พ่อลูกตระกูลจ้งที่คิดว่าพวกตนพรางตัวมาเป็อย่างดีแล้วดูราวกับโคมไฟสองดวงในคืนเดือนดับก็ไม่ปาน
สว่างจ้าโดดเด่น
แน่นอนว่าสองพ่อลูกย่อมไม่รู้
ทั้งยังคงทำทีเสแสร้งราวกับว่าคนอื่นมองพวกตนไม่ออก
ทุ่งหญ้ารกร้างถูกกองทัพจิงปิดล้อมสังหารมาครั้งหนึ่ง เหล่าคนที่มีชีวิตรอดก็ได้ชาวบ้านหมู่บ้านไป๋กู่เป็คนช่วยชีวิตไว้ ต่อมาจึงได้ขอมาหลบภัยอยู่ที่หมู่บ้านไป๋กู่
นี่ก็เป็อีกเหตุผลหนึ่งว่าเหตุใดทุ่งหญ้าอันรกร้างห่างไกลแห่งนี้จึงพัฒนาได้ไวถึงเพียงนี้
แต่การพัฒนาทั้งหมดนั้นล้วนแต่ได้หมู่บ้านไป๋กู่เป็ผู้สั่งการและจัดการ
ทุกคนล้วนแต่เป็เหยื่อที่มีชีวิตรอดจากามาได้
ยามนี้จึงละทิ้งความแค้นเคืองในอดีตแล้วทุ่มเทแรงใจ มุมานะที่จะมีชีวิตต่อ
ยามที่กองทัพจิงบุกโจมตี ทางราชสำนักก็ไม่ได้ส่งกองกำลังมาแม้สักกอง ความเ็าในใจของผู้คนที่มีมาอย่างยาวนานต่อราชสำนัก บัดนี้ยิ่งทวีความเ็ายิ่งกว่าเดิม
ทุ่งหญ้ารกร้างห่างไกลยังคงเป็พื้นที่ของแคว้นเชินแค่ในนาม ทว่าพื้นที่แห่งนี้มีแต่เหตุการณ์อันตราย ผลผลิตก็น้อย ทั้งยังมีพรมแดนติดกับแคว้นอื่น ดังนั้นแคว้นเชินจึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับพื้นที่แห่งนี้เท่าใดนัก
ทุกวันนี้ก็มิอาจคาดหวังสิ่งใดจากราชสำนักได้ พวกเขาจึงได้แต่พึ่งพาตนเองเท่านั้น
เช่นนั้นทุกคนในที่แห่งนี้ จึงล้วนแต่ทุ่มเทพลังกายทั้งหมดที่ตนมี
สองพ่อลูกตระกูลจ้งเดินตามชายปากแหว่งไป ยิ่งเดินมาไกลเท่าใดพวกเขาก็ยิ่งใมากเท่านั้น
สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตา คือทางเดินที่ทอดผ่านช่องเขาขนาดใหญ่
ทางเดินระหว่างช่องเขาช่างแคบนัก
ทางเดินเส้นนี้เล็กแคบเสียจนเดาได้ว่าหากมีหินก้อนใหญ่หล่นลงมาสักก้อน พวกเขาย่อมต้องโดนทับจนแบนราบเป็ผ้าผืนหนึ่งอย่างแน่นอน
จ้งจื๋อพลันรู้สึกว่าเส้นทางสายนี้ช่างอันตรายเหลือเกิน ให้ตายตนก็ไม่อยากเดินผ่านเส้นทางสายนี้
ทว่าบัดนี้ท่านพ่อของเขากำลังสนทนากับชายปากแหว่งอย่างถูกคอ จึงไม่ได้สนใจเส้นทางสายนี้แม้แต่น้อย
“ท่านผู้เฒ่า หมู่บ้านของพวกท่านมีเด็กที่รู้หนังสือมากมายจริงหรือ เป็ไปไม่ได้กระมัง จากที่ข้ารู้มาครอบครัวชาวนาล้วนแต่งานล้นมือ เด็กๆ จึงมีเื่มากมายให้ทำเช่นกัน จะเอาเวลาไหนไปร่ำเรียนกันเล่า นอกจากนี้ท่านอาจารย์ก็ใช่ว่าจะเชิญมาได้ง่ายๆ อีกทั้งท่านอาจารย์ที่รู้หนังสือคนใดจะยินยอมมาสอนบัณฑิตในหมู่บ้านกลางเขาเช่นนี้กัน” จ้งฮวายังไม่คลายความประทับใจในตัวเ้าเด็กน้ำมูกย้อย จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
แคว้นเชินให้ความสำคัญกับการศึกษา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ค่าใช้จ่ายในการศึกษาสูงยิ่ง การเชิญท่านอาจารย์สักคนมาสอนก็ย่อมมีค่าตอบแทนที่สูงเสียจนคนธรรมดาทั่วไปย่อมไม่มีทางจ่ายไหว
เช่นเดียวกันกับนายท่านหูจากสายตระกูลย่อย แม้ยามอยู่ในเมืองหลวงก็ไม่นับว่าเป็คนยากไร้ ทว่าก็เพราะไม่อาจจ่ายค่าตอบแทนในการเชิญท่านอาจารย์ได้ไหว จึงต้องเดินทางไกลไปค้าขายเพื่อหาเงิน
ชายปากแหว่งนั้นราวกับไม่ได้คิดอันใด เพียงกล่าวขึ้นเสียงดังฟังชัด “เด็กๆ บนเขาของเราก็ต้องทำงานเช่นกัน ส่วนเื่อาจารย์ แม่นางแต่ละคนบนูเาลูกนี้ล้วนรู้หนังสือ ทั้งยังเก่งกาจนัก ถึงแม้ว่าจะไม่เท่าท่านอาจารย์กัวที่ไม่ว่าจะทำนายเื่ใดก็เป็จริงราวกับเทพเซียนลงมาทำนายเองเลยเชียว”
คนบนูเาเขาแห่งนี้ไม่ได้มีความคิดซับซ้อนมากนัก ด้วยเพราะอาชีพเดิมของพวกเขาคือโจร จึงคิดว่าหากฝ่ายตรงข้ามเกิดเป็คนร้ายขึ้นมา ก็เพียงแค่ใช้กระบองทุบให้สลบเสียก็สิ้นเื่
จ้งจื๋อยังคงเดินตามหลังอยู่บนเส้นทางแคบๆ สายนี้อย่างอกสั่นขวัญแขวน ยามนี้จึงอดออกปากแทรกไม่ได้ “ทำนายแม่นราวกับเทพเซียน ย่อมต้องเป็คทาเซียนกระมัง”
เมื่อกล่าวถึงการพยากรณ์ดุจเทพเซียน ใครจะมาชนะตระกูลจ้งของเขาไปได้เล่า
แต่หากบรรพบุรุษตระกูลจ้งอย่างจ้งฟาง ราชครูคนก่อนยังอยู่ พวกเขาก็คงจะไม่ตกมาอยู่ในจุดนี้ได้
ชายปากแหว่งเมื่อได้ยินที่เขากล่าวก็ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด เพียงแค่เดินต่อ เมื่อเดินมาถึงข้างหน้าหน้าผาก็ชะงักฝีเท้าครู่หนึ่ง “ด้านหน้าเป็สะพานเถาวัลย์ บัดนี้ลมแรงมันจึงอาจจะโคลงไปโคลงมาได้ ขอท่านผู้มาเยือนโปรดระมัดระวังด้วย”
จ้งจื๋อเพียงแค่เห็นสะพานตรงหน้า ขาทั้งสองข้างก็พลันสั่นสะท้าน
ท่านพ่อ!
นี่เขากำลังไปส่งจดหมายจริงๆ หรือ เหตุใดเส้นทางบนูเาลูกนี้จึงซับซ้อนถึงเพียงนี้เล่า
เมื่อครู่เพิ่งจะผ่านช่องเขามา บัดนี้ยังต้องมาข้ามสะพานเถาวัลย์
ทว่าใบหน้าของจ้งฮวากลับปรากฏแววตื่นเต้น “มิคาดคิดว่าชีวิตนี้ข้าจะต้องมาพบเจอเื่อันตรายเช่นนี้ ข้ายังคิดอยู่เลยว่าชาตินี้คงจะได้แก่ตายอยู่ในเมืองหลวง”
ต่อมาจึงเห็นว่าชายปากแหว่งเพียงก้าวเดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว จากนั้นก็ะโราวกับโบยบินอยู่ก็ไม่ปาน เพียงไม่กี่ก้าวร่างนั้นก็ไปยืนอยู่อีกด้านของสะพานเถาวัลย์พร้อมกับส่งรอยยิ้มมาทางที่พวกเขายังยืนอยู่อีกฟาก
แสงตะวันสาดส่องลงบนใบหน้าของชายปากแหว่งที่กำลังยิ้มอย่างเบิกบานใจ
จ้งจื๋อยืนมองบิดาตนที่กำลังะโลงไปยืนบนสะพาน สองมือนั้นจับเชือกบนราวสะพานทั้งสองด้านไว้แน่น แล้วค่อยๆ ออกเดินไปด้านหน้าทีละก้าว ยามที่เดินไปถึงกลางสะพานก็พลันหยุดนิ่ง ยืนขมิบบั้นท้ายบนสะพานที่ส่ายไปส่ายมา
จ้งจื๋อเห็นเช่นนั้นก็เหงื่อตก
เมื่อมาถึงคราวของตนเพียงเดินไปถึงกลางสะพาน ทั้งสองด้านก็พลันมีลมแรงพัดดังเสียดหู ปะทะเข้ามาจนทั้งร่างเขาพลันโอนเอน ฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อจนเขาแทบจะร้องไห้ออกมา
ร่างโซเซค่อยๆ เดินไปถึงฝั่งตรงข้ามอย่างยากลำบาก รู้สึกเพียงว่าสองขาของตนอ่อนปวกเปียก จึงได้แต่ทรุดนั่งลงกับพื้น
“พี่ฮวา ข้าเดินไม่ไหวแล้ว พวกเราพักกันสักครู่เถิด” เขาะโไปก็หอบไป
นายท่านผู้เฒ่าเมื่อเห็นท่าทีอ่อนแอของบุตรชายตนเช่นนี้ก็กังวลใจขึ้นมา
ทว่าก็ยังหันไปยิ้มให้ชายปากแหว่งอย่างขออภัย จากนั้นจึงนั่งลงเช่นกัน
“พี่ฮวา ท่านไม่กลัวหรือ” จ้งจื๋อนั่งพิงต้นไม้ต้นหนึ่ง เขามองสะพานเถาวัลย์ริมหน้าผาที่ยังส่ายไปมา เมื่อคิดว่าขากลับตนยังต้องผ่านเส้นทางนี้ก็อดจะขาสั่นพั่บๆ ขึ้นมาด้วยความวิตกอย่างเหลือแสนไม่ได้
“ข้าไม่กลัว ข้าเคยเชิญท่านผู้าุโฟางมาคำนวณให้ ท่านบอกว่าข้าจะสามารถผ่านด่านลิขิต์ได้ เ้าก็เช่นกัน เช่นนั้นไม่ต้องกลัว”
จ้งจื๋อไม่ได้คิดถึงเื่นี้
สำหรับตระกูลจ้งแล้ววาจาของราชครูคนก่อนยังดำรงอยู่ราวกับพระราชโองการก็ไม่ปาน
“ท่านผู้าุโกล่าวว่าอย่างไรหรือ” เขาถามขึ้นด้วยความตื่นเต้น
จ้งฮวาพลันพยักหน้าด้วยความพอใจ
“ผู้าุโฟางคุณธรรมเลื่องลือ คำที่ท่านกล่าวล้วนไม่เคยผิดพลาด หากว่าชาตินี้ได้พบกันอีกสักครา ตาแก่คนนี้ก็คงจะได้ตายตาหลับ” นายท่านผู้เฒ่ายังคงเอนหลังพิงต้นไม้ ดวงตาจับจ้องไปที่หน้าผา พร้อมถอนหายใจออกมา
ชายปากแหว่งยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ใช้กล่องยาสูบเคาะต้นไม้เบาๆ แล้วถามขึ้น “พักกันพอแล้วหรือยัง หากว่าพอแล้วก็เดินต่อเถิด”
จ้งฮวารีบลุกขึ้นยืนทันที ทว่าไม่ทันระวังเอวจึงเคล็ดขึ้นมา จ้งจื๋อเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปช่วยพยุง
ด้วยเหตุนี้สองพ่อลูกที่ไม่ลงรอยกันมานานแสนนานจึงได้ช่วยประคองซึ่งกันและกันเพื่อลุกขึ้นยืน
จากนั้นจึงออกเดินทางเข้าไปในถ้ำคดเคี้ยวต่อ
ถ้ำมืดสลัว และสายลมพัดครวญครางมาเป็ระลอก
สองพ่อลูกยังคงจูงมือกันไม่ห่าง
ยามเดินก็ดูสงบนิ่งกว่าปกติมากนัก
ในที่สุดพวกเขาก็เดินมาจนถึงปากถ้ำ
แสงตะวันอาบไล้ใบหน้า ตรงหน้ามีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่
จ้งจื๋อพลันสูดหายใจยาว เหมือนกับว่าในที่สุดตนก็เพิ่งจะได้เห็นเดือนเห็นตะวันสักที
อดไม่ได้ที่จะะโออกมา “ท่านพ่อ”
“ท่านพ่อ...เส้นทางที่นี่ช่างสลับซับซ้อนเหลือเกิน ท่านผู้เฒ่า ทางเดินในหมู่บ้านของพวกท่านนี่ช่างเดินลำบากเสียจริง”
ชายปากแหว่งพลันกล่าวขึ้น “นี่ก็ถึงแล้วอย่างไรเล่า ท่านเห็นกระท่อมไม้ที่อยู่ตรงข้ามนั่นไหม นั่นคือกระท่อมของครอบครัวลู่”
ฝั่งตรงข้ามกับที่พวกเขายืนอยู่มีทิวทัศน์งดงามนัก ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สุดสายตา ไกลๆ ยังมีฝูงม้ายืนอยู่ ใกล้ๆ กันยังมีกระท่อมที่ดูแข็งแรงปลูกไว้หลังหนึ่ง ดูแล้วช่างน่ามองนัก
แม้จะเดินมาแสนไกล แต่เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ในใจของพวกเขาก็เกิดความรู้สึกพอใจอย่างบอกไม่ถูก
ชายชราสลัดมือลูกชายทิ้งแล้วออกเดินหน้าไปยังทุ่งหญ้าทันที
มองจากไกลๆ ก็เห็นเด็กหญิงคนหนึ่งกับชายชรากำลังนั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหากัน
“ท่านแพ้แล้ว! อย่ามาปลิ้นปล้อนกับข้าเชียว” น้ำเสียงพออกพอใจของเด็กหญิงดังขึ้น
“ข้าเป็อาจารย์จะแพ้เ้าได้อย่างไร หมากเม็ดนั้นไม่นับ มาเล่นกันอีกรอบ” ชายชราตอบด้วยน้ำเสียงดื้อรั้นไม่ยอมแพ้เด็ดขาด
“ข้าไม่สน ข้ายอมให้ท่านตั้งสามตาแล้ว ท่านกล่าวเองว่าถ้าแพ้จะมาเป็ม้าให้ข้าขี่”
สองพ่อลูกตระกูลจ้งเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็งงเป็ไก่ตาแตก
จากนั้นจึงได้เห็นว่าชายชราคนนั้นคว่ำกายเดินสี่ขาเป็ม้าพาเด็กหญิงบนหลังเดินไปเดินมาจริงๆ
อีกทั้งใบหน้าของชายชราก็ไม่มีวี่แววอับอายแม้แต่น้อย ใบหน้าเปื้อนยิ้มยังกล่าวขึ้นอีกว่า “สบายอกสบายใจแล้วกระมังที่ให้อาจารย์มาเป็ม้าให้เ้า ไหนเ้าลองว่ามาสิว่าข้ากับเ้ามืดพอจะสู้กันได้หรือไม่”
เฉินโย่วน้อยตอบขึ้นพร้อมรอยยิ้มเต็มหน้า “ก็พอถูๆ ไถๆ ได้!”
ชายชราและเด็กหญิงเล่นด้วยกันอย่างเบิกบานใจ
เป็ม้าให้องค์หญิงใหญ่ขี่เช่นนี้ก็ไม่ใช่เื่ขายหน้าอะไร ถึงอย่างไรชาตินี้เขาก็ยังติดค้างนางอยู่
ราชครูคิดได้เช่นนั้นก็ออกแรงร้องฮี่ๆ เสียงแหลมอย่างอารมณ์ดี
“ฮี่ๆๆ….”
ขณะที่ราชครูกำลังร้องเสียงแบบม้าอย่างสนุกสนาน
เมื่อเงยหน้าก็พบว่ามีคนสามคนกำลังเดินมาทางตน
