่วสันตฤดู ซึ่งดอกหงหลิว[1]เบ่งบาน ต้นหญ้าเขียวขจี นกกระจิบเริงร่า ได้ผ่านพ้นไปนานแล้ว และเมืองหลวงก็เข้าสู่คิมหันต์อันร้อนระอุจนทนไม่ไหว ผู้คนจำนวนมากในเมืองหลวงกำลังทุกข์ทรมานกับความร้อน ดังนั้นยาดับพิษร้อนจึงแทบจะขาดตลาด เพราะอากาศยังคงร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวัน
เว่ยอี๋เหนียงที่ร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว ถึงกับเป็ลมล้มพับไปเมื่อวาน ทำให้หนีเจียเอ๋อร์ต้องวิ่งไปยังร้านขายยาในเมือง แต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมา วันนี้หลังจากตื่นนอนตอนเช้า นางก็รับมุ่งหน้าไปที่เรือนของมารดาอีกครั้ง
ลวี่ซย่าพูดเสียงกังวล “เมื่อคืนเว่ยอี๋เหนียงนอนกระสับกระส่าย เหงื่อออกทั้งตัว เพิ่งจะผล็อยหลับไปเช้าตรู่นี่เอง บ่าวเกรงว่าหากไม่มียามาช่วยระบายความร้อนในร่างกาย นายหญิงอาจจะรับไม่ไหวเ้าค่ะ”
หนีเจียเอ๋อร์นั่งอยู่ที่หัวเตียง หลังตรวจดูชีพจรของเว่ยอี๋เหนียงแล้ว หัวใจพลันบีบรัดไปด้วยความร้อนรน “ดูแลนางให้ดี ข้าจะไปหายามา”
เสี่ยวเสวียนพูดเสียงเศร้า “คุณหนู บ่าวได้ยินว่าร้านขายยาในระยะร้อยลี้จากเมืองหลวง ไม่มียาขายแล้วนะเ้าคะ ท่านจะไปหายาจากที่ใด?”
หนีเจียเอ๋อร์เดินมาหา แล้วบอกว่า “ไม่ต้องห่วง ข้ายังพอมีวิธี ไม่ต้องตามมาหรอก ดูแลเว่ยอี๋เหนียงให้ดีก็พอ”
เสี่ยวเสวียนจึงต้องทำตามคำสั่งแต่โดยดี
…
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หนีเจียเอ๋อร์ก็เดินทางมาถึงจวนตระกูลโจว ทันทีที่นางเห็นโจวชิงหวา ก็รีบรุดไปดึงเขามาทันที “ตามข้ามา เร็วเข้า!”
โจวชิงหวาโอบแขนรอบเอวบาง เพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของหญิงสาว เขาก้มลงมองแก้มนวล พลางพูดอย่างหยอกล้อ “จะรีบร้อนอะไรขนาดนั้น มีเื่อะไรให้ข้าช่วยหรือ?”
หนีเจียเอ๋อร์หน้าแดงก่ำ ผลักอีกฝ่ายออก และบ่นด้วยความไม่พอใจ “เมื่อเดือนที่แล้ว แค่อ้างชื่อเ้าไปกันสวีเพ่ยหรานออกจากชีวิต ก็ถึงกับโกรธจนไม่มาหาข้าตั้งเจ็ดวัน ฮึ่ม! ทีตอนที่เ้าล่วงเกินข้ามานับครั้งไม่ถ้วน ข้ายังไม่เคยโกรธเลยนะ!”
โจวชิงหวาจ้องมอง ก่อนกะพริบตาเพื่อซ่อนความนัย จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ริมฝีปากหยักโค้งเป็รอยยิ้ม เผยให้เห็นถึงความหล่อเหลาและสง่างาม
“แสดงว่าเ้าไม่โกรธสินะ หากข้าจะ ‘ล่วงเกิน’?”
ขาดคำ ก็ยื่นมือไปคว้าเอวบาง หนีเจียเอ๋อร์ซุกตัวลงไปอย่างเผลอไผล แต่ก็รั้งความรู้สึกเอาไว้ได้ “แท้จริงแล้ว ที่วันนี้มาหาเ้า เพราะข้ามีเื่สำคัญมากที่จะขอความช่วยเหลือ”
แต่แล้ว นางก็รีบพูดดักทางว่า “ไม่สิ! ข้ามิได้จะขอให้เ้าช่วย แต่้ายื่นข้อเสนอต่างหาก”
โจวชิงหวาเริ่มสนใจ จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อะไรล่ะ?”
หนีเจียเอ๋อร์จึงกล่าว “พาข้าไปที่แห่งหนึ่งก่อน แล้วเ้าจะรู้เอง”
หญิงสาวใช้เวลาไปถึงหนึ่งชั่วยาม กว่าจะพาโจวชิงหวาไปถึงทุ่งสมุนไพร ที่เคยค้นพบเมื่อชาติที่แล้ว
จากนั้น ก็ปล่อยให้ชายหนุ่มมองดูทุ่งสมุนไพรที่ถูกทิ้งร้าง แต่ลานกว้างแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการขจัดพิษร้อนคุณภาพสูง จนเขาอดมิได้ที่จะเบิกตากว้าง ขณะหันมามองสตรีที่อยู่ด้านหลังด้วยสายตาเหลือเชื่อ เต็มไปด้วยความกังขา
ครั้งที่แล้วเป็เห็ดหลินจือพันปี คราวนี้ก็เป็ทุ่งสมุนไพร... นางรู้เื่เหล่านี้ได้อย่างไร?
“เสี่ยวเอ๋อร์ บอกข้าได้หรือไม่ ว่าเ้ารู้จักสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร?”
“เ้าจะเชื่อหรือไม่ หากข้าบอกว่ามีเซียนผู้หนึ่งมาบอกข้าในความฝัน”
พูดจบ หญิงสาวก็หลบสายตาที่มองมาอย่างสำรวจตรวจสอบของอีกฝ่าย แล้วหันไปมองทุ่งสมุนไพรแทน “มาช่วยหน่อย เว่ยอี๋เหนียงกำลังรอยาจากข้าอยู่”
โจวชิงหวาถอนหายใจเงียบๆ ก่อนพูดทันที “ขึ้นมาเถอะ เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
หนีเจียเอ๋อร์รีบสงวนท่าที ตบโคลนออกจากมือ และรอด้วยความกระวนกระวายใจ เพราะเกรงว่าเขาจะซักถามอีก จึงแสร้งทำเป็ดูทิวทัศน์และเดินสำรวจไปรอบๆ
ส่วนโจวชิงหวาก็ใช้กำลังภายในเหินขึ้นไปบนอากาศ แล้วเก็บสมุนไพรมาจำนวนมาก ก่อนร่อนตัวลงตรงหน้าหญิงสาวอย่างแ่เบา “ตอนที่ข้าถามคำถามที่เ้าไม่อยากจะตอบ เ้าก็มักจะเดินหนีเช่นนี้” จากนั้น ก็ใช้คำพูดหลอกล่อ “แต่เปล่าประโยชน์ เ้าปิดบังข้ามิได้หรอก”
เขายื่นนิ้วก้อยไปแตะปลายจมูกนาง พลางยิ้มกว้าง แล้ววิ่งลงจากูเา
หนีเจียเอ๋อร์ััได้ถึงความเปียกแฉะที่ปลายจมูก เป็โคลนจากทุ่งสมุนไพรนั่นเอง หญิงสาวจึงก้มลงกำโคลนขึ้นมา ใช้มืออีกข้างรั้งชายกระโปรง และวิ่งไล่ตามอย่างสุดชีวิต
“หยุด! อย่าหนีนะ”
แล้วโจวชิงหวาก็หยุดวิ่งจริงๆ
หนีเจียเอ๋อร์หายใจเหนื่อยหอบ พยายามเขย่งเท้า และใช้มือข้างหนึ่งโน้มคอเขาลงมา จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างที่กำโคลนมาตลอดทาง ละเลงไปบนใบหน้าอันหล่อเหลา
“ฮ่าๆ...” เมื่อมองไปยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยโคลน นางก็ะเิเสียงหัวเราะลั่นจนน้ำตาเล็ด
“เ้าโง่ ข้าบอกให้เ้าหยุด เ้าก็หยุดจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นใครโง่งมเช่นนี้มาก่อนเลย”
โจวชิงหวาไม่ได้เห็นหญิงสาวยิ้มกว้างอย่างนี้มานานแล้ว จึงอดหัวเราะตามมิได้
ขอเพียงนางมีความสุข เขายอมเป็คนโง่ไปตลอดชีวิต…
...
พอกลับมาถึงบ้าน หนีเจียเอ๋อร์ก็เริ่มต้มยาสมุนไพรขจัดพิษร้อน โดยเสริมสมุนไพรตัวอื่นเข้าไปด้วย เพื่อให้ร่างกายเว่ยอี๋เหนียงสามารถปรับสภาพ และฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน โจวชิงหวาก็ส่งคนไปนำสมุนไพรเ่าั้มาขาย จนได้กำไรไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นตำลึง เขามอบเงินครึ่งหนึ่งให้หนีเจียเอ๋อร์ แต่ด้วยเกรงว่าสวีซื่อจะไปพบเงินก้อนนั้นเข้า จึงแลกเป็ตั๋วเงินก่อนส่งไปให้นาง
จากนั้น ชายหนุ่มก็ขออนุญาตนายท่านหนี เชื้อเชิญหนีเจียเอ๋อร์และเว่ยอี๋เหนียงไปที่เรือนพักร้อนของเขา ซึ่งเย็นกว่าจวนของพวกนางมาก
เมื่อพิจารณาร่างกายอ่อนแอของเว่ยอี๋เหนียงแล้ว ก็ให้วิตกว่านางอาจจะเป็ลมแดดอีก นายท่านหนีจึงเห็นด้วยอย่างง่ายดาย
วันต่อมา โจวชิงหวาจึงถือโอกาสพาแม่นมโจวไปรับหนีเจียเอ๋อร์กับเว่ยอี๋เหนียง
คนทั้งสี่กำลังจะเข้าไปในรถม้า เตรียมออกเดินทาง แต่พอเห็นสวีซื่อออกมาจากจวน จึงต้องหยุดทักทาย
เมื่อเห็นว่าหนีเจียเอ๋อร์กับเว่ยอี๋เหนียง กำลังจะเดินทางไปพักผ่อนที่เรือนพักร้อนของโจวชิงหวา สวีซื่อจึงเอ่ยเสียดสี “คนที่รู้ก็คิดว่าเสี่ยวเอ๋อร์กับชิงหวาเป็แค่พี่น้อง แต่คนที่ไม่รู้คงจะนึกว่าทั้งสองเป็คู่รัก ทำตัวติดกันทุกวันเช่นนี้ ไม่เกรงผู้คนจะครหาหรือ? แม้แต่เว่ยอี๋เหนียงก็ยังรู้เห็นเป็ใจ บัดสียิ่งนัก!”
เว่ยอี๋เหนียงไม่กล้าเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย จึงได้แต่ก้มหน้าลง “ขอบคุณพี่หญิงที่สั่งสอน”
แต่หนีเจียเอ๋อร์กลับย้อนเสียงเรียบ “ท่านแม่ ที่เว่ยอี๋เหนียงกับข้าจะเดินทางในครั้งนี้ ได้ผ่านความเห็นจากท่านพ่อแล้ว ท่านมาหาเื่เราเช่นนี้ คิดจะขัดความประสงค์ของท่านพ่อหรือเ้าคะ?”
สวีซื่อจ้องเขม็ง “อย่าพูดจาไร้สาระ ข้าไปขัดความประสงค์ของนายท่านั้แ่เมื่อใด?”
แม่นมโจวก้าวไปข้างหน้า พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นายหญิงสวีซื่อ ชิงหวาของข้ากับคุณหนูรอง ต่างก็เติบโตมาจากน้ำนมเต้าเดียวกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงแน่นแฟ้นดั่งพี่น้อง ที่ข้าเชิญพวกนางไปยังเรือนพักร้อนในครั้งนี้ เหตุผลหลักก็เพื่อจะขอบคุณคุณหนูที่ช่วยชิงหวาออกจากคุก ไม่ว่าด้วยอารมณ์หรือเหตุผล ข้าก็ไม่คิดว่าจะมีผู้ใดถือสาในเื่นี้หรอกเ้าค่ะ เว้นเสียแต่ว่าจะมีใครจงใจไปปล่อยข่าวลือ”
ไม่รอให้สวืซื่อได้โต้กลับ โจวชิงหวาก็สืบเท้าไปข้างหน้า ก่อนพูดว่า “นายหญิง หากท่านว่าง เหตุใดไม่ไปหลบร้อนที่เรือนบนเขาด้วยกันเล่าขอรับ?”
สวีซื่อกลอกตา และพูดอย่างเหยียดหยาม “เรือนผุพังนั่นน่ะหรือ? ต่อให้ว่าง ข้าก็ไม่คิดจะไปเหยียบหรอก”
โจวชิงหวาจึงกล่าวอย่างกระหยิ่มใจ “ชิงหวาก็แค่ถามไปเรื่อยเปื่อย หากท่านไม่อยากไป ได้โปรดหลีกทางด้วยขอรับ”
ว่าแล้ว ชายหนุ่มก็บอกให้ทุกคนขึ้นรถม้า
ตอนนั้นเอง สวีซื่อจึงเพิ่งจะตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายจงใจหักหน้า ทำให้ตนต้องอับอาย เมื่อมองไปยังรถม้าซึ่งกำลังเคลื่อนตัว นางก็ยิ่งโกรธจนต้องขบกรามแน่น
------------------------------------------
[1] หงหลิว (红柳) หรือสนหมอก เป็ไม้พุ่มผลัดใบสูง 3-4 เมตร กิ่งก้านมีขนาดเล็กและแตกกิ่งไม่เป็ระเบียบ ใบมีลักษณะเป็เส้นเล็กๆ มีสีเขียวอมน้ำเงินออกแทงสลับกัน ช่อดอกออกที่ยอดกิ่ง ประกอบไปด้วยดอกเล็กๆ สีชมพูเป็จำนวนมาก
ทางตำรายาจีนจะใช้กิ่งใบมาต้ม มีฤทธิ์เป็ยาเย็น แก้ไข้ เนื่องจากมีสาร salicin เป็ยาเจริญอาหาร ฆ่าเชื้อ แก้โรคไขข้ออักเสบบวมแดง ระงับปวด ขับลม ขับปัสสาวะ
ส่วนยางที่ขับออกมาจากลำต้นและกิ่ง เนื่องจากมีแมลงหรือคนไปรบกวน ซึ่งเรียกว่า ‘gall’ จะมี tannic acid 40% สามารถใช้เป็ยาฝาดสมานภายใน ใช้แก้อาการท้องเดินได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้