ภายหลังออกมาจากตำหนักขององค์ชายห้า หลินหร่านถึงได้เริ่มคืนสติกลับมา ก่อนที่เขาจะเอ่ยชื่นชมผู้เป็อาจารย์
หลินหร่าน อวี้ฉู่จาวและซูชิงเฟิง เวลานี้ทั้งสามคนกำลังนั่งอยู่บนรถม้า
“ท่านอาจารย์ เมื่อครู่ท่านอาจารย์เก่งมากเลยขอรับ” หลินหร่านที่อยู่ข้างกายอวี้ฉู่จาวมองไปทางผู้เป็อาจารย์ด้วยแววตาเป็ประกาย
อวี้ฉู่จาวรับรู้ได้ถึงความสุขของหลินหร่าน ทำให้มุมปากของเขายกยิ้มตามเล็กน้อย ฝ่ามือขวาโอบเอวของอีกคนเพื่อให้นั่งดีๆ
“หือ เก่งอย่างไรหรือ?” ซูชิงเฟิงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
หลินหร่านตาโตก่อนตอบกลับ “ท่านอาจารย์มีฝีมือแพทย์อันเก่งกาจ การฝังเข็มของท่านทำให้พระสนมลี่หลับไปในชั่วพริบตา ข้าพูดไม่ค่อยถูกเท่าไร แล้วก็…ท่าน…อืม…”
หลินหร่านพยายามสรรหาคำพูดออกมาบรรยาย “ท่านอาจารย์เอ่ยถ้อยคำได้อย่างฉะฉาน ผู้คนเ่าั้ฟังท่านหมดทุกคน แม้แต่เสด็จพ่อก็ฟังและทำตามที่ท่านอาจารย์กล่าว”
ซูชิงเฟิงเห็นท่าทีของหลินหร่านก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “ใช่แล้ว ข้าเป็คนเก่งกาจ แต่เ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงเก่งกาจได้ถึงเพียงนี้?”
“เพราะเหตุใดหรือขอรับ?”
ซูชิงเฟิงหันไปสบตากับอวี้ฉู่จาว เขาระบายยิ้มพลางตอบ “เพราะข้าเป็หมอเทวดาไง เพราะข้าช่วยผู้คนมากมาย ที่ผู้คนให้ความเคารพข้า นั่นเป็เพราะฝีมือทางการแพทย์ของข้า เ้าจงจำเอาไว้ คนเราขอเพียงแค่เป็ผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่จนใครก็ไม่อาจโค่นเ้าลงได้…”
แล้วซูชิงเฟิงก็หันไปมองอวี้ฉู่จาวอีกครั้ง “เฉกเช่นท่านอ๋อง หรือเป็คนที่มีแต่ใครต่อใคร้าตัวอย่างข้า เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าใครก็จะพากันกลัวเ้า เคารพเ้ากันหมด และตอนนั้น เ้าก็จะกลายเป็คนเก่งกาจ”
หลินหร่านเข้าใจคำพูดเ่าั้ชัดเจน ถึงอย่างนั้น เขาก็คิดว่าตนเองยังควรมีท่านอาจารย์คอยสั่งสอน
หลินหร่านเงยหน้ามองอวี้ฉู่จาวตามความเคยชิน เขามักจะ้าถ้อยคำยืนยันจากท่านอ๋องเสมอ
อวี้ฉู่จาวพึงพอใจกับคำสั่งสอนที่ซูชิงเฟิงเอ่ยกับหลินหร่านเป็อย่างมาก ก่อนที่ตนเองจะหันไปพยักหน้าให้อีกคน “สิ่งที่อาจารย์ของเ้าพูดไม่ผิด”
“อื้อ ข้าทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลินหร่านพยักหน้ารับ
ทั้งสามคนพูดคุยกันจนกลับมายังตำหนักอ๋องเพื่อศึกษายาในการรักษาโรคระบาด
หลังจากนั้น ทางราชสำนักก็ได้ส่งผู้แทนพระองค์เพื่อไปตรวจสอบที่เขตผิง เมืองจั๋วโจว
สำหรับทางหน่วยงานต้าหลี่ เปี้ยนฉุนก็ได้ทำการตรวจสอบเื่นี้เช่นเดียวกัน เมื่อเขาไปถึงเขตผิงจึงได้ทราบว่าตอนนี้ เขตผิงถูกลบออกไปจากภูมิประเทศเป็ที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งเมืองถูกเผาราบ ผู้ว่าการมณฑลก็หายสาบสูญ หลงเหลือไว้เพียงเ้าเมืองซึ่งมีนามว่าหลี่สวิน
เปี้ยนฉุนลงมือด้วยความรวดเร็ว ไม่ให้โอกาสหลี่สวินได้พักหายใจ เขาจับอีกฝ่ายยัดเข้าคุกในทันที
ภายใต้การสอบปากคำที่เข้มงวด หลี่สวินยอมรับสารภาพว่าตัวเขาตั้งใจปกปิดเื่โรคระบาดในเขตผิง นอกจากนี้ เขายังสังหารผู้ว่าการมณฑลของเขตผิงเพื่อทำการปิดปาก
ภายหลังเอ่ยถามถึงสาเหตุที่ปิดบัง หลี่สวินก็ให้เหตุผลว่าเป็เพราะโรคระบาดในเขตผิงรุนแรง จนตัวเขาไม่กล้าที่จะรายงานต่อราชสำนัก และเกรงว่าฮ่องเต้จะทำโทษที่เขาปกป้องเขตได้ไม่ดีพอ
ทว่า ทุกคนต่างมิได้โง่เขลาที่จะหลงกลเชื่อในคำรับสารภาพของเขา
ต้าอวี้มีอาณาเขตที่กว้างขวาง ทุกๆ ปีจะมีโรคระบาดและภัยธรรมชาติเกิดขึ้นเสมอ ฮ่องเต้ฉงเต๋อจึงมักให้ความสำคัญต่อการปกครองกับการถูกยกยอให้ความเคารพ พระองค์ไม่เคยที่จะทำโทษข้าหลวงคนไหนมาก่อน ฉะนั้น เมื่ออีกฝ่ายใช้ข้ออ้างนี้จึงทำให้ฟังไม่ขึ้น
ผลลัพธ์ที่ออกมาเช่นนี้ ทำให้เปี้ยนฉุนไม่พอใจเป็อย่างยิ่ง เพราะหลี่สวินไม่ยอมพูดความจริง นี่กลับยิ่งทำให้เปี้ยนฉุนรู้สึกได้ว่าเื่นี้ต้องไม่ใช่เื่ธรรมดา
หลังจากนั้น เขาก็ได้ไปค้นที่จวนของหลี่สวินแล้วพบกับห้องลับเข้า
ภายในนั้น นอกจากจะเต็มไปด้วยของล้ำค่ามากมายแล้ว ยังมีจดหมายติดต่อกับใครบางคนที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็อย่างดีเสียยิ่งกว่าของล้ำค่าชิ้นอื่น
จดหมายที่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างแ่ากว่าสมบัติเ่าั้ทำให้เปี้ยนฉุนสนใจเป็พิเศษ แต่จากการตรวจสอบ ทำให้รู้เพียงว่าฝั่งหนึ่งคือลายมือของหลี่สวิน ส่วนอีกฝ่ายนั้นไม่อาจทราบได้เลยว่าเป็ลายมือของใคร
ทว่า ในห้องลับแห่งนี้ไม่ได้ทำให้เขาพบเพียงเบาะแสใหม่ แต่ยังเป็ข้อพิสูจน์ได้อีกว่าหลี่สวินก่ออาชญากรรม ฉ้อโกงและหาเงินโดยการรับสินบน ซึ่งนั่นก็ทำให้โทษของหลี่สวินทวีคูณมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เนื้อความในจดหมายลึกลับเ่าั้ก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็การรายงานสถานการณ์ของโรคระบาด ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีใครสักคนคอยเฝ้าดูโรคระบาดนี้อยู่ นอกเหนือจากนี้ก็ไม่พบเบาะแสอะไรอีก และเขาเองก็คิดว่าเื้ัของเื่นี้ แม้แต่หลี่สวินคงไม่ทราบเช่นกัน
เปี้ยนฉุนจึงทำได้เพียงพยายามตรวจสอบต่อไป
เมื่อติดตามดูประวัติครอบครัวของหลี่สวิน เปี้ยนฉุนก็พบว่าต้นตระกูลหลี่มีความสัมพันธ์อันดีงามกับต้นตระกูลของฮองเฮาองค์ปัจจุบันเป็อย่างสูง
ต้นตระกูลของฮองเฮานั้น ถือเป็ผู้ที่มีความสำคัญในการร่วมก่อตั้งแคว้นขึ้นมา ตระกูลหลี่จึงนับว่าเป็ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ภักดีต่อเหล่าวีรบุรุษผู้ก่อตั้งแคว้น
แน่นอนว่าหาก้าตรวจสอบรายละเอียดเหล่านี้ คงต้องตรวจสอบไปถึงสามชั่วอายุคน และถ้าทำเช่นนี้ก็อาจดูไม่เข้าท่านัก แต่อย่างไรเสีย หากจะบอกว่าหลี่สวินสมรู้ร่วมคิดกับองค์ชายสองก็ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยตำแหน่งโอรสของฮองเฮาก็คงดูมีความคาดหวังไปจนถึงตำแหน่งองค์รัชทายาท ทำให้หลายต่อหลายคนจึงเริ่มยืนหยัดเพื่ออนาคตของตนเอง ถึงกระนั้น นี่ก็เป็เพียงการคาดเดาเท่านั้น เปี้ยนฉุนยังไม่กล้าที่จะปักใจเชื่อมั่นนัก
ต่อให้มาถึงบทสรุปเช่นนี้แล้วก็ตาม เปี้ยนฉุนกลับคิดว่า ฮ่องเต้ฉงเต๋อยังไม่ควรได้รับข่าวสารเหล่านี้ เขาเองยังอยากจะตรวจสอบเื่นี้ให้ตนเองค้นพบความจริงเสียก่อน เพราะหากเบาะแสที่เขาค้นพบในวันนี้ถูกแพร่ออกไป เกรงว่าผู้อยู่เื้ัอาจรู้ตัวเสียก่อน
หากหาหลักฐานยืนยันเื่เหล่านี้ได้แล้ว ถึงจะสามารถเอาความผิดได้อย่างดิ้นไม่หลุด
………
อีกด้านหนึ่ง
ในเมืองหลวงเกิดเื่วุ่นวายถึงเพียงนี้ แต่ผู้ที่เก็บตัวเงียบมากที่สุดกลับเป็องค์ชายสองอวี้ฉู่ซวน แน่นอนว่ารวมไปถึงอวี้ฉู่เฉิงด้วยเช่นกัน
แต่ถึงอย่างไร ปกติการที่เขาจะปรากฏตัวในราชสำนักก็นับว่าค่อนข้างน้อยอยู่แล้ว
่นี้ เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของอวี้ฉู่ซวนต่างรู้ดีว่าเขามักจะแสดงท่าทีไม่สบอารมณ์อยู่บ่อยครั้ง นับว่าอยู่ใน่เวลาที่สภาวะจิตใจไม่ค่อยมั่นคงเท่าไร
หากอวี้ฉู่ซวนไม่สบอารมณ์ แน่นอนว่าคนที่ต้องรับกรรมก็ไม่พ้นอวี้ฉู่เฉิง
ณ ตำหนักองค์ชายสอง ถนนจูเชวี่ยแห่งเมืองอวี้อัน
“เ้าหนอเ้า คาดไม่ถึงเลยว่าเ้าจะทำเช่นนี้ลับหลังข้า”
“อึก…โอ้ย!”
“พูด พูดมาว่าเ้ารู้ได้อย่างไร พูดมาสิ!”
เสียงแส้ฟาดลงบนเนื้อจนเกิดเสียงดังและทำให้ิัปริออก
ภายในห้องบรรทมเต็มไปด้วยเสียงของอวี้ฉู่ซวนที่ะโถามอย่างบ้าคลั่ง กับน้ำเสียงของอวี้ฉู่เฉิงที่ยิ่งอ่อนแรงลงเรื่อยๆ
อวี้ฉู่เฉิงพยายามอดกลั้นเสียงของตนเองไว้ อวี้ฉู่ซวนสั่งให้คนจับเขาไว้โดยที่เขานั้นไม่มีโอกาสได้พูด
ฉลองพระองค์ขององค์ชายที่เขาสวมใส่ถูกแส้ฟาดจนขาดเป็ชิ้นๆ รวมไปถึงทั่วร่างกายของเขาตอนนี้ก็มีิัปริจนเต็มไปด้วยาแ
หลังจากนั้น อาจเป็เพราะอวี้ฉู่ซวนเริ่มเหนื่อยล้าแล้ว เขาถึงได้ปล่อยแส้ในมือก่อนจะคุกเข่าลงเบื้องหน้า
แววตาของอวี้ฉู่ซวนลุกโชนดั่งเปลวไฟ ดูน่าสะพรึงกลัวและน่าเกรงขาม เขายื่นมือออกมาบีบคางของอวี้ฉู่เฉิงก่อนถลึงตาใส่ “เ้ารู้เื่นี้ได้อย่างไร?”
อวี้ฉู่เฉิงรู้สึกราวกับคางของตนเองจะแหลกคามืออวี้ฉู่ซวนอย่างไรอย่างนั้น ร่างกายที่แปดเปื้อนไปด้วยเืสดๆ ของเขาถูกอวี้ฉู่ซวนดึงขึ้นมา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยาแไม่แสดงอารมณ์ตื่นตระหนกหรือหวาดกลัว
ร่างกายที่รู้สึกเหมือนกับตายไปแล้วครึ่งหนึ่งค่อยๆ เอื้อนเอ่ยคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก “อะ...อะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ...ข้า…ข้ารู้อะไร”
“เื่โรคระบาด โรคระบาดอย่างไรเล่า!” อวี้ฉู่ซวนะโออกมาเสียงดัง
ดูเหมือนว่าการที่ได้ะโออกไปเช่นนี้ จะทำให้เขาลดความตระหนกที่อยู่ในใจลงไม่น้อย
“เื่โรคระบาด...ใครๆ...ก็รู้กันทั้งนั้น” อวี้ฉู่เฉิงยังคงกล่าวออกมาอย่างเหนื่อยยากด้วยสีหน้าเรียบเฉย
และแล้ว ความคิดในหัวของอวี้ฉู่ซวนก็กระจ่างชัด
ใช่แล้ว เื่โรคระบาดที่กำลังแพร่กระจายอยู่นั้น ไม่ว่าใครต่างก็รับรู้ มีแค่เพียงราชสำนักกับพระบิดาเท่านั้นที่ยังไม่รู้เื่นี้ดี
เขาได้ให้อวี้ฉู่เฉิงจัดการตัวปัญหาอย่างอวี้ฉู่หลิง และการทำให้ติดโรคระบาดก็ถือเป็ทางออกที่ดีที่สุด ด้วยเหตุนี้กระมัง อวี้ฉู่เฉิงจึงเลือกที่จะใช้วิธีนี้ โดยที่ไม่รู้เลยว่ามันจะส่งผลกระทบต่อตนเองอย่างไร
การที่ตัวเขาทำเช่นนี้ เท่ากับว่าเขากำลังหาเหาใส่หัวใช่หรือไม่กัน?
----------------------------------------
