ตอนที่ฉินซื่อคลอดเจียงชิงอวิ๋น นางเพิ่งอายุสิบเก้าปี บ่าวที่เป็สินเดิมหลายคนรวมไปถึงนางหลิวก็กลับไปที่ตระกูลเจียง
นางหลิวเห็นเจียงชิงอวิ๋นเติบโตมาั้แ่เล็ก เคยอุ้มเจียงชิงอวิ๋นและเคยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เขาด้วย
ตอนเด็กเขาเป็เพียงทารกรูปงามเนื้ออ่อนนุ่มผิวชมพู ตอนนี้เติบโตแล้ว เป็เืเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของฉินซื่อที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้
ในใจของนางหลิวเห็นเจียงชิงอวิ๋นสำคัญกว่าชีวิตของตนเสียอีก
เมื่อเจียงชิงอวิ๋นพบลุงโจวและนางหลิวก็ทำให้นึกไปถึงครอบครัวของตนที่จากไปแล้ว เขาจึงไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้อีก เขากล่าวอย่างะเืใจว่า “พวกท่านเดินทางมาคราวนี้ลำบากมากจริงๆ ในที่สุดก็กลับจวนมาได้อย่างปลอดภัยและมารวมตัวกันอีกครั้งแล้ว เช่นนี้ข้าจึงวางใจลงได้”
ลุงฝูเห็นลุงโจวและภรรยาก็เหมือนได้พบครอบครัว กล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมล้นความรู้สึกว่า “นายท่านคิดถึงพวกเ้ามาตลอด เมื่อวานยังคิดจะนั่งรถม้าออกไปรับพวกเ้าด้วย แต่ข้าห้ามเขาเอาไว้”
เมื่อนางหลิวได้ยินคำว่า นายท่าน ก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาโดยพลัน ตอนนี้ตระกูลเจียงเหลือเจียงชิงอวิ๋นเพียงคนเดียว ั้แ่นี้เป็ต้นไปไม่มีผู้าุโคอยขวางลมกั้นฝนให้เจียงชิงอวิ๋นอีกแล้ว ทั้งตระกูลจะต้องพึ่งพาเจียงชิงอวิ๋นเป็ดั่งผู้ค้ำจุน คิดได้ดังนั้นน้ำตาก็ไหลพรากเต็มใบหน้า รู้สึกโศกเศร้าใจอีกครั้ง นางมองไปทางลุงฝูแล้วกล่าวว่า “นายท่านอยู่ในวัยกำลังเติบโต เหตุใดจึงผอมเพียงนี้เล่า”
่เดือนสิบสองของปีที่แล้วและเดือนหนึ่งของปีนี้ นางหลิวก็ได้พบเจียงชิงอวิ๋นที่ตระกูลเจียง ตอนนั้นเขาเองก็ผอมบางแต่ไม่ได้ซูบเซียว หนักกว่าตอนนี้อย่างน้อยก็สามสิบชั่ง สีหน้าก็ดีกว่าตอนนี้มาก โดยเฉพาะอารมณ์ของเขา ตอนนี้ดูเป็คนไร้จิติญญาราวกับคนชรา
ปีนี้เจียงชิงอวิ๋นเพิ่งจะอายุสิบห้า ไม่ควรมีอารมณ์เฉกเช่นคนแก่
นางหลิวรู้สึกปวดใจยิ่งนัก จึงคิดว่าจะเรียกคุณชาย เพราะหากเรียกว่า นายท่าน จะทำให้รู้สึกเหมือนคุณชายแก่แล้ว
ลุงฝูมีสีหน้ารู้สึกผิด “ข้าดูแลคนไม่เป็” จากนั้นจึงคิดในใจว่าก่อนหน้านี้นายท่านผอมกว่านี้อีก พอมาถึงเมืองเยี่ยนก็หนักขึ้นหลายชั่ง
เจียงชิงอวิ๋นรีบพูดว่า “อย่าตำหนิลุงฝูเลย”
“ตอนที่นายท่านเพิ่งมาถึงเมืองเยี่ยน แรกๆ อาจจะยังไม่ชินกับดินน้ำจึงทำให้ผอมลงกระมัง” ลุงโจวไอแห้งๆ สองครั้ง ภรรยาของเขาก็เป็คนตรงไปตรงมาเช่นนี้ ไม่คิดว่าลุงฝูจากละเลยนายท่านได้อย่างไร
นางหลิวกล่าวอย่างจริงใจว่า “คุณชาย ท่านต้องทานให้มากนะเ้าคะ ท่านต้องทานให้มากเพื่อตัวท่านเอง” และเพื่อิญญาบรรพบุรุษตระกูลเจียงด้วย ทว่าคำพูดประโยคหลังนางกลับได้แต่เก็บกลืนลงไป ตระกูลเจียงเหลือเพียงเจียงชิงอวิ๋นผู้เดียวแล้ว บรรพบุรุษตระกูลเจียงจะไม่คุ้มครองตระกูลเจียงได้อย่างไร นางก่นด่า์ตำหนิบรรพบุรุษตระกูลเจียงที่ไม่ช่วยเหลือ
เจียงชิงอวิ๋นอยากให้ผู้เฒ่าทั้งสองรีบไปพักผ่อน แต่คำพูดที่ควรถามก็ยังต้องถามต่อ มิฉะนั้นเขาคงรู้สึกไม่วางใจ “อาการป่วยของลุงโจวเป็อย่างไรบ้าง”
“อาการของบ่าวดีขึ้นชั่วคราวขอรับ”
นางหลิวขมวดคิ้วพูดว่า “เขาป่วยเป็โรคแปลกประหลาด หลายปีมานี้อาการกำเริบห้าครั้งแล้ว จู่ๆ ก็กำเริบโดยไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้า ยามที่อาการกำเริบจะปวดท้องอย่างหนักจนต้องกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น สูญเสียสติสัมปชัญญะถึงขั้นเอาหัวไปโขกกับเตียงโขกกับกำแพง คล้ายอยากจะทำร้ายตนเองให้ตาย ในตอนที่อาการหายไปก็หายเ็ปเป็ปลิดทิ้งเสียอย่างนั้น ราวกับคนไม่ได้เป็อะไร หลายปีมานี้เขาไปหาหมอมาหลายสิบคนจากเจ็ดเมือง ซื้อยากินมากมาย ดื่มยาแทนน้ำ กระทั่งปัสสาวะก็ยังมีกลิ่นยา นั่นยังไม่เป็อะไร ทว่าทำเพียงนี้แล้วอาการกลับยังไม่ดีขึ้น ที่กำเริบก็ยังคงกำเริบอยู่ ที่สมควรหายก็ยังไม่หาย”
นางหลิวมีนิสัยใจร้อน กล่าวเล่าออกมาด้วยความรวดเร็ว เล่าจบในเวลาเพียงชั่วอึดใจ
ลุงฝูฟังไม่รู้เื่ ยังดีที่เจียงชิงอวิ๋นฟังเข้าใจ
เจียงชิงอวิ๋นมองไปยังรอยปูดบวมบนหน้าผากของลุงโจว “รอยบวมบนหน้าผากเ้าก็เป็เพราะไปโขกกับกำแพงตอนที่อาการกำเริบหรือ”
ลุงโจวก้มหน้า “อาการของบ่าวกำเริบตอนอยู่บนรถม้า ตอนนั้นจึงเอาหัวไปโขกกับหน้าต่างรถม้าโดยไม่รู้ตัว…”
“ล้วนต้องโทษข้าที่ง่วงเกินไป จึงหลับไปตอนอยู่บนรถม้า ไม่รู้ว่าเขาอาการกำเริบ พอตื่นขึ้นมาเขาก็ร้องโอดโอยกลิ้งตกรถม้าไปแล้ว” นางหลิวย้อนนึกไปถึงตอนนั้น ในใจเป็กังวลยิ่งนัก ยกมืออวบอ้วนขึ้นทาบอก “โชคดีที่เขาเป็คนมีวาสนาชะตาแข็งจึงไม่ถูกม้าเหยียบตาย”
ลุงโจวเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “ข้าเป็คนกระดูกแข็ง ไม่ตายง่ายหรอก”
เจียงชิงอวิ๋นถามว่า “หมอเ่าั้วินิจฉัยว่าลุงโจวป่วยเป็โรคอะไร” ขอเพียงทราบว่าป่วยเป็โรคอะไรจึงจะกินยาได้ถูกโรค
นางหลิวทอดถอนใจออกมา “หมอเ่าั้กล่าวไม่เหมือนกัน บ้างว่าป่วยเป็โรคในท้อง บ้างว่าเป็โรคปวดท้อง บ้างว่าตับไม่ดี บ้างก็ว่ากินของผิดสำแดง”
ลุงฝูกล่าวว่า “นายท่านขอตัวหมอหลวงกับจวนเยี่ยนอ๋องไปแล้ว ต่อไปจะมีหมอหลวงมาตรวจรักษาให้เหล่าโจว”
ในใจของลุงโจวเต็มไปด้วยเื่ราวมากมาย เขามองไปทางเจียงชิงอวิ๋น แล้วกล่าวว่า “นายท่าน…”
นางหลิวอดกล่าวไม่ได้ว่า “อย่าเรียกนายท่านเลย เรียกคุณชายเถิด คุณชายยังอายุน้อย อีกทั้งรูปโฉมงดงามเพียงนี้ จะเรียกนายท่านอันใดกัน”
ลุงโจวมองไปทางเจียงชิงอวิ๋น ในแววตาเจือไปด้วยคำถาม
เจียงชิงอวิ๋นกล่าวอย่างเนิบช้า “เรียกข้าว่าคุณชายก็ไม่เป็ไร”
ลุงโจวกล่าวเสียงแ่ “คุณชาย บ่าวมีเื่สำคัญ้ารายงานให้ท่านทราบขอรับ”
เจียงชิงอวิ๋นพยักหน้าช้าๆ จากนั้นจึงพาลุงโจวไปที่ห้องหนังสือ
ลุงฝูให้นางหลิวกินข้าวแล้วไปพักผ่อน
เมื่อครู่ตอนที่นางหลิวเข้าจวนมา นางสำรวจจวนไปแล้วเล็กน้อย จวนเจียงแห่งนี้ไม่อาจเทียบได้กับจวนเจียงที่สู่ตี้จริงๆ
แคว้นต้าโจวมีกฎหมายกำหนดไว้ว่า บันไดหน้าประตูหลักของจวนจะสูงต่ำได้ตามระดับของขุนนาง
ตระกูลเจียงแห่งสู่ตี้มีขุนนางสิบกว่าคน คนที่มีตำแหน่งขุนนางสูงที่สุดในตระกูลอยู่ที่ระดับสอง บันไดของประตูใหญ่จึงสูงถึงหนึ่งฉื่อครึ่ง
จวนเจียงแห่งอำเภอฉางผิงมีเจียงชิงอวิ๋นเพียงคนเดียว เขามีฐานะเป็จวี่เหริน ไม่ได้มีตำแหน่งขุนนาง บันไดตรงประตูใหญ่จึงสูงไม่ถึงสองชุ่น
เมื่อบันไดบริเวณประตูต่ำก็ทำให้มีพื้นที่น้อย การตกแต่งด้านในก็ยังห่างชั้นจากจวนเจียงแห่งสู่ตี้มาก
ตระกูลเจียงไม่ใช่ตระกูลเจียงแห่งสู่ตี้เฉกเช่นวันวานอีกต่อไปแล้ว
นางหลิวเคยคิดเื่เหล่านี้ระหว่างทางแล้ว ทว่าเมื่อมาเห็นด้วยตา ในใจก็ไม่อาจรับไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนตระกูลเจียงอย่างเจียงชิงอวิ๋นเลย
ขณะนี้นางหลิวกำลังคาดเดาว่า เหตุใดเจียงชิงอวิ๋นจึงซูบผอมและเงียบขรึมเพียงนี้
ลุงฝูเห็นนางหลิวเหม่อมองไปยังหิมะที่สะสมอยู่บริเวณมุมหนึ่งของลาน จึงกล่าวขึ้นว่า “ทางเหนือเป็พื้นที่หนาว สินค้าต่างๆ ก็หายาก เมื่อถึงฤดูหนาวก็จะมีหิมะตกมาก ไม่ว่าจะเมือง อำเภอ หรือตำบลในระยะร้อยลี้รอบๆ นี้ล้วนถูกหิมะปกคลุมขาวโพลนไปทั่ว บนพื้นก็มีเพียงหิมะ”
นางหลิวกล่าวเสียงเบาว่า “สู่ตี้ไม่มีหิมะ กระทั่งฤดูหนาวก็ยังมีผักในที่ดิน แต่ตอนนี้ตระกูลเจียงแห่งสู่ตี้ไม่มีอีกแล้ว ไม่ว่าจะเมือง อำเภอหรือตำบลในระยะร้อยลี้รอบๆ ต่างก็ไม่มีคนแล้ว มีเพียงซากปรักหักพังผืนหนึ่ง”
ลุงฝูถอนใจยาว มองไปยังใบหน้าอวบอ้วนของนางหลิว พบว่ามีน้ำตาไหลออกมา น้ำตาหยดลงบนเสื้อผ้าของนาง น้ำตาหลายหยดถูกลมหนาวที่เย็นเสียดกระดูกพัดตกลงที่พื้น หยาดน้ำตานี้หลั่งเพื่อคนตระกูลเจียงหรือเพื่อลูกหลานของนางกัน?
ลุงโจวพบว่าห้องหนังสืออบอุ่นราวกับอยู่ในฤดูใบไม้ผลิเฉกเช่นเดียวกับที่ห้องโถง แต่กลับไม่เห็นกระถางไฟ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทว่าตอนนี้มีเื่สำคัญที่ต้องพูดกับเจียงชิงอวิ๋น เื่เล็กน้อยเหล่านี้ไว้ค่อยถามเหล่าฝูเถิด
“นี่เป็ตั๋วเงินที่บ่าวได้มาจากการนำร้านค้าและทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลไปขายขอรับ” คำว่าตระกูลย่อมหมายถึง ตระกูลเจียง ลุงโจวแซ่โจว เป็บ่าวของตระกูลเจียงและเป็คนตระกูลโจว
ตั๋วเงินปึกใหญ่ถูกวางลงในกล่องที่สลักลายรูปสัตว์ตัวเล็กเพื่อเป็สิริมงคล นั่นเป็ทรัพย์สินทั้งหมดที่ตระกูลเจียงมีในตอนนี้
ทุกคนทราบกันดีว่า ตระกูลเจียง เป็ตระกูลใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี มีขุนนางสิบกว่าคนที่กินตำแหน่งขุนนางขั้นสามขึ้นไป ต่อให้ขุนนางเหล่านี้จะเป็เพียงขุนนางใสสะอาดในฝ่ายบุ๋น ทว่าเพียงแค่ของโบราณและภาพอักษรที่ตระกูลเจียงมีก็มีมูลค่ามากมายแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเงินทองเลย
น่าเสียดายที่ตระกูลเจียงต้องพบกับภัยจากมนุษย์และภัยธรรมชาติ จนปัจจุบันมีทรัพย์สินหลงเหลืออยู่เพียงตั๋วเงินกล่องเดียว
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้