูดให้กำลังใจหานโม่ว่า "นายท่าน แม้ว่าตอนนี้ท่านยังไม่แข็งแกร่งอย่างที่หวัง แต่ทุกสิ่งในโลกล้วนไม่มีอะไรยากเกินไป หากท่านยังตั้งใจและมีจิตใจที่มุ่งมั่น โตวโตวเชื่อมั่นว่านายท่านจะได้ในสิ่งที่้าอย่างแน่นอน!”
เมื่อเห็นว่าแววตาของโตวโตวจริงจังเช่นนี้ ภายในใจของหานโม่ก็รู้สึกตื้นตันมากเช่นกัน
ค่ำคืนนี้ทั่วทุกแห่งในตระกูลหานมีชีวิตชีวามาก ยกเว้นเรือนเหอเซียงแม้ว่าเรือนของหานโม่จะดีที่สุดในตระกูลหาน แต่ทุกคนในตระกูลหานดูราวกับว่าจงใจลืมเลือนหานโม่ก็มิปาน ไม่มีผู้ใดสนใจมาแจ้งข่าวการประลองแก่หานโม่ นอกจากบ่าวรับใช้ที่ทำหน้าที่เอาอาหารมาส่งก็ไม่มีผู้ใดเข้ามาใกล้เรือนเหอเซียงอีกเลย
เสี่ยวเยว่รู้สึกเป็กังวลอย่างมาก แต่หานโม่กลับรู้สึกว่าการเป็เช่นนี้ดีแล้ว
ในยามค่ำคืนที่เงียบสงัด หานโม่ก็เสร็จสิ้นการฝึกฝนในวันนี้แล้วและกำลังจะพักผ่อน วันพรุ่งนี้เป็งานประลองของตระกูล นางจึงต้องเตรียมร่างกายให้พรั่งพร้อม
แต่ทว่านอนอยู่บนเตียงได้เพียงชั่วครู่ก็มีลมกรรโชกแรงสายหนึ่งพัดเข้ามาด้านในห้องผ่านหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ หลังจากนั้นหานโม่ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันแสนคุ้นเคย
หานโม่กลอกตาเล็กน้อยโดยไม่เอ่ยอะไร นางลุกขึ้นมานั่งและหันหน้าไปทางหน้าต่างก็พบกับร่างสูงสง่าของตี้เฉินในอาภรณ์สีขาวยืนพิงหน้าต่างอยู่
หานโม่คลึงหน้าผากตนเองด้วยความปวดหัวเล็กน้อย "เหตุใดพวกเ้าถึงชอบเข้าออกทางหน้าต่างกันนักนะ?"
ตี้เฉินเห็นว่าหานโม่สามารถสังเกตการมาถึงของเขาได้อย่างรวดเร็ว ภายในใจก็มีความสุขขึ้นมาเล็กน้อย แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหานโม่เขาก็ขมวดคิ้วทันที "อะไรคือ ‘พวกเ้า’ งั้นหรือ? นอกจากข้าแล้วยังมีผู้ใดที่ชอบเข้าทางหน้าต่างอีกหรือ?"
หานโม่ชำเลืองมองไปยังตี้เฉิน พลางหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมให้ตัวเอง
โชคดีที่หานโม่ชอบนอนโดยสวมเสื้อผ้า เพราะในทุกๆ คืนมักจะมีผู้คนคอยแวะเวียนมาหา หานโม่คาดว่าดวงิญญาทุกดวงคงไม่อยากตายอีกหลายๆ รอบ
"ทั้งท่านและนักฆ่าพวกนั้น พวกท่านทั้งหมดล้วนชอบเข้ามาทางหน้าต่างเหมือนกันหมด" หานโม่กล่าว
ตี้เฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่คิ้วเข้มกลับยังขมวดแน่น "นักฆ่าพวกนั้น เ้าอย่าให้พวกมันเข้ามาอีก"
หานโม่ "......ท่านคิดว่าข้าเป็ปรมาจารย์ไร้เทียมทานหรือ? คิดว่าข้าขยับเพียงแค่ทีเดียวก็ฆ่าพวกมันได้ทั้งหมดเลยงั้นหรือ?"
ตี้เฉินเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง เขามองไปยังหานโม่พลางหัวเราะออกมาจากนั้นจึงเอื้อมมือมาตวัดโอบรอบเอวของนางไว้ เท้าทั้งสองข้างของเขาสะกิดพื้นแล้วพุ่งออกไปด้านนอกพลางเอ่ยว่า "ไม่ใช่ตอนนี้ แต่ต่อจากนี้เ้าต้องทำได้แน่ ข้าเชื่อ"
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้นที่ข้างหูพร้อมกับเสียงลมหวีดหวิวในยามค่ำคืน ในขณะที่เอ่ยเพียงแค่ไม่กี่คำนั้นเขาก็พานางเหาะออกมาจากเรือนเหอเซียงแล้วมุ่งหน้าไปยังูเาที่อยู่ด้านหลัง หานโม่ระงับความรู้สึกแปลกๆ ที่อยู่ภายในใจตอนได้ยินคำพูดของตี้เฉินและส่งเสียง "อืม" อย่างเขินอายตอบกลับคำพูดของตี้เฉิน
เมื่อตี้เฉินได้เห็นท่าทางขัดเขินของหานโม่เช่นนี้ เขาก็หัวเราะออกมาโดยที่ไม่เอ่ยสิ่งใด ปลายเท้าของเขาแตะอากาศสองสามครั้งไม่นานก็มาถึงูเาด้านหลังจวนตระกูลหานแล้ว
เขาพานางมาที่เดียวกับครั้งที่แล้ว หลังจากที่หานโม่นั่งลงนางก็หันหน้าไปมองตี้เฉิน
ก่อนหน้านี้ภายในห้องที่มืดสลัว หานโม่ไม่ได้สำรวจคนด้านข้างอย่างละเอียด แต่ตอนนี้ภายใต้แสงจันทร์ดวงโตหานโม่สังเกตว่าใบหน้าของตี้เฉินดูเหนื่อยล้า แม้ว่ามันไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน แต่เพราะรูปร่างหน้าตาอันหล่อเหลาเกินไป ความอ่อนล้าเพียงเล็กน้อยจึงคล้ายกับว่าแผ่กว้างจนเต็มใบหน้าของเขาจนทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกเป็ทุกข์แค่เพียงได้มอง
"ท่าน……"
หานโม่อ้าปากคล้าย้าจะพูดบางอย่าง เดิมทีนาง้าถามตี้เฉินว่า่นี้กำลังยุ่งเื่อะไรอยู่ แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้ถามสิ่งใดออกมา
แม้ว่าตอนนี้นางและตี้เฉินจะถือว่าคุ้นเคยกันในระดับหนึ่งแล้ว แต่มันก็ยังไม่ถึงระดับที่ต่างฝ่ายและแลกเปลี่ยนเื่ส่วนตัวของกันและกันได้
ห่นโม่รับรู้ตัวตนของตี้เฉินเป็อย่างดี บางทีเขาคงกำลังเผชิญหน้ากับเื่ยุ่งยากบางอย่างอยู่ ซึ่งอาจเป็เหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้แสดงท่าทางที่เหนื่อยล้าเช่นนี้ หากเขาไม่เริ่มพูดก่อนหานโม่ก็คิดว่าตัวนางเองก็ไม่ควรถาม
เมื่อหานโม่คิดได้เช่นนี้จึงเงียบไป
ตี้เฉินไม่ได้สังเกตท่าทีราวกับอยากพูดแต่ไม่กล้าพูดของหานโม่ หลังจากที่เขามองดูวิวทิวทัศน์ไปครู่หนึ่งก็เอ่ยถามหานโม่เกี่ยวกับเื่ราวเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ั้แ่ต้นจนจบเขามีรอยยิ้มอบอุ่นประดับอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา
เมื่อเห็นตี้เฉินเป็เช่นนี้ หานโม่จึงรู้สึกไม่เป็ตัวเองอยู่บ้างเล็กน้อย
ในตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับตี้เฉินกล่าวได้ว่าเป็สหายกัน แม้จริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ใช่
สำหรับนางแล้ว ตี้เฉินคือสหายที่ดียิ่ง แต่นางกลับไม่แน่ใจว่าตนเองเป็สหายที่ดีของตี้เฉินหรือไม่
จนถึงตอนนี้ ตี้เฉินเป็ฝ่ายที่คอยดูแลนางมาตลอดและแม้ว่าจะไม่ถึงกับการลากขวดน้ำมัน [1] แต่เื่จริงก็คือไม่มีอะไรที่นางสามารถช่วยเหลือตี้เฉินได้เลย
........................................................................
เชิงอรรถ
[1] ลากขวดน้ำมัน (拖油瓶) พ้องเสียงกับคำว่า ทัวโย่วปิ้ง (拖有病) หมายถึง การลากโรคภัยไข้เจ็บมา หรือ นำพาเื่ร้ายๆ เข้ามา
