ฝนฤดูสารทยังคงโปรยปราย เฉียวเยว่มองออกไปนอกหน้าต่างฟังเสียงฝนซู่ซ่า ไม่รู้เพราะเหตุใดนางรู้สึกว่าแม้แต่เสียงฝนของที่นี่ยังดูเหมือนจะดังกว่าเสียงฝนในเมืองหลวง แน่นอนว่านี่คือความเหลวไหลเพ้อเจ้อของนางเอง ความหนักเบาของฝนเกี่ยวข้องกันเสียที่ไหน เฉียวเยว่รู้ว่าตนเองเพียงคิดไปเรื่อยเปื่อย นางหัวเราะออกมา ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองช่างไร้สาระยิ่งนัก
นางยืนข้างหน้าต่าง ััได้ถึงสายลมสารทที่หอบความหนาวเย็นเข้ามาระลอกหนึ่ง นางดึงหน้าต่างปิดเข้ามา เพิ่งปิดหน้าต่างเสร็จ อวิ๋นเอ๋อร์ก็เข้ามาในห้อง พอเห็นคุณหนูทำเช่นนี้ ก็บ่นทันที "คุณหนูทำเช่นนี้ไม่ได้นะเ้าคะ หากเป็ไข้ขึ้นมาอีกจะทำอย่างไร"
นึกถึงตอนเปียกฝนที่วัดหานซานคราก่อน อวิ๋นเอ๋อร์ก็วิตกอย่างหนัก "วันนี้อากาศเย็น ไม่ได้ ข้าจะไปหาฟืนมาเผาเตรียมไว้ให้ท่านเดี๋ยวนี้เลย มิเช่นนั้นในห้องหนาวเย็น ข้าไม่วางใจ"
อวิ๋นเอ๋อร์มีอุปนิสัยใจร้อน ไม่ช้าก็ถือร่มออกไปข้างนอกโดยไม่รั้งรอ
เสี่ยวชุ่ยเองก็นั่งไม่ติด "เช่นนั้นข้าไปดูโจ๊กให้คุณหนูก่อนว่าเสร็จหรือยัง?"
นางรีบออกไป วันนี้หรงจ้านไม่ได้เตรียมอาหารเย็นให้พวกเขา เนื่องจากฝนตกหนัก พื้นห้องครัวมีแต่โคลนเละเทะ หรงจ้านทนความสกปรกเช่นนั้นไม่ได้จริงๆ จึงหมดหนทาง แต่เฉียวเยว่กลับรู้สึกว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาออกมาเที่ยวเล่น แต่ต้องให้หรงจ้านมาทำอาหารรับรองพวกเขา อย่างไรเสียผู้อื่นก็เป็ถึงท่านอ๋อง
นางรู้สึกหนาวเล็กน้อย จึงถอดชุดตัวนอกที่พอดีตัวออก เปลี่ยนเป็เสื้อสีม่วงที่หลวมหน่อย แต่กลับสวมใส่สบาย
เฉียวเยว่เปลี่ยนอาภรณ์เสร็จก็อบอุ่นขึ้นมาก พูดถึงเื่นี้ มารดามักมองการณ์ไกลกว่าพวกนาง จึงเตรียมเสื้อผ้าหนาๆ มาเผื่อหลายตัว ตอนนั้นนางรู้สึกว่าไม่จำเป็ แต่ดูจากตอนนี้กลับจำเป็อย่างยิ่ง
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เฉียวเยว่ออกมาห้องด้านนอก แล้วร้องถามเสียงใส "ใครน่ะ"
"หรงจ้าน"
อักษรเรียบง่ายสองคำ เสียงของหรงจ้านเยือกเย็น แต่แม้จะเป็เช่นนั้นก็ยังดีกว่าอากาศที่เย็นลงเวลานี้มากนัก แม้ชายหญิงควรหลีกเลี่ยง แต่เฉียวเยว่กลับไม่ได้คิดมาก ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็ดูแลนางั้แ่เล็กจนโต เฉียวเยว่จึงไว้ใจเขาโดยไม่มีข้อแม้
"พี่จ้านรีบเข้ามาเถิดเ้าค่ะ" นางเอ่ยเสียงเบา
อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ เขาออกมาได้อย่างไร?
เสียงประตูเปิดออก แต่ดูเหมือนจะถูกคนใช้เท้าถีบเข้ามามากกว่า เฉียวเยว่ค่อนแคะหรงจ้านในใจ แต่กลับรีบวิ่งเข้ามา "มาข้าช่วยเองเ้าค่ะ"
หรงจ้านเข้ามาพร้อมกับกะละมังใบใหญ่ในมือ เฉียวเยว่มองลงไป ดวงตาก็เปล่งกระกาย "โอ้โห ปูเยอะจัง ได้ยินว่าสะใภ้หวังจะทำอาหารมิใช่หรือ เหตุใดท่านถึงทำเองเล่า?"
"ไม่ได้ทำอะไร เพียงนึ่งปูเท่านั้นเอง"
เฉียวเยว่ชอบกินสิ่งนี้ หรงจ้านผงกศีรษะ ก่อนจะวางกะละมังใบใหญ่ลง เฉียวเยว่ชำเลืองดู ดูเหมือนจะมีหกเจ็ดสิบตัว นางเดาะลิ้น "พี่จ้านประเมินการกินของข้าสูงไปแล้ว" หลังจากนั้นก็ยิ้มหวานอย่างน่าเอ็นดู
หรงจ้านมองนางปราดหนึ่ง "ไม่ใช่ทำให้เ้าคนเดียว พวกเราก็ต้องกินเหมือนกัน"
เฉียวเยว่ย่อมรู้ นางแค่ล้อเล่นเท่านั้น แต่พี่จ้านดูเหมือนจะไม่รับมุก
เฉียวเยว่ทำปากยื่น "ดูน่าอร่อยมาก"
นางเปลี่ยนหัวข้อทันควัน
หรงจ้านอมยิ้ม "ข้าคุยกับอาจารย์ ผู้าุโฉี และฉีอันแล้ว ว่าจะมากินอาหารที่ห้องชั้นนอกของเ้า เ้าจะได้ไม่ต้องเดินไปเดินกลับ ฝนตกหนัก เดี๋ยวจะต้องไอเย็นเปล่าๆ"
สิ้นคำ สายตาก็เลื่อนไปที่ตัวเฉียวเยว่ นางสวมเสื้ออ่าวผ้าไหม อาจเป็เพราะตัวหลวมโพรกจึงมองไม่เห็นรูปร่าง เข้ากับดวงหน้าน้อย ใบหน้าของนางมิได้เรียวเล็กเป็รูปเมล็ดแตงตามกระแสนิยม
นางมีใบหน้ารูปไข่ แต่แม้จะเป็เช่นนี้กลับยิ่งขับเสริมให้นางดูพิลาสเฉิดฉัน
แน่นอนว่าอาภรณ์เรียบง่ายตอนนี้สีสันไม่ฉูดฉาด แต่หรงจ้านยังคงไม่อาจละสายตา
เขาถอยหลังก้าวหนึ่ง จะว่าไปไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาใน่ครึ่งปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าเขาจะป่วย ยามมองนางคราใดก็มักมองจนเหม่อลอยอยู่เสมอ ไม่ว่าอย่างไรก็ละสายตาไปไม่ได้ เขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน พูดไปแล้วก็น่าอดสูใจยิ่ง
เขากำหมัดแน่น คิดไว้ว่าหลังจากกลับเมืองหลวงจะต้องเชิญหมอหลวงมาตรวจดูสักหน่อย เขามักรู้สึกว่าตนเองผิดปรกติ คงจะไม่เป็โรคร้ายบางอย่างกระมัง?
นอกจากนี้... เขากดนิ้วมือที่หน้าอก รู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นแรงขึ้น
เฉียวเยว่ไหนเลยจะสังเกตเห็นความผิดปรกติของปรงจ้าน สายตาของนางล้วนอยู่ที่ปูตัวน้อยๆ "ปูเหล่านี้คือปูที่พวกเด็กๆ ไปจับมาเมื่อตอนเที่ยงวันใช่หรือไม่ ช่างน่าสงสารยิ่ง พวกเ้ากำลังจะถูกกินรู้ตัวหรือไม่"
เฉียวเยว่ก้มลงไปมองใกล้ๆ พลางหัวเราะคิกคักราวกับเด็กน้อย ท่าทางเช่นนี้ของนางช่างน่าขันยิ่งนัก
หรงจ้านยื่นมือออกไปคิดจะแตะมุมปากที่กำลังยิ้มอย่างน่ารักของนาง แต่ยังไม่ทันัั เฉียวเยว่ก็หันมามองเขาพอดี ดวงหน้าขาวเนียนนุ่มปานจะคั้นออกมาเป็น้ำไล้ผ่านปลายนิ้วเขา
เฉียวเยว่ร้องเอ๋ ก่อนถามว่า "ท่านจะทำอะไร?"
หรงจ้านตกประหม่า เขารู้สึกว่าปลายนิ้วของตนเองเหมือนถูกลวก ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
เขารู้สึกได้ว่าความร้อนสายนั้นพุ่งขึ้นไปถึงศีรษะ
เฉียวเยว่เห็นเขาตกตะลึง ก็ยิ้มอย่างเ้าเล่ห์แสนกล "นี่ท่านคงมิได้คิดจะหยิบปูมากินกระมัง ฮิฮิ ถูกข้าจับได้แล้ว ท่านจะแอบกินก่อนไม่ได้ พวกท่านตายังไม่มากันเลย”
นางประกบมือทั้งสองอย่างร่าเริงสดใส "ไม่รู้ว่า..."
ยังไม่ทันพูดจบ หรงจ้านก็ลุกขึ้น "ข้าอุ่นสุราไว้ ต้องกลับไปเอา"
อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ต้องกินแกล้มกับสุราถึงจะดีที่สุด
เขาหมุนตัวออกไปจากห้อง เฉียวเยว่ยื่นมือไปคว้าชายเสื้อของเขาไว้ นางห่วงแต่ของกิน มิได้สังเกตว่าเสื้อของหรงจ้านเปียกชื้น ด้านหน้าเห็นไม่ชัด แต่พอหมุนตัวไปด้านหลังกลับเห็นชัดเจน
เมื่อครู่เขากางร่ม แต่ดูเหมือนว่ากลัวฝนจะเปียกถูกปู จึงทำให้แผ่นหลังของตนเองเปียกไปทั้งแถบ
"พี่จ้าน ท่านรีบกลับห้องไปเปลี่ยนชุดนะเ้าคะ มิเช่นนั้นอาจเป็ไข้ไม่สบายได้ ส่วนสุราเดี๋ยวข้าไปเอาที่ห้องครัวเอง ไม่เสียเวลานักหรอกเ้าค่ะ" เฉียวเยว่เอ่ยทันที
นอกจากสาวใช้สองคนที่เฉียวเยว่พามา หรงจ้านก็พามาแต่ซื่อผิงที่เป็คนบังคับรถม้า ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีคนปรนนิบัติเขา
ดังนั้นนอกจากเฉียวเยว่ คนอื่นๆ จะทำสิ่งใดล้วนต้องช่วยเหลือตนเอง แต่เป็เช่นนี้ก็ดี พวกบุรุษมักไม่ค่อยมีพิธีรีตองมากนัก เว้นแต่หรงจ้านที่อาจเื่มากหน่อย แต่พวกเขาล้วนชินกันแล้ว
"ไม่เป็ไร แค่เื่เล็กน้อยเท่านั้น"
หรงจ้านดูจะไม่นำพา แต่เฉียวเยว่กลับรู้สึกว่าไม่ได้ นางยู่ปากน้อยๆ แล้วพูดอย่างจริงจัง "มันไม่ดีสำหรับท่าน"
หรงจ้านทอยิ้มอ่อนจาง "ไม่เป็ไรจริงๆ"
เฉียวเยว่ยึดชายเสื้อของเขาไม่ปล่อย แล้วพูดอีกอย่างหนักแน่น "ท่านรับปากข้าก่อน ว่าจะกลับไปเปลี่ยนอาภรณ์ ส่วนเื่อื่นๆ ให้ข้าจัดการเอง ท่านเป็เช่นนี้ข้าจะวางใจได้อย่างไร อย่านึกว่าเป็บุรุษแล้วจะล้มป่วยไม่ได้ ช่างไม่รักตนเองเสียบ้างเลย"
หรงจ้านไม่ขยับ มองดูดวงตาแฝงแววตำหนิของเฉียวเยว่ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยคำตัดพ้อต่อว่า ไม่อ่อนโยนเหมือนปรกติ "ไปเปลี่ยนอาภรณ์"
เฉียวเยว่ยืนกราน
หรงจ้านก้มหน้า พลันรู้สึกว่าหัวใจเริ่มพองโตราวกับฟองน้ำ และเต้นดังโครมคราม ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกเหมือนว่าฟองน้ำได้ะเิโพละกลายเป็ดอกไม้เล็กจ้อย
เขายิ้มน้อยๆ แต่น้ำเสียงมิได้เผยความตื่นเต้นออกมา "ข้ากลับไปเปลี่ยนก็ได้ แต่เ้าอย่าออกไปไหน ข้างนอกฝนตก ในลานสวนมีแต่โคลน เดี๋ยวข้าจะให้ซื่อผิงไปเอาเอง"
เฉียวเยว่เป็แม่นาน้อยที่เชื่อฟัง นางตอบอื้อรับปาก
หรงจ้านอมยิ้ม แล้วลูบหัวนาง "เด็กดี"
"พวกเ้าทำอะไรกัน" น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น
หรงจ้านหันไปก็เห็นฉีจือโจว เขาถือร่มเดินเข้ามา หน้าเขียวเล็กน้อย พูดตามตรง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็รู้สึกว่าหรงจ้านเป็คนวิปริตไร้ยางอาย
มิเช่นนั้น เขาจะคิดเกินเลยต่อเฉียวเยว่ซึ่งเด็กกว่าตนเองมากขนาดนี้ได้อย่างไร
นี่เรียกว่าคิดเกินเลยกระมัง?
เห็นสีหน้าเคลิบเคลิ้มแทบเป็แทบตายเพียงชั่วพริบตา ก็มองออกว่าเขาหมายตาเฉียวเยว่ของตนเข้าแล้ว อยากจะเข้าไปซัดคนผู้นี้ให้กระเด็นไปสักหนึ่งหมื่นแปดพันลี้จริงๆ
หรงจ้านเห็นสายตาของฉีจือโจว ก็ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
เฉียวเยว่ยังไม่รู้สึกรู้สา
นางรีบฟ้องทันควัน "ท่านลุง ท่านดูพี่จ้านสิเ้าคะ คนอะไรไม่รู้จักทะนุถนอมร่างกายของตนเองบ้างเลย อาภรณ์ของเขาเปียกไปหมดแล้ว ยังจะไปโรงครัวอีก หากไม่ไปเปลี่ยนชุดอาจเป็ไข้เอาได้ ท่านช่วยต่อว่าเขาทีเถอะ เอาให้หนักๆ เลย"
เฉียวเยว่เชิดหน้าอย่างเยาะหยัน แต่แววตากลับเจือไปด้วยความใส่ใจ ช่างปากกับใจไม่ตรงกันจริงๆ
คนที่อยู่ที่นี่แต่ละคนล้วนแต่เป็คนฉลาด ไหนเลยจะดูไม่ออก
หรงจ้านรู้สึกอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก
เขาผ่อนคลายอารมณ์แล้วเอ่ยว่า "ไม่ต้องมาตำหนิข้า ข้าบอกแล้ว จะกลับไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้"
ฉีจือโจวมาก็ดี เขายิ้มน้อยๆ "อาจารย์ รบกวนท่านไปโรงครัวเอาสุราที่ข้าอุ่นไว้มาได้หรือไม่?"
ฉีจือโจว "..."
หรงจ้านอมยิ้ม "เอาล่ะ ข้าจะกลับไปเปลี่ยนอาภรณ์ก่อน"
หลังจากนั้นก็ก้มมองมือของเฉียวเยว่ที่คว้าชายเสื้อของตนเองอยู่ เฉียวเยว่ปล่อยมือทันควัน แล้วพูดราวกับเป็ผู้ใหญ่ "อื้ม ต้องอย่างนี้สิถึงจะถูกต้อง"
หรงจ้านมุมปากโค้งขึ้น
พอเห็นหรงจ้านไปแล้ว ฉีจือโจวก็รู้สึกเหมือนว่าหลานสาวตัวน้อยของตนเองกำลังจะถูกหมาป่าคาบไป ภายในใจยิ่งพะว้าพะวง แต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดกับเฉียวเยว่อย่างไร เพราะเด็กก็มีแต่ความปรารถนาดี เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยด้วยความอึดอัดใจ
"ข้าจะไปเตรียมสุรา"
เฉียวเยว่เห็นบรรยากาศแปลกพิกล ก็พึมพำอย่างงุนงง "ท่านลุงกับพี่จ้านดูแปลกๆ พบหน้ากันทีไรก็เป็อย่างนี้ทุกที"
ช่วยไม่ได้ที่เฉียวเยว่จะคิดเช่นนี้ เพราะความจริงก็เป็อย่างที่เห็น
ส่วนฉีจือโจวแม้อึดอัดใจปานใดก็พูดไม่ได้ จำต้องอดกลั้นไว้ก่อน อย่างไรเสียผู้อื่นก็ไม่ได้ทำอะไร
แต่ไฟโทสะสายนั้นก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกหนหลังจากหรงจ้านมาปรากฏตัวอีกครา
เ้าหนุ่มบัดซบผู้นี้แต่งตัวอะไรของมัน
ทุกคนกำลังเตรียมตัวรับประทานอาหารเย็น ต่างมองไปที่หรงจ้านซึ่งเปลี่ยนชุดกลับมา
ชุดผ้าไหมตัวยาวสีม่วงอ่อน... ตัวหลวมโพรก
หลังจากนั้นสายตาของพวกเขาก็หันมามองเฉียวเยว่อย่างพร้อมเพรียง
เฉียวเยว่ร้องอย่างประหลาดใจ "เอ๋? พี่จ้านเ้าคะ ชุดของพวกเราเหมือนกันเปี๊ยบเลย ใจตรงกันจริงๆ"
ใช่ ใจตรงกัน!
หึๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้