เมื่อััถึงแรงลมที่กระโชกใส่ท้ายทอย ไป๋หยุนเฟยจึงกัดฟันถ่ายเทพลังิญญาทั้งมวลลงสู่ขาทั้งสองข้างแล้วถีบเท้าสุดกำลัง แผ่นหินปูพื้นใต้ฝ่าเท้าถึงกับแหลกละเอียดยามที่ะเิพลังิญญาส่งร่างถลันไปด้านหน้าอีกหลายนิ้วในชั่วพริบตา
เห็นท่าคว้าจับของตนพลาดเป้า หลิวเฉิงจึงแค่นเสียงเ็าพร้อมกับแปรเปลี่ยนกรงเล็บกลายเป็ฝ่ามือ แล้วจู่ๆแขนขวาหลิวเฉิงก็ยืดยาวออก ส่งฝ่ามือประทับใส่กลางหลังไป๋หยุนเฟยอย่างฉับพลัน นี่จะเป็วิชาใดหากไม่ใช่ฝ่ามือแขนยาว!
“พลั่ก!”
ไป๋หยุนเฟยต้องกระอักโลหิตอีกครั้ง ความเร็วมันก็เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ครั้งนี้เป็เพราะถูกฝ่ามือกระแทกใส่ ฝ่ามือนี้ส่งไป๋หยุนเฟยลอยไปด้านหน้าอีกห้าหกวาก่อนจะร่วงลงทอดกายกับพื้น
ดวงตาหลิวเฉิงทอประกายเย็นเยียบ มันไม่รอช้ารีบพุ่งเข้าหาหมายจะคร่ากุมไป๋หยุนเฟยเอาไว้
กระนั้นขณะที่ห่างจากไป๋หยุนเฟยไม่ถึงสองวา จู่ๆสีหน้าหลิวเฉิงก็แปรเปลี่ยนไป มันยั้งร่างลงอย่างกะทันหันก่อนจะรีบล่าถอยอย่างเร่งร้อน
“เฟี้ยว... เคร้ง!”
ชั่วขณะที่ล่าถอย เสียงหวีดหวิวจากที่ห่างไกลก็ดังฝ่าความมืดขึ้น ประกายแสงเย็นเยียบพุ่งวาบเข้ามาปักทะลวงใส่พื้นตรงที่หลิวเฉิงอยู่เมื่อครู่ในชั่วพริบตา
ที่แท้เป็กระบี่ยาวสามเชียะปักตรึงใส่แผ่นหินปูพื้นถนน ด้ามกระบี่ยังคงสั่นระริกส่งเสียงกังวานอย่างแ่เบา
หลิวเฉิงยืนนิ่งเฉยเพ่งสายตามองไปเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ผู้ใดกล้ากระทำการอุกอาจในอาณาเขตสำนักหลิวขจีข้า?!” เสียงะโถามดังขึ้นก่อนจะมีเงาร่างมากมายปรากฏขึ้นในคลองจักษุของหลิวเฉิง ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกอีกฝ่ายล้วนเป็สตรี พวกนางแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาวประดับด้วยแถบผ้าสีเขียวสดใสทั้งร่างดูไปราวกับใบหลิว ยามเดินเหินเสื้อผ้าพวกนางพลิ้วสะบัดส่งแถบผ้าโบกไหวราวใบหลิวต้องลม ให้ความรู้สึกเหนือโลกยามที่ต้องแสงสลัวยามค่ำคืน
“สำนักหลิวขจี!” แก้วตาหลิวเฉิงหดวูบ สีหน้ามันกลับยิ่งเคร่งเครียดกว่าเดิม
กลุ่มคนตรงหน้ากลับไม่เชื่องช้าแม้แต่น้อย หลิวเฉิงยังไม่ทันเห็นชัดตาพวกนางก็มาถึงเบื้องหน้าแล้ว คนจากสำนักหลิวขจีหยุดที่ข้างกายไป๋หยุนเฟย จากนั้นก็ปรากฏเงาร่างอรชรงดงามสองร่างพุ่งเข้าไปประคองมันขึ้นจากพื้น
“ในที่สุดพวกท่านก็มา...” ไป๋หยุนเฟยเช็ดคราบโลหิตที่มุมปากมองดูชิวลู่หลิวและฉู่อวี้เหอที่ช่วยกันประคองมันขึ้น ไป๋หยุนเฟยฝืนยิ้มอย่างแ่เบา แต่ในใจกลับบังเกิดความคิดอันพิกลขึ้นอย่างกะทันหัน “ไฉนผู้ที่มาช่วยจะต้องมาถึงใน่เวลาวิกฤตเสมอ? ไฉนพวกมันไม่ปรากฏตัวแต่เนิ่นๆ? ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ต้องรับฝ่ามือสุดท้ายแล้ว...”
ฉู่อวี้เหอมองดูไป๋หยุนเฟยที่สีหน้าประหลาดพิกล ตากลมโตของนางก็เอ่อคลอด้วยน้ำตาแทบจะร่ำไห้อออกมา นางถามอย่างวิตก “พี่หยุนเฟยท่านเป็ไรหรือไม่? ท่านาเ็ที่ใดหรือไม่? อย่าทำให้ข้ากังวล...”
ไป๋หยุนเฟยมองดูท่าทีกังวลสนใจของเด็กสาวด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเอ่ยปากปลอบโยน “ข้าไม่เป็ไร อย่าได้กังวลแล้ว ข้าเพียงาเ็ผิวเผิน ไม่มีอันใดต้องกังวล...”
กล่าวจบจึงหันไปทางชิวลู่หลิวที่มองมาด้วยด้วยสีหน้าห่วงใย ก่อนจะแย้มยิ้มให้พลางกล่าวว่า “ลู่หลิวข้าสร้างปัญหาแก่ท่านแล้ว...”
“หยุนเฟยท่านไม่ต้องเกรงใจ ท่านเป็พี่ร่วมสาบานของอวี้เหอ ท่านอาจารย์เองก็บอกว่าพวกเราสมควรช่วยเหลือท่าน” ชิวลู่หลิวกล่าวอย่างยิ้มแย้มก่อนจะหันไปมองสตรีวัยกลางคนอายุราวสามสิบที่ยืนอยู่ด้านหน้า พร้อมกับกล่าวว่า “นี่คืออาจารย์อามู่เฟิง ผู้าุโแห่งสำนักหลิวขจี ท่านอาจารย์กำชับให้มาช่วยเหลือท่านพร้อมกับข้า”
มู่เฟิงเอียงคอมองมายังไป๋หยุนเฟย หลังจากพยักหน้าให้เล็กน้อยก็หันกลับไปมองหลิวเฉิงที่อยู่ตรงหน้า พลางกล่าวพร้อมกับหัวเราะอย่างเ็า “ข้าก็นึกสงสัยอยู่ว่าใคร ที่แท้ก็เป็ผู้าุโหลิวแห่งสำนักธารน้ำแข็ง ไฉนท่านมาที่เมืองชุ่ยหลิวของข้าแทนที่จะอยู่เฝ้าสำนักธารน้ำแข็งของท่าน? มิหนำซ้ำยังพยายามทำร้ายแขกสำนักหลิวขจีอีก นี่หมายความว่าอย่างไร?”
หลิวเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย มันมองดูไป๋หยุนเฟยก่อนจะหันไปมองมู่เฟิงอีกครั้ง หลังจากลอบถอนใจก็ประสานมือคารวะพลางกล่าวว่า “ท่านกล่าวหนักไปแล้วผู้าุโมู่ ข้าไม่มีเจตนาล่วงเกินสำนักท่านจริงๆ ที่จริงนี่เป็ความแค้นส่วนตัวระหว่างข้ากับคนผู้นี้ อีกอย่างข้าก็ไม่ทราบมาก่อนว่ามันจะมีความสัมพันธ์กับสำนักท่าน จึงได้...”
“ท่านกับเขามีความแค้นต่อกัน? เื่อันใดจึงทำให้ผู้ฝึกปรือิญญาที่บรรลุด่านภูติิญญาระดับกลางเช่นท่านเพาะความแค้นกับผู้เยาว์ที่บรรลุเพียงด่านวีรชนิญญาได้?” มู่เฟิงขัดจังหวะก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม
“มัน...” หลิวเฉิงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ หลังจากชะงักไปชั่วครู่จึงกล่าวต่อ “มันสังหารบุตรชายผู้าุโจางของสำนักข้า ดังนั้นข้าจึง้าคร่ากุมตัวมัน...”
“โอ? เขาฆ่าบุตรชายจางเจิ้นซาน? ท่านมีพยานหลักฐานหรือไม่?” มู่เฟิงเลิกคิ้วเรียวงามขึ้น “อีกอย่าง เหตุใดท่านจึงต้องแก้แค้นต่อการตายของบุตรชายผู้าุโจาง? ไฉนท่านจึงสอดมือเข้ามาแก้แค้นด้วยตนเองเล่าผู้าุโหลิว?”
หลิวเฉิงเงียบงันไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวเสียงทุ้มหนัก “หมายความว่าสำนักหลิวขจี้าปกป้องมัน?”
“ข้าบอกไปแล้วว่าคนผู้นี้เป็แขกสำนักหลิวขจี ตราบใดที่ยังอยู่ในเมืองชุ่ยหลิวสำนักข้าย่อมไม่นิ่งดูดายปล่อยให้มันถูกศัตรูทำร้ายได้ หากเขากับจางเจิ้นซานมีความแค้นต่อกันจริงๆ ก็เรียกผู้าุโจางมาเผชิญหน้ากับเขาด้วยตนเอง” น้ำเสียงมู่เฟิงแน่วแน่เด็ดเดี่ยว นางเป็ผู้าุโเพียงผู้เดียวของสำนักหลิวขจีทั้งยังบรรลุด่านภูติญญาระดับปลาย มีฝีมือเหนือล้ำกว่าหลิวเฉิง มิหนำซ้ำทั้งหมดก็ยืนอยู่ที่หน้าประตูสำนักหลิวขจี จึงไม่จำเป็ต้องอ่อนข้อต่อฝ่ายตรงข้ามแม้แต่น้อย
หลังกล่าววาจาจบ มู่เฟิงก็โบกมือแก่ผู้คนที่ด้านหลัง ทั้งหมดก็รายล้อมรอบตัวไป๋หยุนเฟยเพื่อคุ้มกัน ด้วยการประคองจากชิวลู่หลิวและฉู่อวี้เหอทั้งหมดจึงพาไป๋หยุนเฟยออกจากประตูเมืองไปอย่างแช่มช้า
เมื่อเห็นไป๋หยุนเฟยถูกนำตัวไป ดวงตาหลิวเฉิงก็ทอประกายดุร้าย แต่เมื่อพบเห็นมู่เฟิงที่จับตาระวังภัย สุดท้ายมันก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอันใด เพียงมองดูทั้งหมดจากไปด้วยสีหน้าปั้นยาก
มู่เฟิงดึงกระบี่ขึ้นจากพื้นอย่างแ่เบา หลังจากเก็บกระบี่เข้าฝักจึงมองดูศิษย์สำนักธารน้ำแข็งที่ไล่ตามมาถึงด้านหลังหลิวเฉิง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผู้าุโหลิว หากท่านมาที่เมืองชุ่ยหลิวในฐานะแขกสำนักหลิวขจีเราย่อมยินดีต้อนรับ หากท่านมีเวลาโปรดให้เกียรติมาเยือนสำนักข้าสักครั้ง พวกเราจะปฏิบัติต่อท่านด้วยมารยาทอันดีเช่นกัน... แต่กระนั้น หากท่านลอบสร้างปัญหาภายในเมืองหรือกล้าดูถูกสำนักข้า สำนักหลิวขจีเราก็ไม่ใช่ยอมถูกรังแกโดยง่าย! ที่แห่งนี้ไม่ใช่อาณาเขตของสำนักธารน้ำแข็งท่านดังเช่นเมืองไป๋เฟิง!”
หลังกล่าววาจาจบ มู่เฟิงก็หันหลังจากไปโดยไม่แยแสว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร
สีหน้าหลิวเฉิงแปรเปลี่ยนกลับกลายประเดี๋ยวม่วงคล้ำประเดี๋ยวซีดขาว ในใจมันขุ่นแค้นสุดระงับแต่ก็ไม่อาจทำอย่างไรได้ อย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่ใช่เมืองไป๋เฟิง มันย่อมไม่กล้ามีเื่ขัดแย้งกับสำนักหลิวขจี หลิวเฉิงเพียงนำศิษย์ติดตามมาจากสำนักเพียงสองคน แม้แต่จะดำเนินแผนการที่วางไว้ก็ยังอาศัยหยิบยืมกำลังคนมาจากตระกูลหลงที่มีความสัมพันธ์กับสำนักธารน้ำแข็งอย่างใกล้ชิด
“ผู้าุโ พวกเราจะอย่างอย่างไรดี?”
หลิวเฉิงเงียบงันไม่กล่าววาจา ศิษย์ที่ด้านข้างจึงอดไม่ได้ต้องเอ่ยปากถาม
เมื่อเห็นมู่เฟิงและพวกลับตาไปจากประตูเมือง หลิวเฉิงจึงถอนใจอย่างคับข้องพร้อมกับโบกมือกล่าวว่า “ส่งคนไปเฝ้าจับตารอบๆสำนักหลิวขจี หากไป๋หยุนเฟยออกมารีบแจ้งให้ข้าทราบทันที! มันได้รับาเ็สมควรพักรักษาตัวที่สำนักหลิวขจีอีกหลายวัน แจ้งสถานการณ์ต่อเ้าสำนักในทันทีเพื่อให้ท่านตัดสินใจ ก่อนหน้าจะมีคำสั่งจากเ้าสำนักห้ามมีการเคลื่อนไหวใดๆ และห้ามล่วงเกินสำนักหลิวขจีโดยเด็ดขาด!”
ขณะหลิวเฉิงนำผู้ติดตามกลับไปก็ยังคงขมวดคิ้วแแ่ ราวกับในใจยังคงขุ่นเคืองอยู่ไม่คลาย ผู้ใดจะคาดคิดว่าหลังจากวางแผนอย่างถี่ถ้วนเพื่อวางกับดักแต่สุดท้ายกลับต้องคว้าน้ำเหลว?
“วันที่ไป๋หยุนเฟยปรากฏตัวที่เมืองนี้ ข้าได้ส่งคนกลับไปแจ้งข่าวที่สำนักแล้วแต่ไฉนท่านเ้าสำนักยังมาไม่ถึงอีก? เป็ไปไม่ได้ที่ท่านจะไม่สนใจในตัวไป๋หยุนเฟย หรือเป็เพราะ... เกิดเหตุไม่คาดฝันที่สำนัก? เ้าสำนักจึงออกเดินทางล่าช้า?”
“ด้วยสถานการณ์ในยามนี้ พวกเราทำได้เพียงเฝ้ารอ หรือพวกเราจำต้องเป็ศัตรูกับสำนักหลิวขจีจริงๆ...?”
หลังจากศิษย์สำนักธารน้ำแข็งจากไป บนถนนก็กลับกลายเป็เงียบงันอีกครั้ง ที่ปากตรอกไม่ไกลปรากฏเงาร่างของคนผู้หนึ่งเดินออกมาอย่างเชื่องช้า คนผู้นี้ซุกซ่อนร่างอยู่ในเงามืดจับตามองเหตุการณ์ั้แ่แรกโดยไม่มีผู้ใดพบเห็น เงาร่างนี้จะเป็ใครหากไม่ใช่หงยิน
หงอินใคร่ครวญชั่วขณะก่อนจะหันกายเดินออกจากประตูเมืองตะวันตกไป...
…………
ที่หน้าประตูใหญ่สำนักหลิวขจี ไป๋หยุนเฟยได้พบมู่หว่านชิงและหยิวชิงเฟิงอีกครั้ง ผู้ใดจะคาดคิดว่าคนทั้งสองจะรอคอยทุกคนอยู่ที่หน้าประตูสำนัก? ไป๋หยุนเฟยผลักมือหญิงสาวทั้งสองที่ประคองอยู่เบาๆ มันยืนอย่างยากเย็นประสานมือคารวะแก่ทุกคนพลางกล่าวอย่างจริงใจว่า “ทุกท่าน ครั้งนี้ข้าต้องขอขอบคุณที่ยื่นมือช่วยเหลือ หากไม่มีพวกท่าน ข้าคงต้องตกไปอยู่ในมือสำนักธารน้ำแข็งและไม่ทราบจะเอาชีวิตรอดกลับมาได้อย่างไร”
มู่หว่านชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มแ่เบา “หยุนเฟยเ้าไม่จำเป็ต้องมากพิธี เ้าเป็พี่ร่วมสาบานของอวี้เหอ สำนักข้าย่อมต้องยื่นมือช่วยเหลือ อีกอย่างเมื่อสำนักธารน้ำแข็งไม่เห็นสำนักหลิวขจีอยู่ในสายตาเช่นนี้ หลังจากทราบว่าพวกมันวางอำนาจในเมืองเช่นนี้ หากยังนิ่งดูดายพวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด”
มู่หว่านชิงเอ่ยปากอย่างปลอดโปร่ง แต่ไป๋หยุนเฟยกลับทราบดีว่าเพียงเพราะเื่ของตน จึงทำให้นางถึงกับเผชิญหน้ากับสำนักอื่นโดยไม่ลังเล นี่นับเป็หนี้น้ำใจอันใหญ่หลวงนัก
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอขอบคุณท่านเ้าสำนักอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่ลืมเลือนบุญคุณในครั้งนี้อย่างเด็ดขาด หากภายหน้ามีโอกาสข้าต้องตอบแทนอย่างแน่นอน!” หลังจากกล่าวจบดูเหมือนอาการาเ็จะกำเริบขึ้น ไป๋หยุนเฟยไอสองสามครั้งพร้อมกับกระอักโลหิตออกมาที่มุมปาก
ฉู่อวี้เหอบังเกิดความร้อนรุ่มอีกครั้ง รีบเข้าไปประคองไป๋หยุนเฟยอีกครั้งก่อนจะกล่าวอย่างสะลึกสะอื้น “พี่หยุนเฟย อย่าเพิ่งกล่าววาจา รีบไปรักษาอาการาเ็ก่อนเถอะ”
สีหน้ามู่หว่านชิงแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะาเ็สาหัสเพียงนี้ หลังจากขมวดคิ้วเล็กน้อยจึงหันหน้าไปยังมู่เฟิง
ยามที่ทั้งสองสบตากัน ก่อนจะทันได้เอ่ยปากถามมู่เฟิงก็กล่าวว่า “เ้าสำนัก เนื่องเพราะพวกเรารอฟังข่าวอยู่ที่นอกประตูเมืองตะวันตก ยามที่จอมยุทธ์ไป๋ปรากฏตัวขึ้นเขากำลังถูกหลิวเฉิงไล่ล่า เขาถูก...”
“ท่านเ้าสำนักอย่าได้โทษว่าผู้าุโมู่ เป็เพราะข้ากระทำการไม่รอบคอบ มิหนำซ้ำข้าก็าเ็ก่อนที่ผู้าุโจะมาถึง” ไป๋หยุนเฟยรีบกล่าววาจา จากนั้นจึงเช็ดโลหิตจากมุมปากแล้วกล่าวด้วยท่าทีกระดาก “เอ่อ เ้าสำนักมู่ ข้าว่าพวกเราควรเข้าไปข้างในก่อน ข้าจำต้องรักษาอาการาเ็โดยเร็ว วันพรุ่งนี้ข้าค่อยไปขอบคุณทุกท่านอีกครั้ง”
“โอ ข้ากลับลืมเลือนไป ลู่หลิว อวี้เหอ เ้าสองคนพาหยุนเฟยไปพักผ่อนที่ห้องรับรองแล้วหายามารักษาให้เขาเถอะ” มู่หว่านชิงยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะนำทุกคนกลับเข้าสำนักไป
หลังจากไป๋หยุนเฟยถูกพาไปยังห้องรับรอง มู่หว่านชิงและหยิวชิงเฟิงจึงเดินเคียงคู่กันไปอีกทิศทางอย่างแช่มช้า หยิวชิงเฟิงที่ไม่กล่าววาจาอันใดั้แ่แรก ถึงยามนี้กลับเอ่ยปากขึ้น “หว่านชิง มันคู่ควรให้ท่านช่วยเหลือถึงเพียงนี้?”
“โอ?” มู่หว่านชิงชะงักเล็กน้อยก่อนจะกล่าวกลั้วหัวเราะ “ไฉนท่านถามคำถามนี้อีกแล้ว? ไม่ใช่ว่าข้าตอบท่านไปแล้วหรือว่าเมื่อใดที่คนผู้นี้ประสบความสำเร็จในอนาคต สำนักข้าต้องได้รับประโยชน์อย่างใหญ่หลวง”
“แต่ครั้งนี้สำนักท่านต้องกลายเป็ศัตรูกับสำนักที่เข้มแข็งทัดเทียมกันเพราะคนผู้นี้”
“สำนักธารน้ำแข็ง? พวกเราทั้งสองสำนักเป็สำนักใหญ่ทางภาคเหนือของมณฑลฉิงหยุน โดยปกติก็ไม่ได้มีไมตรีอันใดต่อกันอยู่แล้ว อีกอย่างข้าก็ไม่ได้บอกว่าทั้งสองสำนักจะเป็ศัตรูกัน ยามนี้ข้าเพียงรับรองความปลอดภัยแก่ไป๋หยุนเฟยในขอบเขตที่สมควรเท่านั้น หากภายหลังมีเหตุไม่คาดฝันใดขึ้น ข้ายังมีแผนการรับมือ...”
ขณะมู่หว่านชิงเอ่ยวาจา พลันมีศิษย์เข้ามารายงานว่ามีคนผู้หนึ่งรอที่หน้าประตูเพื่อขอเข้าพบ และคนผู้นี้ก็เป็คนเดียวกับที่มาแจ้งข่าวของไป๋หยุนเฟยเมื่อยามบ่ายเพื่อขอความช่วยเหลือ
