ทุกที่ที่ฝ่ามือพาดผ่าน ห้วงอากาศต้องสั่นไหวพร้อมกับมีพลังทำลายล้างแพร่กระจาย ราวกับกลายเป็คุกสำหรับกักขังร่างเย่เฟิง แต่เย่เฟิงเหยียดยิ้มอย่างเ็า จู่ ๆ พลังมหาศาลพวยพุ่งออกจากร่าง นาทีต่อมามีเสียงแตกหักดังขึ้น คุกที่กักขังนั่นแตกสลายในพริบตา ก่อนจะสลายเป็ผุยผง
“ตาย!” เย่เฟิงแผดเสียงะโ จากนั้นเหวี่ยงหมัดโจมตี ทุกที่ที่รังสีหมัดพาดผ่านจะก่อให้เกิดสายลมพัดโหมกระหน่ำ ก่อนจะเข้าปะทะกับการโจมตีของเหลียงปู้ผั่ว ตามมาด้วยเสียงดังปัง การโจมตีของสองคนปะทะกันอีกครั้ง ซึ่งหลังจากที่เย่เฟิงบรรลุขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 หมัดของเขาก็มีพลังสามแสนจิน ดังนั้นในด้านพละกำลัง เหลียงปู้ผั่วย่อมไม่ใช่คู่แข่งของเขา
จากการปะทะนี้ เหลียงปู้ผั่วรู้สึกแขนชาและอดเซถอยหลังไปไม่ได้ สีหน้าก็ยังขาวซีด แม้เหลียงปู้ผั่วจะเป็สี่อัจฉริยะบุรุษเหมือนเว่ยเจิ้นเทียน หวงเหยียนิ และจ้าวหยาง แต่ในด้านพลังกลับเป็คนที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาสี่คน
หลังปะทะสองครั้ง เย่เฟิงเป็ฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด นี่ทำให้เหลียงปู้ผั่วเผยสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา
“มีพลังแค่นี้แต่เรียกได้ว่าเป็สี่อัจฉริยะบุรุษเนี่ยนะ? แม้แต่ข้าที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 ก็ยังรับมือไม่ได้ เศษสวะ!” เย่เฟิงกล่าวดูถูกขณะมองเหลียงปู้ผั่ว ในระหว่างที่กล่าวเช่นนั้น เขาเดินออกมาอีกก้าว โดยไม่คิดที่จะปล่อยให้เหลียงปู้ผั่วมีโอกาสพักหายใจแม้เสี้ยววินาที เขารัวหมัดที่ผสานด้วยอำนาจฟ้าดินขั้นกายาโจมตีอย่างไม่ยั้งมือ ทำบรรยากาศเปลี่ยนไปกดดันในพริบตา
เหลียงปู้ผั่วรู้สึกว่าตนราวกับแบกรับูเาลูกใหญ่ไว้บนหลังจนไม่สามารถยืนตัวตรงได้ บนหน้าก็มีเหงื่อไหลออกมา
แต่รังสีหมัดจำนวนมากมาเยือนเบื้องหน้าเขาจนทำให้เขาไม่มีที่หลบหนี จึงทำได้เพียงยกมือขึ้นป้องกัน
“ตูม ๆ ๆ!” เสียงะเิดังสนั่นต่อเนื่อง รังสีหมัดของเย่เฟิงประหนึ่งห่าฝน ทุกการโจมตีล้วนโดนเหลียงปู้ผั่ว ทำให้เขาตัวสั่นอย่างรุนแรง
เมื่อผู้คนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าต่างก็ตาเบิกกว้าง เหลียงปู้ผั่วหนึ่งในสี่อัจฉริยะบุรุษแห่งแดนชิงอวิ๋น เป็ถึงอัจฉริยะระดับหัวกะทิ มากพร์และศักยภาพ ทว่าในการประลองยุทธ์เลือกคู่ที่ทางราชวงศ์จ้าวจัดขึ้น เหลียงปู้ผั่วกลับถูกเย่เฟิงที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 บดขยี้ ไม่มีโอกาสโต้กลับแม้แต่นิดเดียว เื่ที่น่าเหลือเชื่อนี้ทำให้ผู้คนไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเองว่าทั้งหมดนี้คือความจริง
“เหลียงปู้ผั่วแพ้งั้นหรือ?” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งอุทานด้วยความใ
“กร๊อบ!”
ทว่าไม่ทันสิ้นเสียงของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น ผู้คนก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของเหลียงปู้ผั่ว ในที่สุดเหลียงปู้ผั่วก็ทนรับรังสีหมัดพวกนั้นของเย่เฟิงไม่ไหว กระดูกแขนข้างหนึ่งแตกหักหลายจุด จากนั้นร่างกระเด็นไปกระแทกกับพื้นเวทีประลองอย่างแรง เสียงกรีดร้องก็ดังออกจากปากเขาไม่หยุด
“นี่...” ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างก็ตกตะลึง หากไม่เห็นด้วยตาของตัวเอง พวกเขาก็ไม่มีทางเชื่อว่าทุกอย่างที่ตนเองเห็นคือความจริง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเหลียงปู้ผั่วก็คืออัจฉริยะเลื่องชื่อแห่งแดนชิงอวิ๋น แต่บัดนี้กลับถูกเย่เฟิงที่มีตบะต่ำกว่าเขาถึงห้าขั้นบดขยี้ในการประลองยุทธ์เลือกคู่ ซ้ำยังถูกอีกฝ่ายทำร้ายอย่างไม่ปรานี
“ไม่เลว ข้านึกไม่ถึงเลยว่าเย่เฟิงจะแกร่งเพียงนี้ แม้แต่องค์ชายแห่งอาณาจักรเหลียงก็ไม่ใช่คู่แข่งของเขา เอาชนะอีกฝ่ายได้ง่าย ๆ เช่นนี้ ถือว่าร้ายกาจมาก!”
บนอัฒจันทร์หลัก องค์าาจ้าวผงกศีรษะขึ้นลงหลายครั้งพลางลูบเคราตัวเอง ส่วนจ้าวซินอี๋ที่อยู่ข้าง ๆ เห็นเย่เฟิงเอาชนะเหลียงปู้ผั่วได้ก็เผยรอยยิ้มหวานที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์เย้ายวน แต่จ้าวหยางกลับมีสีหน้าอึมครึม เขาไม่คิดว่าเย่เฟิงจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เอาชนะเหลียงปู้ผั่วโดยไม่เปลืองแรงมากเท่าไร หากเขาสู้กับเหลียงปู้ผั่วก็สามารถเอาชนะได้ แต่คงไม่มีทางเอาชนะได้ง่าย ๆ เหมือนกับเย่เฟิงเช่นนี้
“องค์ชาย!”
ผู้ที่มีปฏิกิริยาเป็คนแรกคือผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรเหลียงบนอัฒจันทร์ จากนั้นเห็นสองเงาร่างไปเยือนบนเวทีประลอง ก่อนจะพยุงร่างเหลียงปู้ผั่ว ทั้งสองเหลือบมองไปที่เย่เฟิงด้วยสายตาเย็นะเื “ใต้เท้าไม่ลงมือหนักไปหน่อยหรือ คงต้องให้คำอธิบายแก่อาณาจักรเหลียงแล้วกระมัง”
“จะให้ข้าอธิบายอะไร?” เย่เฟิงเอ่ยถามพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย
“เ้าทำลายแขนขององค์ชายเหลียง หรือไม่ควรให้คำอธิบาย?” ผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรเหลียงคนนั้นขมวดคิ้วพร้อมเผยสีหน้าดูแคลน ก่อนจะเอ่ยถามเช่นนั้น
“นี่เป็การต่อสู้อย่างยุติธรรม แต่องค์ชายเหลียงของเ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า จึงถูกข้าทำลายแขน แต่มาร้องขอให้ข้าอธิบายเนี่ยนะ ข้าขอถามหน่อย หากคนที่ได้รับาเ็เป็ข้า แล้วข้าให้อาณาจักรเหลียงเ้าอธิบาย พวกเ้าจะทำไหม?”
“เ้าจะทัดเทียมกับองค์ชายเหลียงข้าได้เยี่ยงไร? ตอนนี้เ้าทำร้ายองค์ชายเหลียงก็ต้องชดใช้ เื่นี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเ้า!” ผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรเหลียงคนนั้นกล่าวเสียงกร้าว พลันไอเย็นห้อมล้อมร่างกาย ราวกับว่าเย่เฟิงคือมดแมลงที่พวกเขาสามารถกำหนดความเป็ตายของเย่เฟิงได้ตลอดเวลา
“น่าขัน!”
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็แสยะยิ้ม พลางกล่าวต่อว่า “องค์ชายเหลียงเ้าอ่อนหัด จึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า แต่พวกเ้าถึงกับออกหน้าแทนเขา ไม่รู้จริง ๆ ว่าชาวอาณาจักรเหลียงโง่เขลาหรือไม่มีสมองกันแน่?”
ผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรเหลียงทั้งสองคนได้ยินก็บันดาลโทสะ “ในเมื่อเ้าไม่คิดจะชดใช้ให้กับอาณาจักรเหลียง เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าสองคนไม่เกรงใจ!”
ผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรเหลียงสองคนนั้นล้วนอยู่จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้ มาเพื่อปกป้องเหลียงปู้ผั่ว จึง้าลงมือจัดการเย่เฟิง
“บังอาจ!”
ทว่าไม่รอให้ผู้ฝึกยุทธ์สองคนนั้นลงมือ จู่ ๆ เสียงเย็นะเืดังมาจากอัฒจันทร์หลัก ทำให้ผู้คนหันไปมองเป็ตาเดียวกัน ก่อนจะพบว่าผู้พูดก็คือขุนนางผู้ดำเนินการคนนั้นที่ดูแลการประลองยุทธ์เลือกคู่ครั้งนี้
ขุนนางผู้ดำเนินการเผยสีหน้าอึมครึม พร้อมแผ่กลิ่นอายแห่งความน่าเกรงขามออกจากร่าง ก่อนพูดขึ้นว่า “ที่นี่คือสนามฝึกของราชวงศ์จ้าว ไม่อนุญาตให้พวกเ้ากำเริบเสิบสาน รีบถอยออกมาเสีย!”
ท่าทีของขุนนางผู้ดำเนินการแข็งกร้าวอย่างมาก ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรเหลียงสองคนนั้นต้องเผยหน้าเขียว ซึ่งเป็ความจริงที่ว่าที่นี่คือถิ่นของอาณาจักรจ้าว หากพวกเขาลงมือจัดการผู้ฝึกยุทธ์ที่เข้าร่วมการประลองยุทธ์เลือกคู่ เช่นนั้นก็เท่ากับดูถูกอาณาจักรจ้าว ดังนั้นชาวอาณาจักรจ้าวจึงไม่มีทางนิ่งดูดายได้
“ถือว่าเ้าดวงดี!” ผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรเหลียงคนหนึ่งกล่าวด้วยท่าทีไม่ยอม พร้อมแสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตา จากนั้นพวกเขาออกจากเวทีประลองโดยไม่สนใจเย่เฟิงอีก
ดังนั้นเย่เฟิงกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์คนที่ 4 ที่ผ่านเข้ารอบต่อไป
“คาดไม่ถึงว่าเย่เฟิงผู้นี้จะแข็งแกร่งขนาดนี้ ถึงกับเอาชนะเหลียงปู้ผั่วได้ง่าย ๆ เช่นนั้นตำแหน่งในสี่อัจฉริยะบุรุษก็ต้องถูกเปลี่ยนน่ะสิ?” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาเลื่อมใสศรัทธา โดยที่ไม่กล้าดูถูกเย่เฟิงอีกแล้ว
ครู่ต่อมาศึกกลุ่มสุดท้ายก็จบลง ครั้งนี้ถูกคัดออกห้าคน ผ่านเข้ารอบห้าคน ซึ่งห้าคนนี้คือซือคงเสวียน เว่ยเจิ้นเทียน หวงเหยียนิ เย่เฟิง และทั่วป๋าเจียง
ทั่วป๋าเจียงคือผู้มีฝีมือรุ่นเยาว์จากตระกูลทั่วป๋าแห่งอาณาจักรซ่ง ตบะอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 9 พลังต่อสู้แกร่งกล้า และการที่ทั่วป๋าเจียงเดินมาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะอาศัยพลังอันแกร่งกล้าล้วน ๆ
ในบรรดาห้าคนมีเพียงเย่เฟิงที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 นอกนั้นอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 9 ขึ้นไป จึงทำให้ผู้คนอดใกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ โดยที่ก่อนหน้านี้การประลองยุทธ์เลือกคู่ยังไม่เริ่มก็ไม่มีผู้ใดคิดว่าเย่เฟิงที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 จะเดินทางมาถึงจุดนี้ได้
“นึกไม่ถึงเลยว่าสวะอย่างเ้าจะมาถึงห้าคนสุดท้ายได้” เว่ยเจิ้นเทียนกล่าว
“สิ่งที่เ้าไม่คาดคิดยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่าง อย่าคิดว่าตัวเองสำคัญมากเกินไป!” เย่เฟิงกล่าวพลางเหลือบมองไปที่เว่ยเจิ้นเทียนด้วยสายตาเย็นเยียบ
“จะตายอยู่รอมร่อก็ยังปากดีได้อีกหรือ? อีกเดี๋ยวการประลองเริ่ม คนแรกที่ข้าจะจัดการก็คือเ้า!” หวงเหยียนิกล่าว
“งั้นเมื่อถึงเวลาข้าก็อยากดูว่าเ้าจะแน่สักแค่ไหน?” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น
“เย่เฟิงผู้นี้ใจกล้ามาก แม้เวลานี้แล้วก็ยังกล้าท้าทายเว่ยเจิ้นเทียนกับหวงเหยียนิ สงสัยคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว!” ผู้คนเห็นเย่เฟิงต่อปากต่อคำกับพวกเว่ยเจิ้นเทียนต่างก็ตะลึงงัน คิดว่าเย่เฟิงรนหาที่ตาย ถึงอย่างไรพวกเว่ยเจิ้นเทียนก็ไม่ใช่เหลียงปู้ผั่ว พลังของสองคนนี้แกร่งกล้ากว่ามาก
“ลำดับต่อไปพวกเ้าห้าคนจะประลองฝีมือกันครั้งสุดท้ายเพื่อจัดอันดับ ซึ่งผู้ชิงอันดับที่หนึ่งไปครองจะได้เป็ราชบุตรเขยของราชวงศ์จ้าว ส่วนอันดับที่สองและสามจะได้รางวัลอย่างงาม” ขุนนางผู้ดำเนินการกล่าวขึ้น
“ใต้เท้าเชิญบอกกฎการประลองทีเถิด!” หวงเหยียนิกล่าว
“กฎการประลองเรียบง่ายมาก พวกเ้าทุกคนจะต้องต่อสู้กับอีกสี่คน ผู้ใดทำคะแนนได้ดีก็จะยิ่งได้อันดับดี เริ่มได้ ณ บัดนี้!” ขุนนางผู้ดำเนินการกล่าวต่อจากเมื่อครู่ ทำผู้คนชะงักไปเล็กน้อย การประลองรอบสุดท้ายจะเริ่มขึ้นแล้วอย่างนั้นหรือ? เมื่อฉุกคิดได้เช่นนี้ พวกเขาก็มองไปที่เวทีประลองด้วยความตื่นเต้น
“เย่เฟิงเ้าพยายามเข้านะ!”
บนอัฒจันทร์หลัก จ้าวซินอี๋กะพริบตาปริบ ๆ พลางกำมือแน่น ด้วยท่าทีเป็กังวล การประลองรอบสุดท้ายจะตัดสินชะตากรรมของนาง แต่นางก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวเย่เฟิง
“รอบแรก หวงเหยียนิปะทะทั่วป๋าเจียง!”
ครู่ต่อมาขุนนางผู้ดำเนินการประกาศคู่แรกที่ต้องประลองฝีมือกัน
ดวงตาของหวงเหยียนิเผยประกายคมกริบ บนร่างคล้ายลุกโชนไปด้วยเจตจำนงแห่งการต่อสู้อันร้อนแรง พร้อมประจันหน้ากับทั่วป๋าเจียง และทั้งสองคนยังสบตามองกันด้วยท่าทีดุดัน
“เ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ยอมแพ้ซะเถอะ!” หวงเหยียนิกล่าวพลางเชิดหน้ามองทั่วป๋าเจียง
“มาถึงตอนนี้แล้ว เ้าจะให้ข้ายอมแพ้งั้นหรือ?” ทั่วป๋าเจียงกล่าว เขาคือผู้มีฝีมือคนหนึ่ง เช่นนั้นจะยอมแพ้ง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน?
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าก็หวังว่าเ้าจะรับมือได้นะ!” หวงเหยียนิกล่าวเสียงเย็น โดยที่ยังคงเชื่อมั่นในตัวเองสูง
เมื่อสิ้นเสียง จู่ ๆ พลังปราณพวยพุ่งออกจากร่างหวงเหยียนิอย่างบ้าคลั่ง จนพุ่งสูงเสียดฟ้า ทำร่างหวงเหยียนิสูงใหญ่ขึ้น
“ฝ่ามือ์คลั่งระดับเหลือง!”
นาทีต่อมาได้ยินหวงเหยียนิแผดเสียงะโ เขาร่ายมือไปมาด้านหน้าตนเอง พร้อมอัดพลังหยวนใส่ฝ่ามือจนฝ่ามือทับซ้อนและมีพลังทำลายล้างแผ่ออกมา ก่อนจะรวมเป็ฝ่ามือั์บดบังฟ้า
“ฟิ้ว!” ฝ่ามือั์เข้าโจมตีทั่วป๋าเจียงในพริบตา
ดวงตาของทั่วป๋าเจียงเผยประกายเย็นเยือก จากนั้นดาบเล่มหนึ่งที่ยาวสามฉื่อปรากฎในมือเขา พร้อมตัวดาบเปล่งแสง จู่ ๆ ปราณอันคมกริบแผ่ไปทั่วอากาศ ราวกับตัดทุกสิ่งให้ขาดสะบั้น
“นภาถ่วงสะบั้น!”
ทั่วป๋าเจียงยืดตัวตรง จนกล้ามเนื้อปูดออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน จากนั้นเขากวัดแกว่งดาบที่อัดแน่นไปด้วยพละกำลังมหาศาลโจมตีฝ่ามือของหวงเหยียนิทันที
“ตูม!” เสียงะเิดังกึกก้อง รังสีดาบและฝ่ามือเข้าปะทะกัน พร้อมคลื่นทำลายล้างแพร่กระจายไปทั่วบริเวณ
จากการปะทะครั้งนี้ ฝีมือของทั้งสองคนถือว่าพอ ๆ กันเลยทีเดียว นี่ทำให้หวงเหยียนิเผยสีหน้าไม่สู้ดี เหมือนไม่คิดว่าทั่วป๋าเจียงจะแข็งแกร่งมากเพียงนี้
“ฝ่ามือ์คลั่งระดับเหลือง!”
หวงเหยียนิแผดเสียงะโ จากนั้นวาดฝ่ามือโจมตีอีกครั้ง หมายะเิร่างทั่วป๋าเจียง
