ในรถม้ามีทั้งเสียงสนทนาและเสียงหัวเราะ ใบหน้าหล่อเหลาของผูหยางชิงหลันซึ่งอยู่นอกรถดำทะมึน
ยายเด็กแสบหย่งเจีย เห็นชัดอยู่ว่าจงใจ
เขาโมโหจนคันเหงือกยุบยิบ แต่กลับรู้สึกอับจนหนทาง ทั้งใจอ่อนยวบ
ได้แต่ขี่ม้าวนไปวนมาสองสามรอบ ก่อนจะถอนหายใจแล้วกลับไปยังรถม้า
"อาจารย์กลับมาเร็วเชียวนะขอรับ" อวี๋เฟิงหยางกำลังคัดลอกบันทึกลายมือของอาจารย์อยู่ในรถม้า
"อืม" ผูหยางชิงหลันอารมณ์ไม่ดี รินน้ำชาถ้วยหนึ่งแล้วดื่มลงไป
แค่มองปราดเดียวอวี๋เฟิงหยางก็รู้ว่าอาจารย์ต้องไม่ได้สนทนากับคุณหนูเซวียเป็แน่
เมื่อเช้าก็เป็เช่นนี้ อาจารย์เขียนบันทึกอย่างกระตือรือร้น ก่อนวิ่งไปถามคุณหนูเซวีย แต่ผลลัพธ์คือไม่ช้าก็หน้ามุ่ยกลับมา
พอถามดูถึงรู้ว่าท่านหญิงหย่งเจียแล่นไปคุยกับคุณหนูเซวียนที่รถม้าตลอด่เช้า
"หรือว่าท่านหญิงหย่งเจียไปหาคุณหนูเซวียอีกแล้ว?"
อวี๋เฟิงหยางถามออกมาโดยไม่รู้ตัว
ผลก็คือถูกถลึงตาใส่อย่างเกรี้ยวกราด
นั่นก็แสดงว่าใช่
อวี๋เฟิงหยางหัวเราะ แม้แต่เด็กที่เพิ่งแตกเนื้อหนุ่มเช่นเขายังคาดเดาความคิดของท่านหญิงหย่งเจียได้
อาจารย์ของเขาย่อมทราบอย่างแน่นอน
ดังนั้นถึงได้หงุดหงิดขนาดนี้
"คัดอักษรของเ้าไปเถอะ" ผูหยางชิงหลันทุบโต๊ะ พลางถึงตาใส่เขา
"อาจารย์ คุณหนูเซวียไม่ว่าง ท่านไปถามน้องชายของเขาก็ได้นี่ขอรับ" อวี๋เฟิงหยางเสนอความคิด
"เ้าจะรู้อะไร นางเพิ่งรับน้องบุญธรรมเมื่อสองเดือนก่อน หาได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเื ไหนเลยจะรู้เื่แปลกและน่าสนใจเ่าั้
ผูหยางชิงหลันพูดใส่อารมณ์
"อา... ข้าเห็นคุณหนูเซวียดีต่อน้องชายมาก ไม่นึกว่าจะเป็เพียงน้องบุญธรรม" อวี๋เฟิงหยางดูจะใอย่างมาก
"อืม ผู้อื่นจิตใจดีงามมีเมตตา" ผูหยางชิงหลันหยิบพัดไม้ไผ่ออกมากาง แล้วโบกเสียงดังพรึ่บพรั่บ อากาศบ้านี่ก็ร้อนชะมัดยาด
"อ้อ ข้าเห็นน้องชายของนางก็ดูเฉลียวฉลาดดี ดูเหมือนอาจารย์จะเคยบอกว่า เขามีพร์ด้านการฝึกยุทธ์ ตอนนี้ก็เหมือนจะเรียนวรยุทธ์กับองครักษ์ฟางทุกวัน"
อวี๋เฟิงหยางกล่าวจบก็รู้สึกละอายใจ
อาจารย์ของเขาเชี่ยวชาญการแพทย์ไม่เชี่ยวชาญยุทธ์ แม้ทักษะการต่อสู้จะไม่เลว แต่กลับไม่ค่อยใส่ใจ จึงสอนวรยุทธ์ให้แบบขอไปที ดังนั้นทักษะการต่อสู้ของเขาจึงไม่นับว่าดีเท่าไร
"ทำไม เ้าอยากเรียนวรยุทธ์รึ?" ผูหยางชิงหลันจับใจความสำคัญของเขาได้
"แหะๆ เพื่อรักษาหน้าอาจารย์ยามอยู่ข้างนอกขอรับ" อวี๋เฟิงหยางยิ้มประจบสอพลอ
"เ้าอยากเรียนก็กลับไปเรียนกับลุงจงเถอะ พวกเราอาจต้องอยู่ที่เมืองหลวงสักพัก" ผูหยางชิงหลันมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าคับข้อง
สีหน้าของอวี๋เฟิงหยางฉายแววยินดี หลายปีมานี้เขาติดตามอาจารย์ท่องไปทั่วหล้า แม้จะสนุกมาก แต่บางครั้งก็รู้สึกเหนื่อย อยากหยุดเท้าพักผ่อนบ้าง
ผูหยางชิงหลันเห็นแล้วก็หลุบสายตาลง เขาคงจะเห็นแก่ตัวเกินไปใช่หรือไม่ เพื่อธุระของตนเอง ทำให้เด็กคนหนึ่งต้องติดตามร่อนเร่อยู่ข้างนอกยาวนานหลายปี
บางที... อาจถึงเวลาที่ต้องกลับไปเสียที
วันที่สิบเดือนหก ลมสงบตะวันงดงาม ท้องฟ้าแจ่มใส
ทั่วทั้งเมืองหลวงประดับด้วยโคมไฟสีสันงดงามอันเป็สัญลักษณ์แห่งการเฉลิมฉลอง ริมถนนสายหลักล้วนแขวนโคมแดง เห็นบรรยากาศแห่งความเป็สิริมงคลมาแต่ไกล
หวงกุ้ยเฟยซึ่งได้รับความโปรดปรานไม่สร่างซาตรอมตรมพระทัย และไม่แย้มพระสรวลอีกเลย ั้แ่องค์ชายเจ็ดหายตัวไป อู่เซวียนตี้ผู้รักพระสนมองค์นี้อย่างสุดซึ้งถึงกับไม่ยอมฟังคำทัดทานของเหล่าขุนนาง และไม่แยแสเสียงติฉินนินทาของทุกคน เมื่อหนึ่งเดือนก่อนก็สั่งให้สำนักฝ่ายในเริ่มเตรียมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดให้หวงกุ้ยเฟย
การเตรียมการเป็ไปอย่างยิ่งใหญ่ แม้แต่แคว้นข้างเคียงยังส่งทูตมาถวายพระพร
วันเกิดของหวงกุ้ยเฟยพระองค์หนึ่งกลับจัดอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยเกินธรรมเนียมอันควร ชวนให้คนนับไม่ถ้วนต้องจุปาก
เป็ที่รู้กันว่าแม้แต่ฮองเฮาก็ยังไม่เคยได้รับเกียรติเช่นนี้
แน่นอนว่ากฎเกณฑ์มากมายในหน้ากระดาษย่อมไม่ใช่ปัญหาต่ออู่เซวียนตี้ที่มักทำสิ่งใดตามใจตนเองตลอดมา
แม้ประชาชนในเมืองหลวงจะซุบซิบนินทา แต่กลับไม่แปลกใจ ชั่วชีวิตของอู่เซวียนตี้ไม่ชอบการถูกผูกมัด ทำเื่เหลวไหลไร้สาระมานับไม่ถ้วน
นี่ก็เป็เพียงหนึ่งในนั้น
พวกเขายังคงทำในสิ่งที่ควรทำ แม้ว่าจะฟุ่มเฟือยและสิ้นเปลือง แต่ไม่ใช่กงการของพวกเขาที่จะมาวิพากษ์วิจารณ์
มีแต่พวกสิ้นคิด กับบัณฑิตหัวโบราณยึดติดแบบแผนบางคนรวมตัวกันวิพากษ์วิจารณ์เสียๆ หายๆ
เวลานี้องครักษ์เสื้อแพรรับหน้าที่ออกมาจับกุมตัว หลังจากขังไว้สองสามวันก็ปล่อยออกมา เสียงวิจารณ์จึงน้อยลงมาก
งานเฉลิมฉลองของหวงกุ้ยเฟยจัดเตรียมไว้อย่างไรก็ยังคงดำเนินต่อไป
ม่านราตรีโรยตัวลงมา แสงโคมเริ่มสว่างไสว ถนนหลักของเมืองหลวงกลายเป็สีแดงจากโคมไฟที่จุดสว่างนับไม่ถ้วน
งานเฉลิมฉลองของหวงกุ้ยเฟยถูกเลื่อนออกไปถึงยามจื่อสามเค่อ แม้แต่เวลาปิดประตูเมืองก็ยังล่าช้าไปถึงยามซวีห้าเค่อ
เมืองหลวงภายใต้ม่านรัตติกาลครึกครื้นอย่างยิ่ง หอสุราและร้านตลาดล้วนมีผู้คนคับคั่ง
ท้องถนนเต็มไปด้วยรถม้าวิ่งแล่นไปมา ผู้คนสัญจรราวกับตัวหนอน บรรยากาศคึกคักสะท้อนถึงความเจริญรุ่งเรือง
"กุบกับๆ" เสียงเท้าอาชาเร่งร้อนดังมาจากนอกประตูทิศใต้ของเมืองหลวง
สีหน้าของผู้บัญชาการประตูเมืองทิศใต้เปลี่ยนไปเล็กน้อย ผู้ใดกันที่กล้าตะบึงอาชาเข้าเมืองหลวง
องครักษ์รักษาการณ์ประจำประตูเมืองพลันตื่นตระหนก มือกุมกระบี่ที่เอวโดยไม่รู้ตัว
"หยุด..." ขบวนอาชาแข็งแกร่งหยุดอยู่ห่างจากประตูเมืองห้าจั้ง
"รบกวนถาม มิทราบว่าผู้มาคือผู้ใด" หัวหน้าองครักษ์ประจำประตูเมืองก้าวเข้ามา สีหน้าฉายแววเคลือบแคลง น้ำเสียงที่เอ่ยถามแฝงแววนอบน้อม
สามารถเข้ามาเป็หัวหน้าองครักษ์ประจำประตูเมือง ย่อมมิได้พึ่งพาเพียงแค่สายสัมพันธ์ ยังต้องมีความสามารถในการจดจำผู้คน
อาชาเบื้องหน้า มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าเป็อาชาชั้นเลิศที่สามัญชนทั่วไปไม่อาจเลี้ยงได้
ทุกคนบนหลังอาชาแม้ว่าจะดูโทรมจากการเดินทาง แต่กลับเปี่ยมไปด้วยบารมีน่าเกรงขาม
"องค์ชายเจ็ด เวลามีไม่มากนัก เชิญพระองค์กลับจวนไปชำระร่างกาย แล้วรีบเข้าวังเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
ชายวัยกลางคนผ่ายผอมจนไร้ราศีกล่าวเร่งด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
องค์ชายเจ็ด? หัวหน้าองครักษ์ประจำประตูเมืองเบิกตากว้าง สีหน้าตกตะลึงเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ทหารที่ตามหลังเขามาล้วนแต่มีสีหน้าตะลึงพรึงเพริด
"อืม ชั่วชิง ตลอดทางลำบากเ้าแล้ว" เสียงทุ้มต่ำไม่รีบร้อนไม่ลนลาน
บุรุษเรือนร่างสูงใหญ่สะบัดแซ่ ตะบึงอาชากีบเท้าขาวดุจย่ำหิมะเข้าประตูเมืองไป
เหล่าทหารประจำประตูเมืองได้แต่มองคนและอาชากลุ่มหนึ่งผ่านเข้าไปอย่างตกตะลึง
"จะ... จั่วกงกง?"
หัวหน้าองครักษ์ประจำประตูเมืองยืนมองชายวัยกลางคนซึ่งผ่ายผอมลงอย่างมาก แทบไม่อยากเชื่อสายตา
จั่วชิงหนังหน้ากระตุก ผิวหน้าของเขาถูกแดดเผาจนลอก และเหี่ยวย่นราวกับผลขู่กวา
ตลอดทางที่กลับมาแต่ละวันได้นอนเพียงสองชั่วยาม นอนกลางดินกินกลางทราย ตากแดดตากฝน อากาศก็แสนจะร้อนอบอ้าว
ดูเอาเถอะ แม้แต่หัวหน้าองครักษ์ประจำประตูเมืองที่ยังประจบสอพลอเขาก่อนที่ออกจากเมืองหลวง ยังจำตนเองไม่ได้
ชั่วชิงเหนื่อยล้าอยากล้มตัวลงนอนเต็มแก่ แต่เขายังต้องเข้าวังไปถวายรายงานต่อฝ่าา
ชั่วชิงสะบัดแส้อย่างไร้เรี่ยวแรง อาชาเริ่มตะบึงไปด้านหน้าช้าๆ
"จั่วกงกง องค์ชายเจ็ดเสด็จ
"องค์ชายเจ็ดทรงกลับมาแล้วจริงหรือ" หัวหน้าองครักษ์ประจำประตูเมืองร้องถาม
"อื้อ องค์ชายเจ็ดทรงกลับมาแล้ว"
องค์ชายเจ็ดกลับมาเมืองหลวงแล้ว ข่าวแพร่สะพัดออกไปราวกับติดปีก ไม่ช้าก็รู้กันทั่วเมืองหลวง
