อันธพาลในหมู่บ้านจึงจำใจต้องปล่อยไก่ไป ยังถูกแม่ไก่ป่าจิกเอาคืนอีกหลายครั้ง
แม่ไก่ป่ารู้จักประจบและแอบอิงผู้ทรงอิทธิพลยิ่งนัก ทันทีที่หันหลังกลับ ก็วิ่งไปหาอินเหิง แล้วะโขึ้นไปเกาะพนักแขนของเก้าอี้เข็น ก่อนนั่งยอง
ปกตินางเซี่ยไม่มีทางยอมให้เมิ่งอู่ปรุงน้ำแกงงูเด็ดขาด แต่วันนี้ต้มให้พวกอันธพาลกิน นางเซี่ยค่อนข้างใจกว้าง
ระหว่างทำอาหาร นางเซี่ยแตะแขนของเมิ่งอู่ไว้พลางแอบกล่าว “เ้าอย่ากินน้ำแกงงูนั่นนะ หากถูกวางยาพิษจะทำอย่างไร?”
เมิ่งอู่กล่าว “ท่านแม่ ข้าเอาส่วนที่มีพิษออกหมดแล้ว อีกสักพักท่านลองชิมดู อร่อยมากจริงๆ เ้าค่ะ!”
นางเซี่ยทำท่ารังเกียจ “ข้าไม่กินสิ่งนั้น”
ในไม่ช้ากลิ่นหอมของน้ำแกงเนื้องูก็อบอวลไปทั่วลานเรือน
แสงไฟในลานเรือนส่องสว่างต้องใบหน้าของทุกคน พวกอันธพาลส่งเสียงเซ็งแซ่ แม้แต่เื่จะใส่ยี่หร่าลงในกระต่ายย่างหรือไม่ก็ยังถกเถียงกันอยู่นาน เสียงเอะอะโวยวายมากจนทนไม่ไหว
ในเรือนคึกคักมีชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
ถือเสียว่าเป็โอกาสดีในการเลี้ยงฉลองขึ้นเรือนใหม่ เพียงแต่ไม่คาดคิดเลยว่าแขกที่มาร่วมงานจะเป็เหล่าอันธพาลที่น่ารังเกียจที่สุดในสิบหลี่แปดหมู่บ้าน… ดูคล้ายภาพฉากนี้ไม่ถูกต้องนัก
เมื่อน้ำแกงงูเดือดแล้ว ทุกคนในลานเรือนต่างก็ได้กินกันคนละชาม
นางเซี่ยปฏิเสธในตอนแรก แต่เหล่าอันธพาลคะยั้นคะยอ สุดท้ายนางจึงหลับตากินไปหนึ่งคำ
ตราบใดที่ไม่นึกถึงหนังงูที่มีสีสันสดใสน่ากลัวนั่น น้ำแกงงูก็ถือว่าอร่อยมากทีเดียว
ยามรัตติกาลคืบคลานเข้ามา พวกอันธพาลกินดื่มอิ่มหนำสำราญกันเต็มที่แล้ว ก็จากไปอย่างมีความสุข
นางเซี่ยเก็บชามและตะเกียบ จากนั้นจึงตักน้ำร้อนในหม้อไปอาบน้ำ
ยามนี้ในเรือนมีห้องอาบน้ำโดยเฉพาะสะดวกสบายขึ้นมาก หลังนางเซี่ยอาบน้ำเสร็จ ก็เตรียมพักผ่อนในห้อง นางกำชับเมิ่งอู่ให้รีบเข้านอนเร็วๆ
เติมฟืนเพิ่มเข้าไปในเตาเพื่อต้มน้ำร้อนอีกหม้อหนึ่ง เปลวเพลิงสีแดงไหววูบวาบ
ยังมียาอุ่นอยู่บนเตายาใต้ชายคา เสียงดังฟู่ฟ่าๆ กลิ่นยาหอมจัดลอยออกมาจากใต้ฝาหม้อ
เวลานั้นเมิ่งอู่กำลังตรวจดูอาการของอินเหิง จึงตอบนางเซี่ยโดยไม่ทันคิดให้รอบคอบว่า “ท่านแม่ก็นอนพักผ่อนเถิดเ้าค่ะ ข้าจัดการเสร็จแล้วจะเข้านอน” พูดคุยไปพลาง แกะผ้าพันแผลที่ขาของอินเหิงออกทีละชั้นไปพลาง
นางเซี่ยเหลือบมองเพียงสองครั้ง แล้วไม่กล่าวอันใดมาก ก่อนเดินเข้าห้องไป
ยามนี้นางมิได้ระแวงอินเหิงเหมือนก่อนอีกแล้ว เพราะนึกถึงว่าอินเหิงนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็น แม้แต่จะลุกขึ้นยืนยังทำไม่ได้ ย่อมไม่มีทางเกิดอารมณ์ตามสัญชาตญาณของบุรุษได้จริงๆ
ก่อนหน้านี้เมิ่งอู่แอบรักษาขาให้อินเหิงในยามราตรี ใช่ว่านางเซี่ยจะไม่รู้ เพียงแต่นางเปิดตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่ง [1] เท่านั้น
หลังเมิ่งอู่แกะผ้าพันแผลออก ก็ตรวจสอบการฟื้นฟูของกระดูกขาของอินเหิง
เมิ่งอู่ใช้มือััขาของเขาเบาๆ แล้วยิ้มกล่าว “ทุกอย่างเป็ปกติดี กระดูกไม่ผิดรูป ยังรักษาขาไว้ได้งดงามสมบูรณ์แบบ”
อินเหิงหลุบตาลงเห็นเมิ่งอู่กำลังจ้องสองขาของเขาแล้วเดาะลิ้น...
เมิ่งอู่กล่าว “อาเหิง ขาของเ้าช่างเรียวยาวมาก”
ในที่สุดนางก็ชื่นชมได้โดยไม่ต้องยับยั้งชั่งใจ
ดวงตาสีอ่อนของอินเหิงทอประกายระยิบระยับขณะมองนางเงียบๆ ก่อนกล่าวว่า “จริงหรือ เมื่อก่อนข้าไม่ค่อยใส่ใจ หากเ้าชมชอบก็ดีแล้ว”
เมิ่งอู่หัวเราะเ้าเล่ห์ก่อนเอ่ยว่า “ข้าไม่เพียงชมชอบ ต่อไปข้ายังต้องลูบคลำและบีบนวดทุกวัน มิเช่นนั้นกล้ามเนื้อจะลีบ ไม่งามแล้ว”
อินเหิงตอบตกลงทันควัน “เช่นนั้นอาอู่ต้องลูบบ่อยๆ”
จากนั้นเมิ่งอู่ก็เทยาออกมา ในครัวนึ่งดีงูไว้ นางจึงนำมาป้อนอินเหิงพร้อมกับยา
าแตามร่างกายท่อนบนของเขาหายดีแล้ว ทิ้งไว้เพียงรอยแผลเป็เต็มไปหมด ดูค่อนข้างน่ากลัว
แต่เคราะห์ดีที่ไม่ต้องทายาอีกแล้ว ขอเพียงไม่ออกแรงมาก แผลก็จะไม่ฉีกขาดอีก
อินเหิงดึงชายเสื้อคลุมหลวมๆ มาปกปิดรอยแผลเป็หลายตำแหน่งไว้ ถามว่า “อาอู่ ข้าที่เป็อย่างนี้ดูน่ากลัวหรือไม่?”
ครั้นเมิ่งอู่ที่เดินไปตักน้ำในครัวให้อินเหิงอาบน้ำได้ยินดังนั้นก็ตอบว่า “ไม่น่ากลัว ข้าชมชอบบุรุษที่มีแผลเป็ตามร่างกาย”
อินเหิงนั่งอยู่ใต้แสงจันทร์ยามค่ำในลานเรือน สายลมโชยแ่เบา ดูคล้ายเขาพึมพำกับตนเองอย่างพึงพอใจอยู่บ้าง “ชอบบุรุษที่มีแผลเป็เช่นนั้นหรือ”
เมิ่งอู่ยกน้ำไปไว้ที่ห้องอาบน้ำ จากนั้นค่อยเข็นอินเหิงไป นางกล่าวอย่างเบิกบานใจ “อาเหิง ข้าช่วยอาบน้ำให้เ้าดีหรือไม่?”
ใต้แสงสลัวอินเหิงที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก วันนี้อาอู่เหนื่อยมาทั้งวันแล้วและลำบากมากแล้ว”
เมิ่งอู่พูด “อาบน้ำให้ท่าน ข้าไม่เหนื่อย”
อินเหิงเอ่ย “เพียงคิดว่าเ้าต้องลำบากขนาดนี้ ข้าก็ไม่สบายใจมาก”
เมิ่งอู่ได้แต่ประนีประนอม “เช่นนั้นก็ได้ๆ หากเ้าอาบน้ำไม่ไหวก็เรียกข้า ข้าจะรออยู่ข้างนอก”
อินเหิงพยักหน้า ก่อนเข้าไปในห้องอาบน้ำ
ภายในห้องอาบน้ำมีที่นั่ง แม้ขาของอินเหิงขยับเขยื้อนไม่ได้ แต่แขนของเขายังมีแรง จึงค่อยๆ ยันตัวด้วยความยากลำบากย้ายจากเก้าอี้เข็นไปยังที่นั่งในห้องอาบน้ำ
เมิ่งอู่เข้าไปช่วยผลักเก้าอี้เข็นออกไป เพื่อจะได้ไม่เปียกน้ำ
เพียงแต่ยามที่อินเหิงกำลังจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าตนเองโดยเปิดอ้ากว้างขึ้น เขากลับดึงมือกลับ แล้วเงยหน้ามองเมิ่งอู่ที่ยืนเบิกตาโตอยู่ด้านข้างด้วยสายตาฉายแววเย้าหยอกเล็กน้อย
เมิ่งอู่ถอนหายใจด้วยความเสียใจ อา นี่ไม่ใช่ว่าเย้าหยอกคนหรือ
นางเข็นเก้าอี้เข็นออกไปพลางกล่าว “ข้าไปแล้ว ไปแล้ว”
เมิ่งอู่เฝ้าอยู่ที่ประตูจริงๆ นางนั่งรอบนเก้าอี้เข็นของอินเหิง ไม่นานก็ได้ยินเสียงน้ำดังมาจากข้างใน
แท้จริงแล้วประตูห้องน้ำไม่ได้ปิดสนิท ทิ้งช่องว่างกว้างเท่าหนึ่งฝ่ามือไว้ เมิ่งอู่ฮัมเพลงเบาๆ พลางแสร้งหันหลังกลับโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วแอบมองผ่านช่องประตูอย่างลับๆ ล่อๆ...
จริงๆ เลย เป็คนกันเองแท้ๆ แค่มองเขาอาบน้ำยังต้องแอบ ไม่มีความสุขเลย
แต่ในไม่ช้าความทุกข์ในใจของนางก็ถูกเหวี่ยงทิ้งไปไกลจนไม่เห็นร่องรอย
เมื่อมองลอดรอยแยกของประตู ก็พอดีกับที่เห็นอินเหิงหันหลังให้นาง นางถูกทิ้งให้นั่งมองแผ่นหลังนั้น
ผิวของเขาขาวจัดท่ามกลางแสงสลัว ไม่นึกเลยว่าร่างกายท่อนบนของเขาจะแข็งแกร่งมากเมื่อหันหลังให้นาง เส้นสายเรียบเนียนและงดงามเป็พิเศษ เขาตักน้ำแล้วสาดลงมาจาก้า น้ำสะอาดไหลไปตามกล้ามเนื้อของเขา อย่าพูดถึงเลยว่าเพลินตาเพียงใด...
เรือนผมของเขาดำขลับดุจผ้าแพรไหมแนบติดแผ่นหลังเปียกชื้นและเรียบลื่น
เมิ่งอู่รู้สึกถึงโลหิตที่พลุ่งพล่าน
เพื่อปกปิดตนเอง ไม่ให้อินเหิงรู้ตัวว่านางกำลังแอบมอง เมิ่งอู่จึงฮัมเพลง แต่ยิ่งฮัมเพลงเสียงยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัวว่าเสียงเพลงนั้นเพี้ยนไปไกลถึงหนึ่งแสนแปดพันหลี่
จะทำอย่างไรได้เล่า ผู้ใดบ้างที่ไม่มี่เวลาที่มีจิตใจฮึกเหิม
จากนั้นเสียงน้ำในห้องก็ค่อยๆ เงียบลง
เมิ่งอู่รีบส่งเก้าอี้เข็นเข้าไปให้เขาอย่างขมีขมัน ขณะเดียวกันเขาก็เพิ่งแต่งตัวเสร็จ กำลังผูกสายคาดเอวช้าๆ
อินเหิงออกจากห้องน้ำพร้อมกลิ่นหอมสะอาด ผมยาวปรกไหล่ ชายเสื้อนุ่มลื่นและเรียบเนียน ดูเหมือนดวงตาทอแสงดั่งแสงจันทร์จางๆ วงหน้านั้นหลุดพ้นจากโลกีย์อย่างแท้จริง สงบนิ่ง บริสุทธิ์ และรูปงาม
พอเขาเห็นเมิ่งอู่ที่ประตู ก็ใครู่หนึ่ง ก่อนยกมุมปากเผยรอยยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เ้าเป็อย่างไรบ้าง?”
เมิ่งอู่กล่าว “ข้าสบายดี แข็งแกร่ง กระปรี้กระเปร่า ไม่เคยรู้สึกดีเท่านี้มาก่อนเลย”
อินเหิงยื่นมือออกไปแตะปลายจมูกของนางด้วยปลายนิ้วของเขา “เช็ดเืกำเดาเสีย”
……….
[1] หมายถึง ทำเป็ไม่รู้ไม่เห็น