ท่านหญิงหย่งเจียเดินจากไปด้วยสีหน้าหม่นหมอง
ผูหยางชิงหลันสีหน้าเรียบเฉย แต่ยามกลับห้องของตนเอง กลับเดินเข้าผิดห้อง
เหลียนเซวียนเห็นอยู่ในสายตาก็สั่นศีรษะอย่างช่วยไม่ได้
ไยต้องทำเช่นนั้นด้วย ทรมานทั้งตนเอง ทรมานทั้งฝ่ายตรงข้าม
เขาเอี้ยวศีรษะไปมองห้องของเซวียเสี่ยวหรั่นบางเบาสม่ำเสมอ
ตะเกียงน้ำมันในห้องดับไปแล้ว ลมหายใจของนางแ่จางผ่อนคลาย หลับสนิทไปนานแล้ว
มุมปากของเขาแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
เดินทางมาหลายวัน นางคงจะเหนื่อยแล้ว
ให้นางหลับให้สบายเถอะ
เช้าตรู่วันต่อมา หลังจากกินอาหารเช้า
คณะคนก็เตรียมออกเดินทาง
หลังขึ้นรถม้า เซวียเสี่ยวหรั่นก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าขบวนของท่านหญิงหย่งเจียยิ่งใหญ่จนน่าตกตะลึง
ขบวนองครักษ์ยาวเหยียดเป็ระเบียบเรียบร้อย เหล่าองครักษ์นั่งอยู่บนอาชาพ่วงพีแข็งแรง แลดูน่าเกรงขาม
เซวียเสี่ยวหรั่นหันไปถามผูหยางชิงหลันซึ่งขี่ม้าอย่างเอ้อระเหยอยู่แถวนั้น "ไม่รอพวกเหลยลี่ก่อนหรือ"
"ไม่ต้องรอ พวกเขาจะตามมาเองภายหลัง" ผูหยางชิงหลันโบกมือ
"เช่นนั้น... ระหว่างทางจะเจอคนร้ายกลุ่มนั้นอีกหรือไม่" เซวียเสี่ยวหรั่นมองขบวนทหารม้าแข็งแกร่งด้านหลัง ในใจคิดว่าคงไม่มีคนร้ายคนไหนโง่เง่าเสนอหน้าเข้ามาหรอกกระมัง
"พูดยาก มีใครบางคนไม่อยากเห็นเสี่ยวชีกลับเมืองหลวง ดังนั้นไม่ว่าวิธีลงมือจะไร้ยางอายแค่ไหนก็สามารถทำได้ทุกอย่าง"
แม้หย่งเจียจะพาองครักษ์มาไม่น้อย แต่ถ้าเ้าพวกบ้าในเมืองหลวงเ่าั้ส่งกองกำลังลับปลอมเป็โจรป่าซุ่มโจมตี ก็ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้
ไปๆ มาๆ ก็วกมาใช้เพทุบายเหล่านี้ ผูหยางชิงหลันสะบัดแส้ม้าอย่างระอาใจ
เซวียเสี่ยวหรั่นอ้าปากค้าง โเี้ไร้หัวใจที่สุดก็คือราชวงศ์กษัตริย์ไม่ผิดเลยจริงๆ
แต่ไม่รู้ว่ามือมืดที่หมายเอาชีวิตของเหลียนเซวียนให้ได้คือองค์ชายพระองค์ไหน ช่างใจดำอำมหิตผิดมนุษย์ยิ่งนัก
แต่ได้ยินว่าองค์ชายที่มีแนวโน้มในการสืบทอดราชสมบัติสูงสุดของแคว้นฉีมีองค์ชายใหญ่เฟิงอ๋อง องค์ชายห้าลี่อ๋อง ยังมีองค์ชายหกกับองค์ชายเก้าที่ยังมิได้รับการแต่งตั้งเป็อ๋อง
ระหว่างการเดินทาง เซวียเสี่ยวหรั่นได้ยินเื่ซุบซิบของราชวงศ์มาไม่น้อย
องค์ชายรองหลิ่งอ๋องเป็สายเืของชนเผ่าเป่ยเิ องค์ชายสามซุ่นอ๋องแม้จะรอดจากไข้ทรพิษมาได้แต่ก็เสียโฉม องค์ชายสี่สิ้นพระชนม์จากไข้ทรพิษครานั้น องค์ชายเจ็ดคือเหลียนเซวียน ได้ยินว่ามีสายเืของซีฉี องค์ชายแปดสิ้นพระชนม์นานแล้ว
องค์ชายรองกับองค์ชายเจ็ดมีสายโลหิตของต่างชนเผ่าจึงเป็ที่รังเกียจเดียดฉันท์ของขุนนางที่้าปกป้องสายเืบริสุทธิ์ จึงไม่มีคุณสมบัติในการสืบทอดบัลลังก์ั้แ่ถือกำเนิด
เพราะเหตุใดยังมีองค์ชายที่คิดร้ายต่อเหลียนเซวียนอีกล่ะ?
หรือเพราะเขาโดดเด่นเกินไป?
เซวียเสี่ยวหรั่นอดคาดเดาไปในทางนี้ไม่ได้
ความโดดเด่นของเหลียนเซวียนคือความจริงมิต้องกังขา
ดังนั้นจึงมีคนรู้สึกขวางหูขวางตา หรือไม่ก็ผูกใจเจ็บกันมาก่อนรึเปล่า?
เซวียเสี่ยวหรั่นเกาะข้างประตูหน้าต่าง ชมทิวทัศน์ริมทางที่ผ่านไปด้านหลัง แต่ไม่อาจหยุดยั้งความคิดว้าวุ่นในสมองไปได้
"คุณหนูวันนี้ท่านจะฝึกเขียนอักษรหรือไม่" อูหลันฮวาฝนหมึก และปูกระดาษเซวียนจื่อไว้เรียบร้อย
"อ้อ ฝึกสิ" เซวียเสี่ยวหรั่นรั้งสายตากลับมา
หลังตั้งสติแล้ว ก็กลับมานั่งหน้าโต๊ะเตี้ยเคลือบเงา
"หากข้ามัวแต่สามวันตกปลาสองวันตากแห [1] เมื่อไรจะเขียนอักษรได้ดีสักทีล่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นยกพู่กัน แล้วเริ่มฝึกเขียนอักษร
"อักษรของคุณหนูสวยกว่าข้าเยอะเลย" อูหลันฮวารีบเอ่ย
แต่คำปลอบใจของนาง ก็ยังไม่อาจทำให้เซวียเสี่ยวหรั่นสดชื่นขึ้นมา
เธอเขียนอักษรมาสิบกว่าปี จะเปรียบเทียบกับคนที่เพิ่งเริ่มศึกษาแค่เดือนสองเดือนได้อย่างไร
"คุณหนู เอ่อ... สถานะของคุณชายคือองค์ชายเจ็ดใช่หรือไม่" อูหลันฮวากระซิบถามเสียงเบา
ดูเถอะ แม้แต่อูหลันฮวายังเดาออก
"ข้าก็ไม่แน่ใจนัก คงใช่กระมัง" เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มไม่ออก ยกมือหนึ่งเท้าคางไว้ อีกมือก็เขียนอักษร
อูหลันฮวาเห็นนางยังไม่สดชื่นขึ้นมา ก็ไม่พูดอะไรอีก หันไปฝึกคัดอักษรอย่างจริงจัง
เที่ยงวัน ขบวนรถยาวเหยียดก็หยุดอยู่ด้านนอกตลาดของหมู่บ้านขนาดใหญ่ และเหมาทั้งโรงเตี๊ยมรับประทานอาหาร
ท่านหญิงหย่งเจียสวมหมวกม่านโปร่งสีขาวลงจากรถม้า มีสาวใช้ประคองเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมเล็กๆ
เซวียเสี่ยวหรั่นะโลงจากรถม้าเอง และเดินเข้าไปพร้อมกับพวกเซวียเสี่ยวเหล่ย
เสียงของคณะเดินทางค่อนข้างอึกทึก ดึงดูดสายตาชาวบ้านจำนวนไม่น้อยเข้ามามุงดูแต่ไกลๆ
แน่นอนว่าองครักษ์คาดกระบี่ที่เอวย่อมยืนเฝ้าอยู่รอบโรงเตี๊ยม ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาหาเื่ใส่ตัว
หลังจากสาวใช้กับหมัวมัวของท่านหญิงหย่งเจียเขามาตรวจสอบที่นั่งของนางแล้ว ก็ปูเบาะรองนั่งและผ้าปูโต๊ะสะอาดลงไป
ออกมาข้างนอก ยังต้องพิถีพิถันปานนี้ เซวียเสี่ยวหรั่นแลบลิ้นในใจ
เปรียบเทียบกันแล้วเธอกลายเป็สตรีหยาบกระด้างไปเลย
แม้เท้าเปล่าก็สามารถวิ่งแล่นไปทั่วขุนเขาลำเนาไพร
เซวียเสี่ยวหรั่นพาเซวียเสี่ยวเหล่ยไปนั่งด้านข้าง
"เสี่ยวหรั่น เดี๋ยวอีกสักครู่ข้าขอยืมดูดินสอถ่านต้นหลิวบนรถของเ้าได้หรือไม่" ผูหยางชิงหลันเข้ามาหย่อนก้นนั่งข้างพวกเขา
ก่อนหน้านี้เขาขี่ม้าเข้าไปใกล้รถม้าของเซวียเสี่ยวหรั่น เห็นนางใช้แท่งถ่านสีดำวาดๆ เขียนๆ บนกระดาษเซวียนจื่อ
ที่วาดก็คือแบบกระเป๋าสะพายหลากชนิดในชีวิตประจำวัน ผูหยางชิงหลันเคยเห็นกระเป๋าที่พวกนางทำมาบ้าง แต่ไม่เคยสังเกตว่านางสามารถใช้ดินสอถ่านวาดลวดลายที่มีชีวิตชีวาออกมาได้เช่นนี้
"อ้อ ได้สิ เดี๋ยวท่านมาเอาไปได้เลย แต่ว่าดินสอแท่งนั้นเผายังไม่ค่อยดีเท่าไร เส้นที่เขียนออกมายังไม่ค่อยไหลลื่นนัก ท่านอย่าออกแรงมากเกินไปล่ะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นมีดินสอถ่านเพียงแท่งเดียว อันใหม่ยังไม่มีเวลาเผา
แต่เขาอย่าทำหักก็แล้วกัน
"เ้าบอกว่าดินสอถ่าน ทำมาจากกิ่งหลิวเผามิใช่หรือ เช่นนั้นก็ง่ายมาก ตัดกิ่งหลิวมาสักหน่อย แล้วเอาไปเผาก็ได้แล้วมิใช่หรือ"
"จะว่าง่ายก็ไม่ง่ายอย่างที่เห็นหรอก เผาให้เป็แท่งไม่ยาก ที่ยากคือเผาให้กลายเป็ดินสอถ่านที่เรียบลื่นเสมอกันต่างหาก"
เซวียเสี่ยวหรั่นหันไปยิ้มให้เขาพูดอย่างฉาดฉาน
แต่ผลลัพธ์ก็คือ พอเห็นคนที่เดินเข้ามาด้านหลังของเขา รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ จืดจางลง
ดวงตาสงบนิ่งดุจน้ำบ่อลึกของเหลียนเซวียนหรี่ลงเล็กน้อย
การแสดงออกของนางทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยดีนัก
เมื่อเช้ายามพบกัน แม้ว่านางจะยิ้มและทักทายเขา แต่หันไปอีกทีก็แล่นไปหาเซวียเสี่ยวเหล่ยแล้ว
ั้แ่เช้าจนกระทั่งถึงตอนนี้พวกเขาทักทายกันแค่ประโยคเดียว
พอเห็นเขาเดินเข้ามา รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป
ในใจของเหลียนเซวียนััได้ถึงวิกฤติอันใหญ่หลวง
รู้สึกว่าต้องหาเวลาคุยกันนางดีๆ
"คุณหนูเซวียมานั่งทางนี้เถอะ พวกเราสตรีนั่งฝั่งหนึ่ง ให้พวกเขานั่งอีกฝั่งหนึ่ง" ท่านหญิงหย่งเจียเห็นนางกับผูหยางชิงหลันคุยกันยิ้มให้กัน ในใจก็รู้สึกแย่ห้าอารมณ์ผสมปนเป
เขาเคยคุยเื่สัพเพเหระเป็คุ้งเป็แควกับนางแบบนี้เมื่อไรกัน
สถานการณ์เช่นนี้คงจะค้นหาได้แต่ในความทรงจำ
รอยยิ้มมุมปากของท่านหญิงหย่งเจียแฝงแววขื่นขม
เซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่ลังเล เธอ้าหลีกเลี่ยงเหลียนเซวียนอยู่พอดี จึงลุกขึ้นแล้วย้ายไปนั่งโต๊ะเดียวกับท่านหญิงหย่งเจีย
"ดินสอถ่านของคุณหนูเซวียคือสิ่งใดหรือ" ท่านหญิงหย่งเจียปลุกใจตนเองก่อนหันมาสนทนากับเซวียเสี่ยวหรั่น
"อ๋อ ก็คือดินสอถ่านที่สามารถเขียนอักษรได้" เซวียเสี่ยวหรั่นยกมือเปรียบเทียบให้เห็นความยาว "นำกิ่งหลิวมาเผาให้เป็ถ่านแล้วห่อด้วยกระดาษน้ำมัน ก็สามารถนำมาใช้เขียนอักษรได้แล้ว"
ดวงตาสุกใสของท่านหญิงหย่งเจียฉายแววประหลาดใจ "แล้วอักษรที่เขียนออกมางดงามหรือไม่"
"เื่นี้... ก็ยังไม่แน่" เซวียเสี่ยวหรั่นลูบจมูก "ต้องดูว่าใช้จนชินมือหรือยัง"
...
[1] เป่ยเิ คือมองโกลเหนือ
[2] ใช้อุปมาถึงคนที่ทำอะไรไม่จริงจัง ทำบ้างหยุดบ้าง
