เสิ่นจือเหยียนรับกล่องกำมะหยี่มา ดูเสร็จแล้วก็ส่งให้เตี้ยนเซี่ย “ปิ่นทองในกล่องพังแล้วหรือ?”
ฉางชิงชิงพยักหน้า “หยวนชิวเพิ่งจะถึงเรือนจิปาถะก็ทำตกลงพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ หนูปี้เป็นางกำนัลของหน่วยลิ่วชาง มีความสามารถในการซ่อมแซมเครื่องประดับอยู่เล็กน้อย หยวนชิวจึงให้หนูปี้ช่วยซ่อมให้นาง หยวนชิวรู้ว่าครอบครัวมีความจำเป็ต้องใช้เงิน จึงวางแผนว่าหลังจากซ่อมเสร็จแล้วจะฝากหนูปี้นำปิ่นทองออกจากวังแล้วเอาไปแลกเป็เงิน เพื่อฝากให้คนเอากลับไปเลี้ยงดูบิดามารดาเ้าค่ะ”
มู่หรงฉือมองกล่องที่ใส่ปิ่นนั้น ตัวกล่องทำจากไม้ ้าสลักลวดลาย แต่ดูแล้วก็เหมือนผ่านมานานหลายปี คงจะเป็ของเก่ามาก นางเปิดกล่องดู ผ้ากำมะหยี่แดงรองปิ่นทองรูปทรงงดงามระยิบระยับอันหนึ่งเอาไว้
ตรงส่วนหัวทำเป็กิ่งสนประดับใบสนหลายใบ ดอกเหมยหลายกลีบห้อยลงมาจากก้าน วิจิตรงดงามสีสันเจิดจ้า
นี่คือปิ่นทองกิ่งสน
ปิ่นทองเช่นนี้ มีแต่ฮูหยินตราตั้งจึงจะใช้กัน แต่ว่าฝีมือการทำที่ประณีตละเอียดเช่นนี้ เป็ปิ่นทองที่ทำขึ้นจากหน่วยลิ่วชาง
นางรู้สึกว่าเหมือนเคยเห็นปิ่นทองกิ่งสนนี้จากที่ไหนมาก่อน แต่ก็คิดไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
“ปิ่นทองนี้มีแต่เฟยผินกับฮูหยินตราตั้งถึงจะสามารถใส่ได้ หยวนชิวเป็นางกำนัล จะมีปิ่นที่มีค่าเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“หนูปี้เคยถามหยวนชิวแล้วเพคะ นางบอกว่าจ้าวผินประทานให้นางเพคะ” ฉางชิงชิงตอบ
“เ้าเจอนางครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?” มู่หรงฉือนึกย้อนกลับไปอย่างละเอียด แต่ก่อนเคยเห็นจ้าวผินหลายครั้ง แต่ไม่เคยเห็นจ้าวผินสวมปิ่นทองเล่มนี้มาก่อน
“เมื่อสามวันก่อนเพคะ หยวนชิวเอาปิ่นทองกับกล่องให้หนูปี้ สามวันนี้งานของหน่วยลิ่วชางค่อนข้างยุ่งมาก หนูปี้หาเวลาว่างมาหาหยวนชิวไม่ได้ จนกระทั่งวันนี้ถึงจะมีเวลามาหา ตั้งใจจะให้นางดูปิ่นทองนี้ หากนางรู้สึกว่าปิ่นทองไม่มีปัญหา หนูปี้จะคิดหาวิธีช่วยนางเอาปิ่นทองนี้ไปขาย” ฉางชิงชิงตอบอย่างไม่รีบไม่ร้อน ชัดเจนและมีเหตุมีผล ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่นิด
พูดกันตามกฎของวังแล้ว ข้าหลวงไม่สามารถขายของจากวังหลวงได้ แต่ว่าหากเป็ของส่วนตัวก็ไม่ได้เคร่งครัดถึงเพียงนั้น
ปิ่นทองเป็ของที่เ้านายประทานให้หยวนชิว นางจะเอาปิ่นทองนี้ไปขายข้างนอกก็ไม่มีใครคิดเล็กคิดน้อย
มู่หรงฉือรู้เื่นี้ นางมองไปทางเสิ่นจือเหยียนพลางส่งสายตาไปมา ทั้งคู่ต่างเข้าใจความคิดของกันและกัน
ท่าทางของฉางชิงชิงเรียกได้ว่ากล้าหาญมาก มองไม่เห็นความกลัวแม้แต่น้อย
แต่ว่าอย่างไรนางก็มีส่วนน่าสงสัย ส่วนแรงจูงใจในการสังหารคนก็คือปิ่นทองเล่มนี้ เพื่อปิ่นทองเล่มนี้เป็ของตน ฉางชิงชิงจึงลงมือสังหารหยวนชิว แต่วันนี้นางกลับเอาปิ่นทองมาหาหยวนชิวอย่างโจ่งแจ้ง เสี่ยงต่อการถูกจับพิรุธได้ยิ่งนัก นี่ไม่ขัดแย้งเกินไปหรือ?
นางสามารถลอบมาอย่างเงียบๆ หรือสอบถามว่าหลังจากหยวนชิวตายไปแล้วมีคนพบแล้วหรือไม่ เช่นนี้ก็จะไม่กระโตกกระตากแล้ว
ความคิดนี้เพียงแล่นเข้ามาแล้วก็ผ่านไป มู่หรงฉือจ้องฉางชิงชิง นางก้มหน้าลง หน้าตาดูซื่อสัตย์ ท่าทางราวเด็กน้อยใสซื่อไม่อาจรังแกใครได้
“เ้ารู้หรือไม่ว่าหยวนชิวตายแล้ว” เสิ่นจือเหยียนถามพลางมองไปทางฉางชิงชิง ตรวจสอบปฏิกิริยาของนาง
“อะไรนะเ้าคะ? หยวนชิวตายแล้ว? ั้แ่เมื่อไหร่เ้าคะ?” สีหน้าของฉางชิงชิงเปลี่ยนไป เมื่อครู่ยังสงบใจเย็น ตอนนี้เปลี่ยนมาเสียใจ ทุกข์ใจ น้ำตาเอ่อคลอดวงตา “เหตุใดถึงเป็เช่นนี้? หยวนชิวตายได้อย่างไร...”
เสิ่นจือเหยียนถาม “นางตายได้อย่างไร ข้ากำลังตรวจสอบอยู่ เ้าไม่จำเป็ต้องกังวลใจ เ้ารู้หรือไม่ว่าบ้านของนางอยู่ที่ไหน?”
นางพยักหน้า “หนูปี้รู้เ้าค่ะ ห่างจากบ้านของหนูปี้ไม่ไกล”
เขาหยิบเงินออกมาสองก้วนแล้ววางลงบนมือของนาง “เ้าคิดหาทางเอาเงินนี้กลับไปให้ถึงมือบิดามารดาของหยวนชิว ส่วนกล่องกับปิ่นทองนี่ข้าจะต้องเก็บเอาไว้”
ฉางชิงชิงพูดเสียงสะอื้น “หนูปี้ขอขอบคุณสำหรับบุญคุณของใต้เท้าแทนหยวนชิวด้วยเ้าค่ะ”
หลังจากนั้นนางก็กลับไป
มู่หรงฉือมองตามแผ่นหลังของนาง ครุ่นคิดด้วยความสงสัย “ฉางชิงชิงไม่เหมือนเสแสร้ง นางได้ยินว่าหยวนชิวตายไปก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจเหมือนคนปกติ ไม่มีร่องรอยการแสดง”
เสิ่นจือเหยียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วยพลางหยิบปิ่นทองขึ้นมาดู “ปิ่นทองเล่มนี้เป็จ้าวผินที่ประทานให้นางจริงๆ หรือ?”
ทันใดนั้น ในหัวของนางก็มีภาพกระจัดกระจายแล่นเข้ามาในหัว ก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยความดีใจปนประหลาดใจ “เปิ่นกงคิดออกแล้ว ไม่ใช่จ้าวผินแต่เป็เซียวกุ้ยเฟย”
“ความหมายของเตี้ยนเซี่ยก็คือ ปิ่นทองนี้เป็ของเซียวกุ้ยเฟยอย่างนั้นหรือ?” เขาตกตะลึง
“เปิ่นกงเคยเห็นเซียวกุ้ยเฟยสวมปิ่นทองรูปกิ่งสนนี่อยู่” นางลุกขึ้น พูดด้วยใบหน้าเบิกบาน “เปิ่นกงรู้สึกว่าคงจะเป็เช่นนี้ : เซียวกุ้ยเฟยใช้ปิ่นกิ่งสนนี่ซื้อตัวหยวนชิวให้ทำงานให้นาง ก่อนที่จ้าวผินจะทานน้ำแกงก็ให้ใส่ยาลงไป เพื่อจุนเจือครอบครัวหยวนชิวจึงต้องรับปากเซียวกุ้ยเฟย รับงานมาทำ หลังจากจ้าวผินตายไป เซียวกุ้ยเฟยก็ว้าวุ่นใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดว่าเก็บหยวนชิวเอาไว้ก็เป็สิ่งที่ทำร้ายนาง ดังนั้นจึงส่งคนไปลอบสังหารนาง”
“เซียวกุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานมาหลายปี จ้าวผินไม่ได้รับความโปรดปรานมาหลายปี เหตุใดเซียวกุ้ยเฟยจะต้องสังหารจ้าวผินด้วย?” เสิ่นจือเหยียนถามออกมา “อีกอย่าง หากเซียวกุ้ยเฟย้ากำจัดคู่แข่ง เมื่อหลายปีก่อนก็สามารถลงมือได้ ทำไมจะต้องมาลงมือในเวลานี้ด้วย?”
“เพราะว่าเป้าหมายในการสังหารจ้าวผินของเซียวกุ้ยเฟยไม่ใช่เพื่อกำจัดคู่แข่ง แต่เป็การทำให้สถานการณ์ของเพลงพื้นบ้านนั้นวุ่นวาย ทำให้ทิศทางการสืบสวนของพวกเราวุ่นวาย จ้าวผินเป็เพียงหมาแมวที่โชคร้าย เซียวกุ้ยเฟยถึงได้เลือกนาง พอหมดประโยชน์ก็ถือโอกาสนี้ฆ่านางเสีย” มู่หรงฉือดวงตาวาวใส
“แต่ว่า เหตุใดเซียวกุ้ยเฟยถึงได้ทำเช่นนี้? เหตุใดถึงได้มาก่อกวนทิศทางในการสอบสวนของพวกเรา?” เขายังไม่เข้าใจ
“เพราะว่า…” นางหยุดพูดทันที ข่าวลือลับๆ ในวังหลวงนี้จะบอกเขาดีหรือไม่?
เขาไม่ใช่คนนอก อีกทั้งปากก็ปิดสนิทมาโดยตลอด คงจะไม่ป่าวประกาศออกไปกระมัง
ดังนั้น นางจึงพูดเหตุผลออกมาง่ายๆ “เซียวกุ้ยเฟยทำเช่นนี้ก็เพื่อจะลบมู่หรงอวี้ออกจากเพลงนั่น ทำคดีออกมาให้ไม่เหมือนกับปลากินคนมากนัก เพื่อก่อกวนทิศทางในการสืบสวน”
เสิ่นจือเหยียนใจนตาค้าง พูดติดอ่าง “อวี้หวางกับ…เซียวกุ้ยเฟยมีความสัมพันธ์ชู้สาว? เตี้ยนเซี่ยแน่ใจแล้วหรือ?”
มู่หรงฉือพยักหน้าหนักแน่น ถึงว่าเมื่อคืนมู่หรงอวี้ถึงได้บุกไปถึงตำหนักบูรพาเพื่อไม่ให้นางสืบคดีของจ้าวผินอีก ที่แท้เขาก็รู้อยู่แล้วว่าคนร้ายเป็ใคร
เสิ่นจือเหยียนยังไม่อาจยอมรับความจริงนี้ได้ ยกมือขึ้นมาเช็ดหน้าผาก เหงื่อออกเต็มมือ “เช่นนั้นเตี้ยนเซี่ยวางแผนไว้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
“ถึงแม้จะมีปิ่นกิ่งสนกับฉางชิงชิงเป็พยานหลักฐาน แต่เซียวกุ้ยเฟยก็จะผลักความผิดนี้ออกไปได้อย่างหมดจด ไม่มีทางยอมรับ นางอาจกล่าวว่ามีขโมยลอบเข้ามาในตำหนักชิงหลวนของนาง หรือจะบอกว่าฉางชิงชิงแอบมาขโมยปิ่นก็เป็ได้”
“เป็เช่นนั้นจริงๆ เซียวกุ้ยเฟยมีหรือจะยอมรับผิด? แต่ว่าจะปล่อยนางไปเช่นนี้หรือ? จ้าวผินจะตายอย่างไร้ความผิดเช่นนี้?”
“ในวังนี้ขาดแคลนิญญาที่ตายไปอย่างไร้ความผิดหรือ?” นางหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะออกจากศาลาไป
วังหลวงสีทองอร่ามนั้นเป็ดังกรงนกสีทองขนาดใหญ่ กักขังนกที่งดงามเย้ายวนหรืองดงามใสบริสุทธิ์เอาไว้ กลืนกินชีวิตคนบริสุทธิ์ไปทีละคน
กลับมาถึงที่ตำหนักบูรพา มู่หรงฉือวางแผนว่าจะอาบน้ำแล้วก็นอนสักตื่น คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเข้าตำหนักก็มีคนพุ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ กลิ่นหอมก็ลอยมาตามลมมา จากนั้นก็เป็เสียงใสกังวาน “เตี้ยนเซี่ย ในที่สุดก็เสด็จกลับมาแล้ว”
องค์หญิงตวนโหรวมู่หรงสือยิ้มหน้าบานราวบุปผา ใบหน้างามราวภาพวาดส่งยิ้มสดใส
เสิ่นจือเหยียนทำความเคารพ “ถวายบังคมองค์หญิงตวนโหรว”
ไขคดีน่าสงสัยกับคดีฆาตกรรมได้ มู่หรงฉือเดิมก็อารมณ์ผ่อนคลายมาก จึงไม่ทันได้ป้องกันว่าจะได้เจอกับสตรีที่ไม่อยากเจอเข้า ทันใดนั้นก็พลันปวดหัวขึ้นมา แล้วนั่งลงอย่างเกียจคร้าน
มู่หรงสือหมุนตัวมาอยู่ข้างกายนาง ยิ้มตาหยี “เตี้ยนเซี่ย ในที่สุดหม่อมฉันก็คิดได้แล้ว นางกำนัลคนนั้นถูกแมวกัดจนได้รับาเ็ สัตว์ที่สามรถทำให้เกิดาแแบบนั้นได้ หม่อมฉันคิดมาได้หลายอย่าง มีกระต่ายขาว สุนัข ลิง…”
“องค์หญิง เ้าช้าเกินไปแล้ว เื่นี้ถูกแก้ไขแล้ว”
มู่หรงฉือรับถ้วยชามาจากมือของหรูอี้ หวังว่าชาหอมๆ จะสามารถทำให้ความรำคาญใจนี้สงบลงได้
เสิ่นจือเหยียนชะงักไป ก่อนจะคลี่ยิ้ม ที่แท้เตี้ยนเซี่ยก็ส่งองค์หญิงไปเช่นนี้นี่เอง
มู่หรงสือตะลึงไป แสดงออกว่าผิดหวัง “ที่แท้ก็แก้ได้แล้ว”
เช่นนั้นก็คือ นางช่วยเตี้ยนเซี่ยไม่ได้เลย? นางโง่เขลาเกินไปแล้ว
มู่หรงฉือมองไปทางเสิ่นจือเหยียน แล้วส่งสายตาอย่างเต็มที่
เขากระแอม “องค์หญิง ความจริงแล้วเตี้ยนเซี่ยยังมีเื่ที่สำคัญมากให้องค์หญิงช่วย”
“ใช่ มีแต่องค์หญิงที่สามารถช่วยได้” มู่หรงฉือรีบพูดเสริมทันที
“เื่อะไรหรือ?” มู่หรงสือเบิกตากว้าง ทั้งดีใจทั้งตื่นเต้น
“หากถั่วแดงกับงาดำผสมเข้าด้วยกัน เตี้ยนเซี่ยอยากรู้ว่าจะต้องใช้วิธีใดจึงจะสามารถแยกถั่วแดงกับงาดำออกจากกันได้อย่างรวดเร็วที่สุด” ตาของเสิ่นจือเหยียนกลอกไปมา กระพริบตาให้เตี้ยนเซี่ย “องค์หญิงกลับจวนไปคิดให้ดี คิดได้แล้วก็รีบมาที่ตำหนักบูรพาเพื่อบอกเตี้ยนเซี่ย”
“ถั่วแดงกับงาดำผสมเข้าด้วยกัน จะแยกออกจากกันอย่างไร…” นางก้มหน้าครุ่นคิด ผ่านไปครู่หนึ่งก็พูดด้วยความดีใจ “สั่งให้นางกำนัลสิบกว่าคนมาคัดถั่วแดงออกก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?”
มีนางกำนัลตั้งมากมาย สามารถหานางกำนัลหลายคนมาช่วยกันเลือก เช่นนั้นก็จะยิ่งไวขึ้นไปอีก
นางภูมิใจกับตัวเองที่คิดวิธีอันยอดเยี่ยมเช่นนี้ออกมาได้
เสิ่นจือเหยียนหัวเราะ “องค์หญิง นางกำนัลสิบกว่าคนมาล้อมอยู่ด้วยกันค่อยๆ คัดเลือกช้าๆ นี่เป็วิธีที่โง่เง่าที่สุดพ่ะย่ะค่ะ นางกำนัลมากมายมาทำเื่เดียวกันหมด เช่นนั้นเื่อื่นๆ ก็ไม่ต้องทำแล้วอย่างนั้นหรือ?”
มู่หรงสือรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย ลูบหัวตัวเองหัวเราะบื้อๆ จากนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “เช่นนั้นข้าจะกลับไปคิดดีๆ เตี้ยนเซี่ย หม่อมฉันรู้มาว่าในเมืองมีร้านอาหารเปิดใหม่ร้านหนึ่ง ที่ร้านนั้นออกอาหารใหม่ออกมาสามชนิด คนที่เคยทานแล้วต่างชมกันไม่ขาดปากว่ามีรสชาติเฉพาะตัว กลิ่มหอมติดอยู่ในปาก ดีจนไม่ต้องพูดถึง...เพราะว่ามีแต่คนอยากลิ้มลองอาหารแบบใหม่จึงมีลูกค้าแน่นขนัด ห้องที่ร้านอาหารก็ไม่ได้มีมากนัก ต้องจองล่วงหน้าสามถึงห้าวัน เตี้ยนเซี่ย หม่อมฉันจองห้องล่วงหน้าเอาไว้แล้ว ตอนนี้พวกเราไปทานกันเถิดเพคะ”
“องค์หญิง วันนี้ไม่ได้” มู่หรงฉือพูดอย่างลำบากใจ ดวงตามองไปทางเสิ่นจือเหยียนพลางขยิบตา
“เหตุใดจึงไม่ได้เล่า? กว่าหม่อมฉันจะจองห้องได้ไม่ง่ายเลยนะเพคะ” มู่หรงสือหน้าม่อย “วันนี้ไม่ไป ก็ต้องรอไปอีกหลายวันเชียวนะเพคะ”
“เตี้ยนเซี่ยเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก ้าพักผ่อน” เสิ่นจือเหยียนดึงองค์หญิงพานางเดินออกไปด้านนอก “อาหารใหม่ของร้านอาหารจะไปทานเมื่อไหร่ก็ได้ องค์หญิง ข้าจะไปศึกษากับท่านสักหน่อยว่าจะทำอย่างไรจึงจะแยกถั่วแดงออกจากงาดำได้รวดเร็วที่สุด”
“เ้าอย่ามาลากข้า ปล่อยนะ...” นางโวยวายออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “เสิ่นจือเหยียน เ้าปล่อยข้า!”
เสียงร้องโวยวายดังไกลออกไปเรื่อยๆ ความสบายใจแผ่ออกมาทั่วใบหน้าของมู่หรงฉือ ก่อนนางจะถอนหายใจออกมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้