หลังจากนั้นสองชั่วโมง ผู้จัดการเซวียข่ายซินและผู้ช่วยอาโย่วก็มาปรากฏตัวที่บ้านของฉีลั่วอิ่ง
แม้ฉีลั่วอิ่งจะบอกว่าไม่ต้องซื้อของมา แต่อาโย่วก็ยังเดินถือถุงวัตถุดิบสองถุงใหญ่ที่ซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตเข้ามาด้วย ตั้งใจจะเติมตู้เย็นที่ว่างเปล่าของฉีลั่วอิ่งให้เต็ม
“ไม่เห็นต้องลำบากเลย ่นี้ฉันก็ไม่ค่อยได้ทำอาหาร”
“ฉันให้อาโย่วซื้อวัตถุดิบที่หั่นไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ก็พวกกึ่งสำเร็จรูป อาหารพวกนี้มีโภชนาการสมดุล มีไฟเบอร์และโปรตีนสูง ดีกว่าอาหารดิลิเวอรีที่มีทั้งไขมันทั้งแคลอรีแบบที่นายสั่ง” เนื้องานของเซวียข่ายซินยังรวมไปถึงการดูแลสุขภาพและรูปร่างของฉีลั่วอิ่งด้วย
“รู้แล้ว ผมก็ควบคุมมาตลอด”
“งั้นเหรอ?” เซวียข่ายเปิดช่องแช่แข็ง กวาดตารอบหนึ่งก็เห็นของต้องห้าม “ทำไมในตู้เย็นถึงมีไอศกรีม?”
“เหยาเข่อเล่อเอามา” ฉีลั่วอิ่งสารภาพอย่างตรงไปตรงมา เขาไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียว แล้วก็ไม่ได้รู้สึกผิดที่ขายเพื่อนเลยแม้แต่น้อย
“เหยาเข่อเล่อ? เขาอีกแล้ว!” เซวียข่ายซินใบหน้ามืดครึ้มทันที เขาเกลียดเพื่อนแย่ๆ ที่เป็อุปสรรคการไดเอ็ตของฉีลั่วอิ่งคนนี้เข้ากระดูกดำมาโดยตลอด “เขางานน้อยจนว่างเกินไปใช่ไหม? กลับบริษัทไปฉันจะให้ผู้จัดการของเขาช่วยรับงานให้มากกว่านี้สักหน่อย”
อืม เหยาเข่อเล่อน่าจะมาหาเขาไม่ได้สักพักหนึ่ง และเหยาเข่อเล่อคงไม่มีวันรู้ว่าตัวก่อเหตุคือไอศกรีม ฉีลั่วอิ่งไว้อาลัยเพื่อนสนิทอยู่ในใจ
“อาโย่ว ลองหาดูว่าที่นี่ยังมีของที่ไม่ควรมีอยู่อีกไหม” เซวียข่ายซินชี้ไปที่ตู้เย็นและตู้เก็บของ
“ได้ ปล่อยให้เป็หน้าที่ผมเถอะ ผมจะหาอย่างละเอียดเลย” หลังจากอาโย่วได้รับคำสั่ง ก็ปรับท่าทางให้ดูเคร่งครัดและไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อยในทันที
เซวียข่ายซินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ และหันไปเตรียมพูดเื่งานกับฉีลั่วอิ่ง “พวกเราไปคุยกันในห้องนั่งเล่นเถอะ”
ฉีลั่วอิ่งมองอาโย่วที่กำลังพลิกตู้หาของ แล้วรอยยิ้มที่ริมฝีปากก็เจื่อนลง “ได้”
เซวียข่ายซินหยิบผลลัพธ์ที่เขาหาได้ออกจากกระเป๋าทำงานแล้วส่งให้ฉีลั่วอิ่ง เมื่อฉีลั่วอิ่งรับบทมาดูก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “มีแค่สองเื่นี้เหรอ?”
“คิดอะไรอยู่ถึงบอกว่ามีแค่สองเื่? มีสองเื่ก็นับว่าไม่เลวแล้ว! มีหนังให้ถ่ายก็ควรจะรู้สึกขอบคุณแล้ว!” เซวียข่ายซินร่ายสั่งสอนคุณสมบัติของนักแสดงให้ฉีลั่วอิ่งฟังทันที
“โอเคๆ ผมรู้แล้วว่าต้องรู้จักพอ ต้องรู้สึกซาบซึ้ง ผมจะฝืนเลือกมาสักเื่ก็แล้วกัน” ฉีลั่วอิ่งเข้าใจดีว่าเพราะความเอาแต่ใจของเขา เซวียข่ายซินถึงได้ยุ่งอยู่พักหนึ่ง แม้เขาจะไม่ได้เสียใจกับเื่นี้แต่ก็มีความรู้สึกผิดอยู่บ้าง
ฉีลั่วอิ่งอ่านชื่อบนปกบททั้งสองออกมา “《ผจญภัยในหมู่ดาว》กับ《เข้างานต้องตั้งใจ》?”
“เื่《ผจญภัยในหมู่ดาว》เป็ภาพยนตร์แนวไซไฟ พระเอกเป็นักวิทยาศาสตร์อวกาศที่ออกผจญภัยเนื่องจากพบความผิดปกติทางดาราศาสตร์ เซ็ตติ้งคืออนาคตอีกห้าร้อยปีข้างหน้า การถ่ายทำจะใช้โปรดักชันขนาดใหญ่ เกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของเื่ใช้กรีนสกรีน เป็การทดสอบทักษะฝีมือของนักแสดงมาก” เซวียข่ายซินอธิบายโครงเื่สั้นๆ
“แนวไซไฟ? ดูแล้วไม่น่าเชื่อถือเลย นี่ไม่ใช่ปัญหาเื่ทักษะการแสดงแล้ว” ฉีลั่วอิ่งที่สีหน้าผ่อนคลาย จู่ๆ ก็จริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ ตามคำพูดของเซวียข่ายซิน “หนังเื่นี้พวกเขาลงทุนไปเท่าไร?”
“น่าจะ้ามากกว่าร้อยล้านมั้ง?”
“น่าจะ? หมายความยังไง?”
“ก็หมายความว่าทางโปรดิวเซอร์ยังไม่แน่ใจ” เซวียข่ายซินชะงักไปนิดหน่อยแล้วพูดต่อ “ได้ยินว่ามีนักลงทุนอีกหลายคนกำลังพิจารณาอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึง้านักแสดงที่มีชื่อเสียงมาเข้าร่วมทีม เพื่อเพิ่มเหตุผลในการลงทุนกับหนังเื่นี้”
ฉีลั่วอิ่งช้อนสายตามองเซวียข่ายซิน ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความตัดพ้อ “จากมุมมองของผู้จัดการมืออาชีพแบบพี่แล้ว พี่คิดว่าหนังเื่นี้ใช้ได้ไหม? อีกไม่กี่วันก็จะถ่ายทำแล้วแต่เงินทุนยังได้ไม่ครบเลย ทั้งยังเป็ภาพยนตร์แนวไซไฟที่ผลาญเงินที่สุดอีก ผมไม่เชื่อว่าพวกเขาไม่เคยไปหาคนอื่น แต่ทุกคนคงจะเห็นว่าโครงเื่ไม่ดีจึงไม่มีใครกล้ารับ ถึงได้เลื่อนมาจนตอนนี้และยังกำหนดตัวพระเอกไม่ได้”
“ไม่ใช่ว่ายังมีอีกเื่เหรอ?” เซวียข่ายซินลองคิดดูก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้องจริงๆ แม้ตารางงานที่ว่างเปล่าจะเสียรายได้ไปเป็จำนวนมาก แต่การแสดงหนังที่แย่มากๆ เื่หนึ่งก็เป็จุดด่างพร้อยที่จะติดตัวนักแสดงไปตลอดชีวิต อีกทั้งภาพยนตร์แนวไซไฟที่ผลิตในประเทศก็มักโดนวิพากษ์วิจารณ์เื่สเปเชียลเอฟเฟ็กต์อยู่เสมอ เนื่องจากผู้ชมส่วนใหญ่คุ้นชินกับความสมจริงของภาพยนตร์ฟอร์มั์จากยุโรปและอเมริกา แล้วจะให้เขามาแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อภาพยนตร์ที่อยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะเงินทุนไม่พอได้อย่างไร
“เื่《เข้างานต้องตั้งใจ》เป็ภาพยนตร์แนวความรักในที่ทำงาน สำหรับนายแล้วเป็เื่ที่ง่ายมาก”
ฉีลั่วอิ่งโยนบทของ《ผจญภัยในหมู่ดาว》ไปบนโต๊ะกาแฟ แล้วหยิบบทอีกเล่มขึ้นมา “นางเอกเป็ใคร?”
“ไม่มีนางเอก เื่นี้เป็ภาพยนตร์แนว BL เป็รักร่วมเพศ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉีลั่วอิ่งก็รู้สึกว่าเล่มบทในมือหนักขึ้นมาทันที เพิ่งเปิดบทไปได้หนึ่งหน้าก็ปิดลงอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ผมไม่อยากรับ”
“พูดไปแล้วไม่ใช่เหรอว่ามีหนังให้ถ่ายก็ควรจะขอบคุณแล้ว? นายยังเื่มากอยู่อีกเหรอ? ทางโปรดิวเซอร์พอได้ยินค่าตัวของนายเขาก็ตอบรับอย่างยินดีทันที ไม่ได้ต่อรองเลยสักนิด”
“ผมไม่ได้พิจารณาแค่ค่าตัวอย่างเดียว” เมื่อฉีลั่วอิ่งได้ยินว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต่อรองค่าตัวสีหน้าของเขาก็ดีขึ้นมาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดที่จะรับแสดงเื่นี้ “ไม่ใช่ว่าตอนนี้แนว BL เป็การหานักแสดงใหม่เหรอ? ผมจะไปแย่งบทพวกเขาทำไม? แล้วมันก็ไม่ได้ช่วยเื่ภาพลักษณ์ด้วยนี่?”
“เื่นี้ต่างจากเื่อื่น อย่างแรกคือพวกเขามีเงินการผลิตมั่งคั่ง อย่างที่สองคือพวกเขาได้ผู้กำกับที่เชี่ยวชาญแนวรักโรแมนติกอย่างผู้กำกับเหอผิงมาถ่ายให้ อย่างที่สามก็คือหนังเื่นี้ดัดแปลงมาจากนิยาย มีฐานแฟนคลับเป็นักอ่าน นักลงทุนและบริษัทจึงคาดหวังกับภาพยนตร์เื่นี้มาั้แ่ต้น! อีกอย่างนายไม่เคยแสดงบทบาททำนองนี้มาก่อน ตอนนี้มีโอกาสแล้วทำไมถึงจะไม่ทำล่ะ? จะได้พิสูจน์ด้วยว่านายรับบทอะไรก็ได้ บางทีครั้งนี้กรรมการอาจจะตกตะลึงกับการแสดงของนาย แล้วรางวัลนักแสดงนำชายในงานประกาศรางวัลฯ ครั้งหน้าก็จะเป็ของนายไง”
ฉีลั่วอิ่งขมวดคิ้ว “ทำให้กรรมการตกตะลึง? มีหนังเื่ไหนบ้างที่พี่ไม่ใช้ประโยคนี้มาเกลี้ยกล่อมผม? ผมไม่หลงกลแล้ว”
“ของแบบนี้ก็เหมือนกับการซื้อลอตเตอรี่นั่นแหละ นายต้องซื้อก่อนถึงจะมีโอกาสถูกรางวัล!”
ความจริงฉีลั่วอิ่งอยากจะโยนบทเื่《เข้างานต้องตั้งใจ》ไปที่โต๊ะกาแฟเช่นกัน แต่เมื่อเห็นเื่《ผจญภัยในหมู่ดาว》เข้ามาในระยะสายตา หัวใจก็บีบรัดทันที ััที่หกของนักแสดงบอกกับเขาว่าอย่ารับเล่นเื่นั้นเป็อันขาด
ถ้าเทียบกันแล้ว《เข้างานต้องตั้งใจ》ก็ไม่ได้น่ากลัวเท่าไร...
ฉีลั่วอิ่งทำได้แค่เปิดบทที่เกือบจะโยนทิ้งออกมาอีกครั้ง แล้วอ่านมันอย่างช้าๆ
“พระเอกอีกคนกำหนดตัวไว้แล้วเหรอ?”
----------
ฉีลั่วอิ่ง : “รู้สึกลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีเลย”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้