เฉียวรุ่ยมายืนอยู่หน้าประตูใหญ่จวนตระกูลหลิ่ว เขามองดูจวนที่ดูมีสง่าราศีหลังนี้พลางบีบนิ้วมือโดยไม่รู้ตัว ในใจรู้สึกกังวล
อันที่จริง ตอนที่เห็นเสื้อผ้าหรูหราทั่วร่างของเทียนฉี เขาควรต้องคิดได้แล้วว่าบุรุษผู้นี้อาจมีชาติกำเนิดเป็นายน้อยของตระกูลใหญ่ ไม่เช่นนั้นอาภรณ์ที่สวมอยู่คงไม่ดูแพงเช่นนี้
ตระกูลหลิ่วใหญ่โตนัก หากบิดาของเทียนฉีดูถูกคนที่มีชาติกำเนิดอย่างตน เขาจะทำอย่างไรเล่า?
หลิ่วเทียนฉีเห็นเฉียวรุ่ยที่อยู่ข้างกายสีหน้าไม่ค่อยดีก็จูงมืออีกฝ่าย คลึงกลางฝ่ามือให้เบาๆ
“อย่า อย่าจูงข้าสิ!” เฉียวรุ่ยรีบชักมือกลับ แต่หลิ่วเทียนฉีไม่ปล่อย
“วางใจเถอะ ท่านพ่อรักข้ามาก เขาไม่มีทางทำให้เ้าลำบากใจหรอก” หลิ่วเทียนฉีจับมือเฉียวรุ่ยแน่น ปลอบคนข้างกายด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“ถ้าอย่างนั้นแล้วคนอื่นเล่า? เ้าบอกมิใช่หรือว่าท่านปู่ของเ้าเป็เ้าตระกูลหลิ่ว ไหนจะมีท่านลุงใหญ่กับท่านลุงรองอีก?” พอคิดว่าหลิ่วเทียนฉีมีญาติอีกมากมาย เฉียวรุ่ยพลันรู้สึกกังวล อย่างไรตนก็ยังวิตกเหมือนสะใภ้อัปลักษณ์พบหน้าแม่สามีก็ไม่ปาน
“คนอื่นไม่สำคัญหรอก!” นอกจากบิดากับลุงถงแล้ว หลิ่วเทียนฉีไม่นับคนอื่นเป็ญาติของเขาสักนิด คนพวกนั้นน่ะหรือจะมาสนใจเื่ของเขา? ไม่แน่ว่าบางที อาจรอคอยให้เ้าขยะผู้นี้พาบุรุษสองเพศสักคนกลับมาบ้าน เตรียมหัวเราะให้สาแก่ใจสักยกมากกว่ากระมัง?
“อืม!” ได้ยินหลิ่วเทียนฉีเอ่ย เฉียวรุ่ยก็รู้สึกวางใจลงบ้าง
ทั้งสองเดินจูงมือเข้าประตูใหญ่ตระกูลหลิ่ว
“นายน้อยเจ็ด!” เห็นหลิ่วเทียนฉีกลับมา ผู้คุ้มกันสองคนที่ประตูก็คำนับอย่างนอบน้อม
“อืม!” หลิ่วเทียนฉีตอบรับเรียบๆ คำหนึ่งแล้วพาเฉียวรุ่ยตรงไปยังเรือนของเขากับบิดา
“นายน้อยเจ็ด ท่านกลับมาแล้วหรือ?” เมื่อเห็นหลิ่วเทียนฉี หลิ่วถงที่เฝ้าอยู่นอกประตูห้องหนังสือก็รีบเข้ามาต้อนรับ
“ลุงถง ท่านสบายดีไหม?” เมื่อเขาเห็นผู้เฒ่าก็เอ่ยถาม
“ขอรับ บ่าวสบายดี นายน้อยขอรับ ท่านออกไปตั้งครึ่งปี นายท่านสามคงคิดถึงแทบแย่แล้วกระมัง?”
ได้ยินหลิ่วถงเอ่ยเช่นนี้ หลิ่วเทียนฉีก็พยักหน้าเล็กน้อย “เป็ข้าเองที่ไม่กตัญญู ทำให้บิดาต้องเป็ห่วง”
“นายน้อยอย่าพูดเช่นนี้ขอรับ ท่านกลับมาก็ดีแล้ว แล้วนี่ ท่านนี้คือ?” เห็นเฉียวรุ่ยผู้มีใบหน้างดงาม บนร่างมีอาภรณ์สีขาวยืนอยู่ข้างกายหลิ่วเทียนฉี หลิ่วถงพลันตกตะลึง
“อ้อ นี่คือเฉียวรุ่ย เป็คนที่ข้าชอบ ข้าพาเขากลับมาพบบิดาและตั้งใจจะหมั้นกับเขา”
ได้ยินคำว่าชอบ เฉียวรุ่ยก็หน้าแดงทันที เขาลอบมองหลิ่วเทียนฉีทีหนึ่งพลางคิด ‘เทียนฉี ทำไมเ้าไม่เคยบอกชอบข้าเลยเล่า?’
“อ๋อ ที่แท้ท่านผู้นี้คือนายน้อยเฉียว ดีแล้ว ดีแล้ว!” เห็นนายน้อยของตนพาภรรยากลับมา หลิ่วถงยิ่งรู้สึกวางใจนัก
ก่อนหน้านี้นายน้อยมักจะโทษตนเอง สงสารตนเอง ดูถูกตนเอง ทั้งยังไม่รักไม่พูดจากับนายท่านสาม แล้วยังต้องมาถูกรังแก ทำให้หลิ่วถงรู้สึกเป็ห่วงอยู่เสมอ กลัวว่าสักวันหนึ่งนายน้อยของตนอาจถูกนายน้อยหกกับคุณหนูห้าทำร้ายจนตาย แต่บัดนี้์มีตา ในที่สุดนายน้อยก็ฮึดสู้ ไม่เพียงชำระเส้นปราณตัดกระดูกยกระดับพลังและร่ำเรียนวิชายันต์เท่านั้น แต่ยังพาภรรยากลับมาให้ หากนายท่านสามรู้ต้องดีใจเป็อย่างยิ่ง
“ไม่ๆ ข้าไม่ใช่นายน้อย ลุงถง เรียกข้าว่าเสี่ยวรุ่ยก็พอ!” เฉียวรุ่ยส่ายศีรษะ รีบร้อนเอ่ยแก้
เห็นเทียนฉีสนิทสนมกับผู้เฒ่า เฉียวรุ่ยก็รู้แล้วว่าผู้เฒ่าคนนี้คงรักเทียนฉีมากเช่นกัน
“ฮ่าๆๆ นายน้อยเฉียวอ่อนน้อมเช่นนี้ นายท่านสามพบต้องชอบท่านเป็แน่!”
ได้ยินอย่างนั้น เฉียวรุ่ยได้แต่กะพริบตา ในใจคิด ‘บิดาของเทียนฉีจะชอบบุรุษสองเพศ ยอมให้เขาเป็ลูกสะใภ้จริงๆ น่ะหรือ?’
“ลุงถง ท่านพ่อล่ะ?”
“อ้อ นายท่านสามวาดยันต์อยู่ในห้องหนังสือน่ะขอรับ วาดมาหนึ่งชั่วยามแล้ว อีกไม่นานคงเสร็จ!”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะรอท่านพ่ออยู่ที่นี่!” หลิ่วเทียนฉีผินหน้า ใช้สายตาถามความเห็นเฉียวรุ่ย
“อืม รอสักครู่ดีกว่า อย่ารบกวนผู้าุโขณะวาดยันต์เลย!” เฉียวรุ่ยรู้ว่าบิดาของเทียนฉีเป็ผู้ใช้ยันต์ขั้นสี่ และยังรู้มาว่า ยามผู้ใช้ยันต์วาดยันต์วิเศษย่อมกลัวที่จะถูกรบกวนมากที่สุด ฉะนั้น เขาย่อมไม่ควรเข้าพบในเวลานี้