ยิ่งไปกว่านั้นตำบลเหลียนซานห่างไกลจากตัวอำเภอ การคมนาคมก็ไม่สะดวก อีกทั้งมีที่นาดีค่อนข้างน้อย หลิวเต้าเซียงไม่ได้้าซื้อที่ดินที่นี่ด้วยซ้ำ
ตกกลางคืน คนทั้งครอบครัวหลบอยู่ในห้องพร้อมกับถือเกี๊ยวหมูผักกาดขาวที่ร้อนอุ่นอยู่ในมือคนละถ้วย
“เฮ้อ หากท่านยายได้กินเกี๊ยวกับเราคงต้องดีใจมากเป็แน่” อารมณ์ของจางกุ้ยฮัวไม่ได้ดีนัก
เมื่อเห็นทั้งครอบครัวมองมา นางจึงยิ้มแล้วเอ่ย “ท่านตาของพวกเ้า แต่ก่อนนั้นเป็อาจารย์ที่สอนหนังสือในหมู่บ้านห้าสิบลี้”
สิ่งนี้ทำให้หลิวเต้าเซียงประหลาดใจ นางนึกไม่ถึงว่าท่านตาของตนยังเคยเล่าเรียนด้วย
“บรรพบุรุษของท่านตาเ้าเคยเป็ขุนนางด้วย เพียงแต่ว่าต่อมาในรุ่นของตาทวดเ้าเกิดเหตุวุ่นวายในตระกูล จึงขายที่ดินไปกว่าครึ่ง เมื่อถึงรุ่นตาของเ้า จึงไม่สามารถจ้างอาจารย์ที่เก่งกาจนัก เพียงแต่สอนให้พวกเขาได้รู้ตำรา หลังจากมีซิ่วไฉสองสามคน คนในตระกูลจึงแยกย้ายกระจัดกระจาย ตาทวดของเ้าทนอยู่ที่บ้านเกิดไม่ไหว จึงพาตากับยายทวดของเ้ามายังอำเภอถู่หนิว ต่อมาจึงมาตั้งรกรากที่หมู่บ้านห้าสิบลี้”
หลิวเต้าเซียงมักรู้สึกตลอดว่าเฉินซื่อไม่เหมือนหญิงชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ที่แท้ก็มีที่มาเช่นนี้นี่เอง
“แล้วเช่นนั้น บ้านเราก็คือชนรุ่นหลังของขุนนางหรือ?”
นี่มันสุดยอดมากไม่ใช่หรือ?
สมัยโบราณนั้นแตกต่างจากยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเื่เหล่านี้ หากบรรพบุรุษเคยเป็ขุนนาง เช่นนั้นก็นับว่าเป็รุ่นหลังของขุนนาง
“เช่นนั้นก็เท่ากับว่าข้าได้แต่งงานกับรุ่นหลังของขุนนางหรือ?” หลิวซานกุ้ยหยอกล้อ และทำหน้าภาคภูมิใจ
จางกุ้ยฮัวเหลือบมองเขาอย่างโกรธเคือง “นั่นคือเื่ั้แ่แปดร้อยปีก่อนแล้ว ตอนนี้ตระกูลข้าก็แค่...”
มือเล็กๆ วางพาดบนหลังมือของนาง หลิวเต้าเซียงมองมาที่มารดาด้วยดวงตาใสบริสุทธิ์ แล้วกล่าวอย่างจริงจัง “ใครบอกกัน ไม่แน่ว่าน้าชายของเราอาจจะได้ดิบได้ดีก็เป็ได้ ไม่แน่ว่าท่านพ่อของเราอาจจะมีบุญวาสนาก็เป็ได้”
นางไม่รู้ว่าหลิวซานกุ้ยจะสามารถเดินทางสู่การเป็บัณฑิตและขุนนางได้หรือไม่ แต่์ให้โอกาสแก่เขาแล้ว นางเชื่อว่าพ่อผู้แสนดีจะต้องพยายามอย่างแน่
อีกทั้งพ่อผู้แสนดีเองก็รักและเป็ห่วงแม่ผู้แสนดีของนางมากนัก!
“กุ้ยฮัว อาจารย์บอกว่าข้าคือคนที่มีพร์ บอกว่าปีหน้าข้าสามารถลงสอบได้ ประจวบเหมาะกับการสอบฤดูใบไม้ร่วงปีหน้าพอดี”
นี่คือความหวัง และนี่คือคำสั่ง
“เอาเถิด ขืนยังไม่กินอีกเดี๋ยวเกี๊ยวจะเย็นหมด” จางกุ้ยฮัวรู้สึกว่าน้ำตาเริ่มซึมออกมา แต่ก็ไม่อยากให้บุตรสาวหัวเราะเยาะ จึงเร่งทุกคนให้รีบกินเกี๊ยว แล้วก้มหน้าบดบังความซาบซึ้งของตนเอง
หลิวชิวเซียงที่กําลังเตรียมกินเกี๊ยวก็เงยหน้าขึ้นทันที “ท่านแม่ อีกสองวันท่านทำเผื่อไว้มากหน่อย และเก็บแช่เย็นไว้ด้านหลัง ข้ากับน้องรองจะส่งไปให้ท่านยาย”
“เอ๋ เหตุใดข้าจึงนึกไม่ถึง คราวนี้ท่านแม่ต้องชมท่านพี่ข้าแล้วนะ” หลิวเต้าเซียงตบท้ายทอยตนเองเบาๆ
“ก็ได้ ครั้งหน้าให้เ้าเป็คนพูด” หลิวชิวเซียงหยิบตะเกียบมองดูท่าทางน่ารักของน้องสาวแล้วขบริมฝีปากยิ้ม
“เช่นนั้นวันรุ่งขึ้นต้องไปซื้อเนื้อมาเพิ่ม เต้าเซียงจะเอาไก่ไปขายไม่ใช่หรือ?” หลิวซานกุ้ยชอบการที่คนทั้งครอบครัวมาล้อมวงผิงไฟเพื่อความอบอุ่น และพูดคุยหัวเราะกันไป
ภาพที่อบอุ่นเช่นนี้เขาจะไม่ลืมมันไปตลอดชีวิต
พูดถึงเื่ขายไก่แล้ว หลิวเต้าเซียงยังนึกขึ้นได้อีกเื่ที่ลืมบอกกับหลิวซานกุ้ย
“ท่านพ่อ คิดจะเก็บไว้สักตัวหรือไม่?”
“เพื่ออะไร? เ้าอยากกินหรือ? คงไม่ได้!” คิ้วสวยของจางกุ้ยฮัวขมวดเข้าหากัน ไม่ใช่ว่านางตระหนี่หรืออะไร เพียงแต่ฝั่งของหลิวฉีซื่อมีสายตาสองคู่ที่จับตาดูพวกนางเพิ่มขึ้นมา อาหารที่ทำจากไก่ไม่ว่าจะตุ๋น ผัด ทอด หรือนึ่งก็ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนเกินไป ไม่มีทางปิดบังได้มิด จุดนี้ยิ่งทำให้นางอยากรีบแยกบ้านเสียที
ส่วนเกี๊ยวของวันนี้ นางอาศัยจังหวะที่หลิวฉีซื่อพาหลิวเสี่ยวหลันและเด็กรับใช้สองคนออกจากบ้านจึงแอบทำไว้ แล้วยังให้หลิวเต้าเซียงพาหลิวชิวเซียงเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูห้องปีกตะวันตกด้วย เพื่อกันไม่ให้ใครเข้ามากะทันหัน
“ท่านแม่ ไม่ใช่ ข้าแค่จู่ๆ ก็นึกได้ว่า ก่อนตรุษจีนเราควรมอบของขวัญเทศกาลให้อาจารย์หรือไม่?”
จางกุ้ยฮัวไม่แน่ใจเื่นี้ ส่วนหลิวซานกุ้ยเองก็ไม่มีประสบการณ์
เทศกาลไหว้พระจันทร์หนก่อน ก็ได้หลิวเต้าเซียงพูดออกมาว่าควรนำขนมไหว้พระจันทร์ไปมอบให้กัวซิวฝาน หลิวซานกุ้ยจึงเอาไปให้แก่บ้านอาจารย์
ผู้ใหญ่ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างเก้อเขิน เหตุใดจึงลืมเื่เช่นนี้ไปได้?
แต่จะโทษทั้งสองก็ไม่ได้ แต่ก่อนพวกเขาไม่เคยจัดการเื่เหล่านี้ ไม่ว่าจะบ้านตระกูลหลิวหรือบ้านตระกูลจาง ล้วนเป็คนต่างถิ่นที่ย้ายเข้ามา จึงไม่ได้มีญาติมิตรในหมู่บ้าน ยิ่งไม่มีการเอ่ยถึงการมอบของขวัญเช่นนี้ มีเพียงของที่ได้รับจากซูจื่อเยี่ย พวกเขารู้สึกว่าของขวัญจากตระกูลใหญ่นั้นมากมายนัก
“ดูเหมือนว่าควรจะส่งไป ถึงอย่างไรก็เป็อาจารย์ของเ้า” จางกุ้ยฮัวเองก็คิดว่าสมควรมอบให้
หลิวซานกุ้ยก้มศีรษะและเงียบ เมื่อกล่าวถึงเื่ของขวัญเทศกาล เขาก็นึกถึงเื่ในอดีต ตอนนั้นทั้งปีหลิวฉีซื่อได้เตรียมของขวัญเทศกาลให้อาจารย์ของน้องสี่อย่างเหมาะสม “พวกเ้าพูดถึง ข้าเองก็นึกถึงท่านแม่เคยเตรียมของขวัญให้แก่อาจารย์ของวั่งกุ้ย ส่วนมากจะเป็สุราข้าว เนื้อหมูเค็มสองชิ้น แล้วก็ไก่กับไข่ ไม่ควรมอบเป็เงินให้แก่อาจารย์”
เดิมทีจางกุ้ยฮัวมีเงินอยู่ในมือราวสองตำลึงกว่า หลิวเต้าเซียงได้แบ่งจากเงินเก็บจำนวนสองร้อยเก้าสิบหกตำลึงออกมาให้หกตำลึง บอกว่าตอบแทนให้แก่มารดา
ตอนที่จะนำเงินออกมาตอนนั้น นางทำท่าเหมือนหญิงชราน้อยที่กวาดตามองรอบทิศราวกับโจร ทำเอาจางกุ้ยฮัวหัวเราะชอบใจ
เมื่อมีเงินอยู่ในมือ หัวใจของจางกุ้ยฮัวก็ยิ่งมั่นใจ ขณะนี้ได้ยินนางเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์คือบัณฑิต ย่อมเห็นว่าเงินคือสิ่งของไม่มีค่า ไม่เหลียวแล แต่คนเช่นนี้ก็ยังต้องกินข้าวและสวมใส่เสื้อผ้า เขาก็รับซู่ซิวของเ้าไปไม่ใช่หรือ?”
หลิวเต้าเซียงได้ยินดังนั้นก็ก้มศีรษะหัวเราะเบาๆ ไหล่สองข้างสั่นเทาราวกลับหนูที่ตกลงไปในถังน้ำมัน
“ลูกรัก เ้าหัวเราะอะไร แม่ไม่ได้พูดผิดสักหน่อย”
จางกุ้ยฮัวตาแหลมจึงสังเกตเห็นคนแรก
หลิวเต้าเซียงเห็นว่าตนเองไม่ต้องอดกลั้น จึงหัวเราะและเอ่ย “ท่านแม่ ข้าไม่ได้หัวเราะท่าน ข้าเพียงแต่เห็นว่าท่านแม่พูดถูก มนุษย์เราบนโลกนี้ ต้องกินต้องแต่งกาย แล้วสิ่งไหนบ้างที่ไม่ใช้เงิน? ข้าเคยเห็นอาจารย์กัวแล้ว เขาไม่ใช่คนที่หัวโบราณนัก แม้ว่ามอบเงินให้จะไม่เหมาะสม เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ยกผ้าให้ครอบครัวเขาทั้งสามคนเล่า อีกทั้งมอบให้ไปก็จะไม่ถูกบัณฑิตคนอื่นหัวเราะเยาะด้วย”
นับว่าเป็เื่ยากที่จะแอบห่อเกี๊ยวในบ้าน จางกุ้ยฮัวจึงกินจนอิ่ม นางเอื้อมมือไปลูกท้องแล้วหัวเราะ “เช่นนั้นก็ดี คราวที่แล้วคุณชายจวนอ๋องก็ส่งคนมามอบของกำนัลวันไหว้พระจันทร์ไม่ใช่หรือ ด้านในมีผ้าฝ้ายละเอียดสี่ม้วน ครอบครัวเราตัดเสื้อผ้าไปยังเหลืออีกไม่น้อย หรือไม่ ข้าจะตัดออกมาสามผืน จะได้ไว้ใช้ทำเสื้อตรุษจีนพอดี”
การจะมอบให้ทั้งม้วนคงมากเกินไป จากสถานภาพครอบครัวของนางตอนนี้ สามารถแบ่งผ้าฝ้ายละเอียดมาได้สามผืนก็นับว่าจริงใจมากพอแล้ว
“จากนั้นค่อยซื้อเนื้อสดสิบชั่ง อาจารย์กัวชอบสุราชั้นดี ก็ซื้อสุราอีกสักไห” หลิวซานกุ้ยเดาว่าของขวัญประมาณนี้คงเพียงพอแล้ว
หลิวเต้าเซียงถามว่า “ไม่เอาไก่ไปสักตัวหรือ?”
หลิวซานกุ้ยโบกมือและพูดว่า “ไม่ล่ะ เนื้อสิบชั่ง ซื้อที่ติดมันหน่อย ก็คงประมาณสองร้อยอีแปะ สุราหนึ่งไหสองชั่ง ตรงนี้ก็ใช้จ่ายไปสิบสี่อีแปะ แล้วยังผ้าฝ้ายละเอียดสามผืน คำนวณเช่นนี้ก็มีมูลค่าไม่น้อยแล้ว”
จางกุ้ยฮัวยังไม่เห็นด้วยกับหลิวเต้าเซียงที่จะจับไก่ เพราะเอ็นดูที่บุตรสาวตั้งใจเลี้ยงมาหนึ่งปี และตั้งหน้าตั้งรอเอาไปขายแลกเงิน
“แม่รู้ว่าเ้ามีเงินในมือมากมาย แต่ว่าหนึ่งอีแปะก็มีค่า เ้าต้องเก็บสะสมไว้ให้ดี ต่อไปจะได้เป็เงินยาเซียงของตนเอง”
หลิวเต้าเซียงคำนวณในใจ ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดในตำบลเหลียนซานค่อนข้างแพง หนึ่งร้อยอีแปะต่อหนึ่งไม้บรรทัด ผู้ใหญ่ตัดเสื้อคงต้องใช้หลายอีแปะ ของขวัญนี้มอบออกไปก็นับว่าพอไปวัดไปวาได้
จึงยิ้มแล้วเอ่ย “เช่นนั้นก็อิงตามท่านแม่”
เหตุผลที่หลิวเต้าเซียงปฏิบัติต่อกัวซิวฝานอย่างไม่เห็นแก่ตัว เพราะนางคาดหวังว่ากัวซิวฝานจะไม่ซ่อนวิชา และถ่ายทอดให้แก่หลิวซานกุ้ยอย่างเต็มที่
เนื่องจากตระกูลหลิวจะสร้างบ้าน ไม่เพียงแค่เชิญคนมาทำอิฐปล้อง แต่ยังหาคนมาช่วยเผาอิฐอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้จางกุ้ยฮัวจึงเริ่มมีงานมากขึ้น แต่ไม่ว่านางจะยุ่งเพียงใด ก็ยังคงขัดขวางหลิวฉีซื่อกับหลิวเสี่ยวหลันไม่ให้สั่งงานบุตรสาวทั้งสองของตน
ต่อให้เหน็ดเหนื่อยเพียงใด นางก็จะไม่ตัดพ้อต่อหน้าหลิวฉีซื่อ
อย่างไรก็ตาม หลิวเสี่ยวหลันนั้นล้ำค่า แต่บุตรสาวของจางกุ้ยฮัวนั้นจะไม่ล้ำค่าหรืออย่างไร?
จางกุ้ยฮัวคิดว่าเงินของครอบครัวนั้นมีมากขึ้นเรื่อยๆ บุตรสาวคนโตก็เย็บปักถักร้อย หนึ่งเดือนหามาได้เจ็ดสิบถึงแปดสิบอีแปะ ส่วนบุตรสาวคนรองยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ทุกครั้งที่จางกุ้ยฮัวถามนางว่า ตกลงหามาได้เท่าไร นางก็เพียงแค่ทำหน้าภาคภูมิใจแล้วตอบว่า หากมีโอกาสจะกระตุ้นให้ลุงใหญ่กับลุงรองแยกบ้าน แม้ว่าจะออกจากบ้านนี้ตัวเปล่า ก็ไม่เป็อุปสรรค
ไม่เป็อุปสรรค!
นี่หมายความว่าอย่างไร แสดงให้เห็นว่าบุตรสาวคนรองของตนนั้นเป็มือฉมังเื่การหาเงิน
จางกุ้ยฮัวไม่ได้เล่าเรียนมากนัก ในชนบทเช่นนี้ก็ทำเพียงงานบ้านกับงานเกษตร ไม่ต้องเรียนรู้อะไรมาก นางจึงปล่อยให้หลิวเต้าเซียงไปดิ้นรนกระทั่งหาเงินมาได้จริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น นางเคยไปดูที่บ้านป้าหลี่ ไก่ที่บุตรสาวคนรองเลี้ยงไว้ทั้งอุดมสมบูรณ์ ขาก็มีเรี่ยวแรง ล้วนเป็ไก่ดี
ในใจนั้นได้รับการปลอบประโลม แม้บุตรสาวคนรองจะไม่ชื่นชอบการเย็บปักแต่ก็มีหนทางของตนเอง ต่อไปออกเรือนคงไม่ถูกแม่สามีรังเกียจ
วันนี้เข้าสู่วันที่ห้าของเดือนธันวาคม ในที่สุดหลิวซานกุ้ยก็มีเวลาหาคนขายเนื้อมาดูหมูที่เลี้ยงไว้
“หมูตัวนี้อ้วนจริงๆ” มือที่คุ้นเคยกับการถือมีดเชือดหมูมาหลายปีลองตบที่หลังหมู “หลังหนาดีจริง หมูสามตัวนี้ ข้าเอาทั้งหมด”
คนขายเนื้อไม่เพียงแต่เชือดหมูเท่านั้น แต่ยังสามารถรวบรวมหมูและส่งหมูไปยังอำเภอและในจังหวัดด้วย
อย่างไรก็ตาม คนขายเนื้อทั้งหลายต่างก็หลักแหลมนัก
ทันทีที่หลิวฉีซื่อได้ยินคนขายเนื้อชมเชยเช่นนี้ จึงรู้ว่าหมูคงขายได้ราคาดี
จากนั้นจึงให้คนอุ้มหมูมามัดเชือกแล้วจับชั่ง ก่อนจะรับเงิน
ด้วยเหตุนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวฉีซื่อจึงไม่เคยหุบลงได้เลย
“ในที่สุด ก็ขายหมูอ้วนตัวใหญ่สามตัวนี้ได้ ต่อไปจะได้ไม่ต้องต้มอาหารหมูมากมายแล้ว”
หลิวชิวเซียงไม่ชอบเลี้ยงหมูเลย แต่นางก็ไม่อาจทำใจให้น้องรองไปทำงานลำบากตรากตรำเ่าั้เอง ด้วยความหน่ายใจ นางที่เป็พี่คนโตจึงต้องรับภาระไป
“อืม มันเทศในหลุมดินก็เหลือไม่มากแล้ว ขืนยังกินต่อไปเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าฤดูใบไม้ผลิปีหน้าคงไม่เหลือมันเทศไว้เพาะต้นกล้าแล้ว”
อย่างไรก็ตาม หลิวฉีซื่อไม่ได้บอกว่าห้ามเลี้ยงหมูด้วยมันเทศในหลุมดิน
เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลังจากที่นางรับรู้จะร้องไห้จนสลบอยู่ในหลุมดินหรือไม่
ไม่นานนัก เื่ก็ถูกรับรู้
เช้าวันรุ่งขึ้นจึงได้ยินเสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัวของหลิวฉีซื่อในหลุมดิน
เสียงนั้นทำเอาคนทั้งบ้านวิ่งออกมาจากห้อง!
หลิวต้าฟู่เป็คนแรกที่วิ่งไปยังหลุมดินข้างบ้าน “เป็อะไรไป หรุ่ยเอ๋อร์ เกิดเื่ขึ้นหรือ?”
-----
