ในหมู่ชนชั้นสูงต้าฉี ใครเล่าจะไม่รู้ว่าไทเฮานับถือศาสนาพุทธ โปรดปรานต้นบ๊วย ส่วนฮ่องเต้อาณาจักรฉีก็เป็บุตรชายผู้มีใจกตัญญู รวบรวมพระไตรปิฎกฉบับอักษรข่ายต่างๆ จากทั่วทุกสารทิศ หนึ่งในสิ่งที่ไทเฮาชื่นชมยิ่งคืออักษรดอกบ๊วย เพราะองค์ไทเฮาทรงโปรดต้นบ๊วย และจุดเด่นของอักษรดอกบ๊วยก็คือ ‘พิศไกลบุปผา พิศใกล้อักขระ ในบุปผามีความ ในความซ่อนบุปผา บุปผากับอักขระหลอมรวมเป็หนึ่ง แข็งแกร่งทรงพลัง’ ปัจจุบันบุคคลที่สามารถเขียนอักษรชนิดนี้ได้ก็น้อยนิดแล้ว นับประสาอะไรกับหัตถ์คู่ [1]
เมื่อกาลเวลาผ่านพ้นไป เหล่าสตรีเชื้อพระวงศ์สูงวัยที่เลื่อมใสยกย่องพระไตรปิฎกล้วนชื่นชอบอักษรดอกบ๊วยนี้ แต่รู้ดีว่าหาได้ยากเหลือเกิน
แน่นอนว่าหลังจากฮูหยินเฒ่าไป๋เห็นคัมภีร์ที่เซียงจู๋คัดด้วยอักษรดอกบ๊วยหัตถ์คู่นี้ คัมภีร์อื่นใดก็ไม่เข้าตาอีกแล้ว
ฮูหยินเฒ่ามองไป๋เซียงจู๋อย่างชื่นชม ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าหลานสาวคนนี้ไม่ได้ขลาดเขลาเหมือนอย่างอดีต ราวกับว่านางกลายเป็หนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือที่ทำให้หวนขบคิดไม่รู้หน่าย อีกทั้งน่าศึกษาอย่างลึกซึ้ง เฉพาะการเขียนอักษรดอกบ๊วยนี่ก็มิใช่เื่ง่ายแล้ว คาดเดาได้เลยว่าเื้ัผลงานนี้ หลานคนนี้มุมานะทีเดียว
ฮูหยินเฒ่าให้แม่เฒ่าจางเก็บมันไว้ คิ้วตาโค้งน้อยๆ เห็นได้ชัดว่าพึงพอใจกับคัมภีร์นี้มาก นางมองไป๋เซียงจู๋ด้วยรอยยิ้มที่เอ็นดูยิ่งขึ้น “นึกไม่ถึงว่าเด็กน้อยเช่นเ้ากลับขยันหมั่นเพียรขนาดนี้ เ้าเรียนเขียนอักษรดอกบ๊วยนี่จากอาจารย์ท่านใดเล่า”
เนื่องด้วยเพื่อมารดาและตัวนางเอง ไป๋เซียงจู๋ในอดีตชาติจึงระมัดระวังกิริยาวาจาเสมอมา อย่าว่าแต่มีโอกาสปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนเหมือนในตอนนี้ แค่ก้าวออกจากประตูเรือนท้ายจวนก็แทบเป็ไปไม่ได้ มิหนำซ้ำยังไม่เคยสนทนากับฮูหยินเฒ่าอย่างใกล้ชิด ทว่าบัดนี้นางยิ้มตอบได้โดยไม่ลนลาน “เรียนนายหญิง จู๋เอ๋อร์ร่ำเรียนระหว่างพำนักที่วัดต้าโฝเ้าค่ะ ได้เจวี๋ยคงต้าซือช่วยชี้แนะเล็กน้อย จู๋เอ๋อร์รู้ว่านายหญิงต้องโปรดอย่างแน่นอนจึงตั้งใจเรียนและฝึกฝนหนัก วันนี้อดไม่ได้ที่จะคัดบางส่วนมาให้นายหญิงชม เพียงแต่เกรงว่าลายมืออาจขี้เหร่ไม่น่าดูนัก”
สีหน้าของอวี๋ซื่อบูดบึ้งทันที ส่วนไป๋ชิงโหรวนั้นก็ออกอาการริษยาชิงชัง อยู่ขอพรที่วัดไม่ถึงเดือน ต่อให้มีเจวี๋ยคงต้าซือชี้แนะแนวทางและหมั่นเพียรฝึกฝนเพียงใด ก็ใช่ว่าจะเขียนอักษรดอกบ๊วยหัตถ์คู่ได้ในวันสองวัน อีกทั้งยังเขียนได้สวยเสียขนาดนั้น หากอุตสาหะเรียนรู้ั้แ่เริ่มต้น หรือว่า—
เจวี๋ยคงต้าซือเก่งกาจแต่ไม่ชอบเปิดเผยตน เรียกได้ว่าเป็ผู้ประเสริฐในสายตาของมวลชนทั้งปวง คนอื่นอยากจะพบเขาสักหนนั้นยากแสนยาก ครั้งหนึ่ง เพื่อขอให้เขาทำนายดวงชะตาแก่ตน ไป๋ชิงโหรวถือศีลกินผักสวดมนต์ที่วัดต้าโฝถึงครึ่งเดือน อาหารเหลวใสไร้รสชาติทำให้นางซูบเซียวเหลือเกิน ทว่านอกจากจะไม่ได้พบเจวี๋ยคงต้าซือแล้ว ซ้ำร้ายยังทำให้ขันติที่เหลืออยู่ของนางค่อยๆ ลดลงจนหมดสิ้น ทำให้นางฉุนเฉียวง่ายและเ้าอารมณ์กว่าเดิม
ใครจะรู้ว่าสาวน้อยต่ำต้อยที่เทียบเทียมกระทั่งสาวใช้ในจวนไป๋ไม่ได้คนนี้ ไม่เพียงแต่ได้รับประคำล้ำค่าหนึ่งเดียวของเจวี๋ยคงต้าซือ แล้วยังได้รับการถ่ายทอดสุดยอดทักษะระดับนี้จากเขาอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ล้วนเกินเอื้อมคนอื่นมากโข แต่กลับถูกไป๋เซียงจู๋พูดถึงออกมาอย่างง่ายดาย สำหรับคนเย่อหยิ่งจองหองเช่นไป๋ชิงโหรว นี่คือการยั่วโมโหโดยแน่แท้
ไป๋เซียงจู๋สังเกตสีหน้าของพวกนางสองแม่ลูก ทว่าไม่แสดงท่าทีใด พูดต่อไปด้วยรอยยิ้ม “นายหญิง คัมภีร์นี้มีเอกลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่นอีกอย่างหนึ่งเมื่อดูใต้แสงเทียนเ้าค่ะ”
“โอ้? เอกลักษณ์เฉพาะแบบไหนกันเล่า รีบจุดเทียนซิ” ฮูหยินเฒ่าไป๋เกิดความสนใจทันที สั่งแม่เฒ่าจางให้นำคัมภีร์ออกมา
ไป๋เซียงจู๋ก้าวมาข้างหน้า ค่อยๆ รับโคมไฟจากมือสาวใช้มา เปิดคัมภีร์ออกแล้วแกว่งส่องกับแสงเทียน พอฮูหยินเฒ่าดูมันอีกครั้ง ตัวหนังสือที่เขียนด้วยหมึกสีดำเมื่อครู่นี้กลับกลายเป็เช่นดอกบ๊วยที่ถูกย้อมด้วยทองคำ สุกใสเบ่งบานเป็จังหวะทีละน้อยท่ามกลางแสงเทียน บริเวณที่ไฟส่องสลัวให้ความรู้สึกเหมือนในห้วงฝัน
เหล่าบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลเคยพบเคยเจอภาพเช่นนี้เสียที่ไหน พากันอุทานด้วยความประหลาดใจ “นึกไม่ถึงว่าคัมภีร์ดอกบ๊วยนี่จะบานสะพรั่งได้ สวยเหลือเกิน มหัศจรรย์ยิ่งนัก”
สีหน้าของไป๋ชิงโหรวเปลี่ยน จู่ๆ นางก็พรวดพราดลุกขึ้น เดินมาเพื่อยลหมู่มวลดอกบ๊วยที่เบ่งบานหน้าโคมไฟให้แน่ใจด้วยตาตน นิ่งอึ้งตะลึงงันไปในบัดดล
ไป๋เซียงจู๋กล่าวอย่างแช่มชื่น “ก็แค่ความสามารถขี้ปะติ๋ว แต่ทำให้ท่านยายยิ้มได้เท่านั้นเอง”
ความสามารถขี้ปะติ๋ว? บัดนี้ นอกจากเจวี๋ยคงต้าซือ ทั่วทั้งเมืองเหลียงก็คงไม่มีใครเขียนอักษรดอกบ๊วยหัตถ์คู่แล้วอักษรนั้นยังแปรเป็ภาพอันงดงามเช่นนี้ใต้แสงไฟได้อีกแล้ว
ฮูหยินเฒ่าจ้องคัมภีร์นั่น อักษรแต่ละตัวกลายเป็ดอกบ๊วยสวยสะพรั่งช้าๆ หลังจากเบ่งบานถ้วนทั่วแล้ว ก็หายวับกลับไปเป็ตัวอักษรที่ละม้ายคล้ายดอกบ๊วยดังเดิมภายในชั่วพริบตา นางอุทานเสียงแ่เบาออกมาโดยพลัน
ไป๋เซียงจู๋จับๆ ลูบๆ แขนเสื้อกึ่งเก่ากึ่งใหม่ ยิ้มอย่างอ่อนน้อมถ่อนตน ไป๋ซื่อจับมือไป๋เซียงจู๋ด้วยความปลื้มใจ กล่าวชมเชยนางที่ฉลาดหลักแหลม
“จู๋เอ๋อร์ ลูกถือศีลอยู่ที่วัดต้าโฝในไม่กี่วันมานี้ได้เรียนรู้อะไรมากมายจริงๆ นะ” ไป๋ซื่อดูมีความสุขเหลือล้น คุยกับบุตรสาวอย่างตื่นเต้น พลางพลิกแขนเสื้อด้านซ้ายของนางโดยไม่ได้ตั้งใจ รูหนึ่งปรากฏชัดแก่สายตา รูนั้นไม่ใหญ่ไม่เล็ก ทว่ามิอาจเมินเลยไปเฉยๆ ได้ เพราะเสื้อชั้นนอกเป็สีเหลืองอ่อน แต่เสื้อตัวในเป็สีฝ้ายขาว ความแตกต่างของสีทำให้มองเห็นมันได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง
“ไฉนเ้าจึงใส่เสื้อขาดเช่นนี้ นายหญิงสั่งคนส่งผ้าไปให้เ้าตัดชุดใหม่แล้วไม่ใช่หรือ ทำไมลูกไม่ใส่เล่า”
ไป๋ซื่อพลิกแขนเสื้อของไป๋เซียงจู๋ ด้านในมีด้ายขาดอีกด้วย สีของเนื้อผ้าก็ซีดจางแล้ว นางรู้สึกสงสารจับใจขึ้นมาทันที เสียงพูดก็แผดดังโดยไม่รู้ตัว
“อุ๊ยตาย คุณหนูใหญ่ เมื่อวานนายหญิงสั่งให้คนตัดเสื้อผ้าชุดใหม่ส่งไปยังเรือนเ้าด้วยตัวเองเชียวนะ ทำไมวันนี้ถึงใส่ชุดนี้มาทำความเคารพกัน นี่เ้าไม่ได้จงใจทำให้นายหญิงอับอายหรอกหรือ” อวี๋ซื่อแทรกขึ้นมา รอยยิ้มตำหนิแขวนอยู่บนใบหน้า แต่ในถ้อยคำนางกลับกำลังสื่อว่าไป๋เซียงจู๋ดื้อรั้นเอาแต่ใจ ใส่เสื้อผ้าเก่ามาให้ฮูหยินเฒ่าเสียหน้า
“ท่านยาย ท่านแม่ ท่านน้า ที่วัดต้าโฝจู๋เอ๋อร์แต่งกายกินอยู่เรียบง่ายเพื่อละกิเลสจนชิน ไม่คุ้นเคยกับเสื้อผ้างามประณีตพวกนี้จริงๆ นายหญิงได้โปรดส่งกลับไปเถิดเ้าค่ะ”
พอไป๋เซียงจู๋อธิบายจบก็ให้ตู้เจวียนถือของมา ทุกคนรวมสายตาไปที่เสื้อผ้าบนถาด บ้างก็สีสันฉูดฉาดเกินไป หรือไม่ก็มืดหมองเกินไป ไม่มีสักชุดที่เหมาะกับคุณหนูใหญ่ อีกทั้งความกว้างของบ่าก็ดูใหญ่กว่าตัวมาก คุณหนูใหญ่ผอมบางปานนั้น สวมใส่เสื้อผ้าขนาดใหญ่เช่นนี้ จะพอดีได้อย่างไร
ภายในห้องเงียบสนิทฉับพลัน เงียบจนทุกคนได้ยินเสียงหัวใจของตนเต้น
ไป๋ซื่อมองเสื้อผ้าในถาด จากนั้นจึงมองฮูหยินเฒ่าด้วยแววตาขุ่นเคือง มิใช่รับปากนางแล้วว่าจะชดเชยให้จู๋เอ๋อร์เป็อย่างดีหรอกหรือ ทำไมกัน นางยังคงไม่เข้าใจแม้ครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่านางก็ไม่กล้าเข้าไปซักถามมารดา ได้แต่กัดริมฝีปากโดยไม่มีคำพูดใดออกมาเลย
ไป๋เซียงจู๋ยิ้มน้อยๆ นางรู้ดีว่าการปะทะกับอวี๋ซื่อในตอนนี้คือสิ่งที่ไม่ฉลาด อย่างไรก็ตาม ชาติก่อนนางประพฤติตนอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว แล้วภายหลังมีชะตากรรมเช่นไรเล่า เกือบโดนพวกนางแม่ลูกหักหลังสำเร็จ เช่นนั้นขอลงมือสู้กันสักตั้งเสียดีกว่า! นางกำลังเดิมพัน เดิมพันว่าฮูหยินเฒ่าจะปกป้องศักดิ์ศรีของจวนไป๋หรือไม่!
ตู้เจวียนที่ตามหลังไป๋เซียงจู๋มา สองมือที่ถือเสื้อผ้าสั่นเทาเล็กน้อย เล็บจิกลงบนผิวเนื้อขาวราวหิมะ ตัวสั่นจนแทบทรงตัวไม่อยู่ ในขณะที่ไป๋เซียงจู๋ยังคงรอยยิ้มน้อยๆ ไว้ ไร้ซึ่งท่าทีขลาดกลัวโดยสิ้นเชิง
ฮูหยินเฒ่าไป๋มองอวี๋ซื่อ ถามนางด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เกิดอะไรขึ้น ข้าวานเ้าไปเลือกผ้าสีดีๆ สักสองสามผืนจากคลังมาตัดชุดให้จู๋เอ๋อร์มิใช่หรือ ไยจึงออกมาเป็เช่นนี้”
เชิงอรรถ
[1]双手转 หัตถ์คู่ คือ การเขียนด้วยมือทั้งสองข้างพร้อมกัน