เล่มที่ 10 บทที่ 283 นกหลีหลวน
แต่ว่าการใช้กระบี่…
มีหรือที่สำนักเวิ่นเจี้ยนจะด้อยกว่าสำนักหนานิ?
เพียงจิตสำนึกเดียวปราณกระบี่อิ๋นเหวินก็พวยพุ่งออกมาแล้ว…
เมื่อเผชิญหน้าเข้ากับทะเลเพลิงอันร้อนแรง ปราณกระบี่อิ๋นเหวินก็ไม่คิดถอยหนีแม้แต่น้อย ทันใดนั้นลำแสงกระบี่เจิดจ้าและเต็มไปด้วยกระแสไอเย็นก็พุ่งเข้าไปในทะเลเพลิงทันที และเวลานี้เองจึงทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างผู้บำเพ็ญกระบี่และผู้บำเพ็ญเปลวไฟอย่างชัดเจน เพราะในฐานะผู้บำเพ็ญกระบี่อย่างหลินเฟยแล้ว เพียงมีปราณกระบี่อิ๋นเหวินในมือ ก็สามารถบงการได้อย่างอิสระตามใจนึกคิด
บัดนี้ทะเลเพลิงอันร้อนแรงที่อยู่เบื้องหน้ากลับไม่สามารถทำอะไรหลินเฟยได้แม้แต่น้อย ปราณกระบี่อิ๋นเหวินในตอนนี้ราวกับัที่กำลังโฉบเฉี่ยวไปมาในทะเลเพลิงเลยทีเดียว…
เมื่อมีปราณกระบี่ในมือ ไม่ว่าเคล็ดวิชาอะไรก็ไม่อาจย่างกรายเข้ามาได้
เพียงครู่เดียวหลินเฟยก็สะบั้นทำลายทะเลเพลิงทันที จากนั้นทะเลเพลิงก็ถึงกับแยกออกเป็สองฝั่ง…
ในตอนนี้หลินเฟยไม่ใช่หลินเฟยคนเดิมเหมือนตอนที่มาพิภพซ่างจงใหม่ๆอีกต่อไป เพียงสะบั้นกระบี่ออกไป ต่อให้เป็คนระดับเ้าสำนักหนานิก็ยังยากที่จะต้านทานไหว…
ไม่นานก็เกิดเป็เสียงดังสนั่นขึ้นมา…
ก่อนที่จะเห็นว่ากระบี่เปลวไฟในมือเ้าสำนักหนานิถูกสะบั้นจนแตกเป็เสี่ยงๆ สุดท้ายก็กลายเป็สะเก็ดเปลวไฟล่องลอยไปทั่ว เพียงครู่เดียวก็รวมตัวกันเป็เปลวไฟสีฟ้าแดงกลับคืนสู่มือนักพรตหยางิอีกครั้ง…
“ตอนนี้จะคุยกันดีๆ ได้หรือยังล่ะ?”
ทว่าหลินเฟยยังไม่ทันจะเอ่ยจบ นักพรตหยางิก็ยกมือขึ้น จากนั้นเปลวไฟในมือก็ะเิออก กลายเป็เปลวไฟอันร้อนแรงพวยพุ่งขึ้นไปบนฟากฟ้า…
แถมยังได้ยินเสียงนกหวีดร้องไปพร้อมๆกับเปลวไฟที่พวยพุ่งอีกด้วย…
พริบตาถัดมาก็ปรากฏเป็สัตว์อสูรโบยบินออกมาจากเปลวไฟ…
มันมีขนสีฟ้าแดง…มิวายจะต้องเป็นกหลีหลวนแน่นอน!
ตำนานได้บันทึกไว้ว่านกหลีหลวนเกิดจากหงส์ไฟกับนกหลวน มันนิยมกลืนกินเปลวไฟเป็อาหาร แถมยังมีนิสัยดุร้ายอำมหิตเป็อย่างมาก
ดังนั้นหลังจากนกหลีหลวนปรากฏกายออกมา มันก็กลืนกินเปลวไฟที่รายล้อมรอบตัวทันที ไม่นานเปลวไฟในตัวนกหลีหลวนก็ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น…
จากนั้นนกหลีหลวนก็สยายปีกออก ก่อนจะกางกรงเล็บแหลมคมที่มีเปลวไฟปกคลุมทั้งสองข้างกระหน่ำจ้วงเข้ามาทันที ทันใดนั้นห้วงมิติรอบด้านก็บิดเบี้ยวจนไม่เป็รูปราวกับว่าห้วงมิตินี้กำลังจะแตกสลาย…
“ยังไม่ยอมแพ้อีกหรือ?” หลินเฟยรีบบงการปราณกระบี่อิ๋นเหวินให้กลายเป็โซ่ตรวนน้ำแข็งทันที โดยหมายจะหยุดยั้งกรงเล็บอันแหลมคมเอาไว้…
ทว่าเสี้ยววินาทีที่ปราณกระบี่อิ๋นเหวินกำลังขยับ นกหลีหลวนก็อ้าปากพ่นไฟออกมาทันที เมื่อกวาดตาดูก็เห็นราวกับูเาไฟะเิก็ว่าได้ มันมีพลังร้ายกาจชนิดที่สามารถเผาทำลายทุกอย่างให้วอดวายได้ในพริบตา จากนั้นทั่วทั้งบริเวณร้อยจ้างก็ถูกเผาทำลายจนไหม้เกรียมไปหมด แม้แต่ขั้นบันไดที่ทำจากหินชิงสือ ก็ยังถูกแผดเผาจนกลายเป็สีแดงก่ำ…
หลินเฟยเห็นดังนั้นก็ถึงกับถอยร่นออกมาทันที ในใจก็มิวายตกตะลึงขึ้นเล็กน้อย เพราะนกหลีหลวนที่เกิดจากเปลวไฟตัวนี้ถึงขั้นสามารถสำแดงเปลวไฟที่แท้จริงของนกหลีหลวนออกมาได้…
นั่นถือว่าเป็สุดยอดเปลวไฟขั้นโฮ่วเทียนเลยทีเดียว!
“แต่สุดท้ายขั้นโฮ่วเทียนก็ยังเป็ขั้นโฮ่วเทียนอยู่วันยังค่ำ…” หลังจากที่ถอยห่างออกมาจากทะเลเพลิง ปราณกระบี่อิ๋นเหวินก็สลายกลายเป็ูเาน้ำแข็งขนาดั์ และสกัดต้านเปลวไฟร้อนแรงที่กำลังพวยพุ่งทันที…
ขณะเดียวกันหลินเฟยก็โคจรเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่จูเทียน เพื่อชักนำวิถีกระบี่ที่อยู่ในรากฐานบำเพ็ญตนเองออกมา…
เพียงวิถีกระบี่ขยับเล็กน้อย ปราณกระบี่ทั้งห้าก็ตอบรับโดยพร้อมเพรียงกัน
ดวงตะวันร้อนแรงที่เกิดจากปราณกระบี่ซีรื่อก็พลันปรากฏออกมาทันที…
ภายในดวงตะวันแสนร้อนแรงนั้น ก็ปรากฏเป็นกจิงอูสามขากำลังกระพือปีกคล้ายกับเตรียมตัวจะทะยานบิน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงนกหวีดร้องดังก้องกังวาน ไม่นานก็มีลำแสงสีทองปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ แม้แต่เปลวไฟที่นกหลีหลวนพ่นออกมา ก็ยังต้องมอดดับเพียงเพราะถูกลำแสงสีทองสาดส่องเข้าไป แถมกลิ่นอายที่แสนร้อนแรงและบ้าคลั่งก็ยังดูถดถอยลงไปมาก…
จากนั้นนกจิงอูสามขาก็ทะยานออกมาจากดวงตะวันอันร้อนแรงพร้อมกับเปลวไฟที่ลุกโชน ก่อนที่มันจะพุ่งชนนกหลีหลวนเข้าอย่างแรง…
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงโหยหวนดังขึ้นมา…
นกหลีหลวนร่วงตกลงมาจากฟากฟ้า ก่อนจะกระแทกกับพื้นอย่างหนัก กระทั่งเกิดเป็เสียงดังกระหึ่มออกมา กายเนื้อที่เกิดจากเปลวไฟของมันก็เต็มไปด้วยาแมากมาย เเปลวไฟที่ลุกโชติ่ตามตัวในตอนแรกก็อ่อนแรงลงมากเหมือนกับพร้อมจะมอดดับได้ทุกเมื่อ ขณะที่มันกำลังเงยหน้ามองนกจิงอูสามขา ก็ปราศจากท่าทีโเี้ดั่งเดิม ภายใต้เสียงครวญครางของมันแฝงไปด้วยความพ่ายแพ้อย่างแท้จริง…
แน่นอนว่าขั้นเซียนเทียนกับขั้นโฮ่วเทียนนั้น แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว…
แม้เปลวไฟของนกหลีหลวนจะร้ายกาจเพียงใด แต่สุดท้ายก็เป็แค่เปลวไฟขั้นโฮ่วเทียนเท่านั้น ส่วนปราณกระบี่ซีรื่อของหลินเฟยเกิดจากแร่ขั้นเซียนเทียน อีกทั้งบัดนี้ยังมีวิถีกระบี่จากอักษรภาพคอยส่งเสริมไว้อีก จึงทำให้พลังทวีความรุนแรงกว่าเดิมนับสิบเท่า เพียงพุ่งชนแค่ครั้งเดียว ก็ทำให้นกหลีหลวนที่แสนโเี้ถึงกับบอบช้ำอย่างหนัก…
หลังจากเอาชนะได้ หลินเฟยก็ไม่คิดจะออมมืออีกต่อไป เพียงยกมือ ูเาน้ำแข็งก็สลายกลายเป็ปราณกระบี่อิ๋นเหวินลอยกลับสู่ฝ่ามือ ก่อนที่หลินเฟยจะสะบั้นออกไปทันที…
พริบตาถัดมาก็มีัน้ำแข็งพุ่งทะยานขึ้น จากนั้นกระแสไอเย็นก็ปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ กระทั่งแช่แข็งสรรพสิ่งรอบด้านจนหมด ทำให้เกิดเป็ละอองหิมะโปรยปรายไปทั่วราวกับโลกทั้งใบกำลังตกอยู่ในห้วงน้ำแข็ง…
ทุกที่ที่ลำแสงกระบี่พาดผ่านไป ล้วนถูกแช่เป็น้ำแข็งจนหมด
“หือ?”
ทว่า…
หลังจากสะบั้นกระบี่ออกไปแล้ว หลินเฟยก็ถึงกับชะงักทันที
เพราะหลินเฟยพบว่าตนเองสะบั้นไม่โดนอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกหลีหลวนหรือนักพรตหยางิก็ตาม ทุกอย่างสลายไปก่อนที่ลำแสงกระบี่จะประชิดตัวเสียอีก…
ทุกอย่างหายไปโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ แม้แต่น้อย
บทจะหายก็หายไปทันที…
“หรือว่าจะไม่ใช่นักพรตหยางิตัวจริง?” เมื่อคิดได้ดังนั้น หลินเฟยก็ใจกระตุกขึ้น แต่ว่าในตอนนี้เขายังไม่อาจพิสูจน์อะไรได้ จึงทำได้เพียงกดข่มความสงสัยนั้นเอาไว้ ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังบันไดขั้นที่สอง…
บันไดทั้งสิบแปดขั้นนี้นับว่าประหลาดมากเลยทีเดียว
หากขั้นแรกเจอนักพรตหยางิ แล้วขั้นที่สองล่ะ จะเจอใคร?
เมื่อคิดไปคิดมา จู่ๆหลินเฟยก็หัวเราะออกมา ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ
‘จะคิดเยอะไปทำไม หากคิดจะเปิดโลงศพหินนั่น ก็แค่ต้องก้าวผ่านบันไดหินทั้งสิบแปดขั้นเท่านั้น จะมัวคิดใส่ใจว่าจะเจอใครทำไม?’
หลังจากเข้าใจเื่ทุกอย่างแล้ว หลินเฟยก็ไม่ลังเลอีกต่ออีก รีบก้าวขึ้นบันไดขั้นที่สองไปทันที…
และชั่วขณะที่หลินเฟยกำลังก้าวขึ้นบันไดขั้นที่สองนั้น จิงต้าไห่ที่รออยู่ที่เชิงบันไดก็มีสีหน้าราวกับเจอผี…
‘ใช่แล้ว…’
เวลานี้เองจิงต้าไห่รู้สึกว่าตนเองกำลังถูกผีหลอกเข้าให้แล้ว…
เพราะจิงต้าไห่เห็นนักพรตชราคนหนึ่งกำลังก้าวเท้าออกมา…
เขาคนนั้นคือนักพรตหยางิ!
คนผู้นี้ก็คือเ้าสำนักหนานิ เป็คนที่จิงต้าไห่เรียกว่าศิษย์พี่ แถมยังเป็คนที่เพิ่งถูกหลินเฟยสะบั้นจนหายตัวไปเมื่อครู่!
จิงต้าไห่รู้สึกแย่ลงไปทันที…
เมื่อคิดถึงรอยยิ้มแสนพิลึกที่นักพรตหยางิยิ้มให้ตนเองตอนอยู่ที่หุบเขาทางเหนือแล้ว จิงต้าไห่ก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมา แวบแรกที่เห็นก็คิดอยากจะหนีไปทันที…
น่าเสียดายที่ไม่ทันเสียแล้ว…
เพราะนักพรตหยางิเห็นจิงต้าไห่เข้าแล้ว
“ศิษย์น้องจิงงั้นหรือ?”
“อ…อย่าเข้ามานะ!” เพียงนักพรตหยางิเอ่ยปากพูด จิงต้าไห่ก็ถึงกับใจนต้องถอยหนี
------------------------------------------------------------------------------------------------------