ณ หุบเขาที่แคบยาวและเรียงรายไปด้วยหินรูปทรงประหลาด มีโลงศพไม้สีดำโลงหนึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางก้อนหินทั้งหลาย อีกทั้งยังมีตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณวางอยู่บนฝาโลงซึ่งสว่างไสวด้วยเปลวเพลิงสีน้ำเงินแปลกตา และมีดวงตาปริศนาโผล่ออกมาจากเปลวเพลิงอย่างน่าพิศวงเป็ครั้งคราว
ศิษย์ซิงซิวกว่าหนึ่งโหลและศิษย์เชื้อสายรากพฤกษาอีกหลายสิบคนอยู่ห่างออกไปไม่กี่จั้ง แต่ละคนจับจ้องตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณด้วยสายตาหวาดผวา ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้โดยไม่ไตร่ตรอง ซึ่งในที่นี้มีศิษย์จากสำนักหยวนซิวเพียงสามคน ได้แก่ ชิวซานอวิ๋น หลิวจินอวิ๋น และซูอวิ๋น
เมื่อหนิงเทียนปรากฏตัวขึ้น ชิวซานอวิ๋นก็ส่งเสียงกรีดร้องราวกับเห็นผี และเบิกตาโพลงด้วยความไม่เชื่อ
ซูอวิ๋นมองดูหนิงเทียนและร่างบอบบางของนางก็สั่นระรัว นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
การะเิพลังของอาวุธิญญาระดับกลางสามารถปลิดชีวิตผู้คนและไม่ควรมีผู้ใดรอดไปได้ แล้วเช่นนั้นหนิงเทียนจะหนีจากความตายได้อย่างไรกัน?
ยิ่งพิจารณาจากระยะเวลาแล้ว มันก็ผ่านไปไม่ถึงสามชั่วยามเท่านั้น ทว่ายามนี้เขากลับเปี่ยมไปด้วยพลัง ต่อให้เขาจะดื่มยาอายุวัฒนะก็เป็ไปไม่ได้ที่จะฟื้นตัวได้เร็วถึงเพียงนี้
หลิวจินอวิ๋นทำได้เพียงเอ่ยถามด้วยสีหน้ามืดมน “จะ...เ้าเป็พี่น้องฝาแฝดของหนิงเทียนหรือ?”
หนิงเทียนหัวเราะเยาะ “เ้าได้ยินมาจากที่ใดว่าข้ามีฝาแฝด?”
ซิ่งอวี่เจวียนกล่าวว่า “เขาคือหนิงเทียน นี่เป็ตัวจริง!”
ชิวซานอวิ๋นส่ายหัวอย่างแรง “ปะ...เป็ไปไม่ได้!”
หนิงเทียนมองชิวซานอวิ๋นแล้วพูดอย่างเ็า “ข้ายังยืนยันคำเดิมว่าเ้าจงน้อมรับความผิดบาปของตน หากเ้ายอมทำตาม ข้าจะมองข้ามราชวงศ์ของจักรวรรดิเชียนซาน มิฉะนั้นจักรวรรดิเชียนซานจะต้องเปลี่ยนราชวงศ์!”
ชิวซานอวิ๋นหัวเราะด้วยความโกรธเกรี้ยว “ผายลมยิ่งนัก! ถึงเ้าจะตายอย่างไรข้าก็รอด!”
ทันใดนั้นหนิงเทียนก็เดินตรงเข้าไปหาชิวซานอวิ๋นด้วยเจตนาสังหารในดวงตา ซึ่งทำให้ยอดฝีมือจื๋อซิวและซิงซิวล้วนตกตะลึง
“เด็กคนนี้จะท้าทายชิวซานอวิ๋นหรือ?”
“เขาดูคุ้นตาอยู่นะ”
ศิษย์ซิงซิวประหลาดใจอย่างยิ่ง ชิวซานอวิ๋นเป็อัจฉริยะแห่งสำนักอินทนิลที่ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้ อีกทั้งสายเืเงาอินทนิลของเขาก็ล้ำค่า และประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาก็ค่อนข้างแข็งแกร่ง
เหล่าศิษย์จื๋อซิวก็ประหลาดใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดจะสังหารชิวซานอวิ๋น หลิวจินอวิ๋น และซูอวิ๋น เนื่องจากทั้งสามคนมีพรรคพวกน้อยกว่า
ทว่ายามนี้หนิงเทียนอยู่ที่นี่ ทั้งยังท้าทายชิวซานอวิ๋นด้วยขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นห้า ซึ่งแม้แต่หลี่ตู้อีผู้บ้าพลังจากสำนักั์พฤกษาก็ยังคิดว่าหนิงเทียนนั้นเสียสติเกินไปแล้ว
แขนขวาของชิวซานอวิ๋นได้รับาเ็ จึงส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขา อย่างไรก็ตามเขายังคงผนึกโบราณซึ่งเป็อาวุธิญญาที่ทรงพลังอย่างยิ่ง และก่อนหน้านี้มันก็คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย
ซิ่งอวี่เจวียนคอยตามหนิงเทียนมาติดๆ นางถือคันธนูจันทรามรกตด้วยท่าทีพร้อมรบอยู่ตลอดเวลา แต่ทันใดนั้นหนิงเทียนก็หยุดชะงักอย่างกะทันหัน
ยามนี้ตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณบนโลงศพไม้สีดำกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง มีดวงตาปรากฏอย่างชัดเจนในเปลวเพลิงสีน้ำเงิน รูม่านตาหมุนกวาดมองโดยรอบเพื่อสำรวจสภาพแวดล้อม
หนิงเทียนรู้สึกถึงพลังประหลาดซึ่งกระตุ้นให้กล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตตื่นขึ้นมา เขาจึงหันไปมองตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณอย่างรวดเร็ว
เมื่อลูกตาปรากฏขึ้น เปลวเพลิงสีน้ำเงินก็กลายเป็เปลวเพลิงสีฟ้า ทั้งยังมีลักษณะคล้ายใบหน้าที่แสยะยิ้มเ้าเล่ห์ ซึ่งทำให้ผู้คนยิ่งตื่นตระหนก
สิ่งที่น่าสยดสยองกว่านั้นก็คือเสียงครูดเล็บจากด้านในโลงศพไม้สีดำที่ดังขึ้นอย่างฉับพลัน มันเป็เสียงที่ให้ความรู้สึกขนหัวลุกอย่างมาก จนทำให้ผู้คนกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
ขณะที่หนิงเทียนเสียสมาธิ ชิวซานอวิ๋นก็ลอยตัวขึ้นไปในอากาศ พร้อมออกหมัดซ้ายและเปิดการโจมตีอย่างรุนแรง
“น่ารังเกียจยิ่งนัก!” ซิ่งอวี่เจวียนสาปแช่งศัตรูและกำลังจะก้าวไปข้างหน้า ทว่ากลับถูกหนิงเทียนห้ามไว้
“ข้าเอง”
แม้หนิงเทียนจะตกอยู่ในความคิดฟุ้งซ่าน แต่ประสาทััของเขาก็ยังคงมุ่งไปที่ชิวซานอวิ๋น และรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายลงมือแล้ว
“ทะลวงพันชั้น!”
เขาแผดเสียงเ็าที่แฝงด้วยความโกรธไม่รู้จบ เส้นลมปราณทั้งเก้าในร่างสั่นะเื แผนที่จิติญญาทั้งหมดล้วนตื่นตัว กายาสุวรรณะนิรันดร์ผสานรวมกับยุทธศาสตร์ครอง์ พร้อมส่งกำปั้นอันพร่างพรายราวกับดวงอาทิตย์สีทองออกไปฉีกกระชากห้วงอากาศ
“ต่อให้เ้ารวมพลังทางกายภาพกับขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นห้า เ้าก็ไม่สามารถเป็คู่ต่อสู้ของข้าได้!” ชิวซานอวิ๋นเยาะเย้ย แม้เขาจะปล่อยเพียงพลังหมัดซ้าย แต่ด้วยระดับสูงสุดของขอบเขตผนึกดาราขั้นเก้าประกอบกับสายเืเงาอินทนิล หมัดนี้จึงทรงพลังในทุกทิศทาง ความแข็งแกร่งโดยรวมไม่น้อยกว่าสองแสนจิน ซึ่งสามารถระงับพลังหมัดของหนิงเทียนได้ในพริบตา ทั้งยังปัดเป่าเขาจนกระเด็นไปกระแทกกับหินก้อนใหญ่อย่างรุนแรง
การต่อสู้ของชิวซานอวิ๋นนั้นทรงพลังอย่างมาก เขาเป็ที่หนึ่งจากสิบอันดับแรกในบรรดาลูกศิษย์ของสำนักอินทนิล เขาใช้ความแข็งแกร่งระดับแปดเพื่อกระแทกหนิงเทียนออกไปด้วยหมัดเดียวที่ ทว่าหนิงเทียนกลับไม่ได้รับาเ็แม้แต่น้อย
นี่คือประสิทธิภาพของกายาสุวรรณะนิรันดร์ แต่เมื่อพิจารณาในแง่ของการต่อสู้แล้ว พละกำลังของชิวซานอวิ๋นผู้อยู่ในขอบเขตผนึกดาราขั้นเก้าย่อมเหนือกว่าหนิงเทียนมาก
“ทะยานหลงเงาตัดผกา!” หนิงเทียนเริ่มโต้กลับ ดอกไม้หมุนวนรอบปลายนิ้ว กลีบดอกนับร้อยสะพรั่งบานพร้อมกัน แสงกระบี่กว่าหนึ่งพันดวงไขว้กันไปมา ไม่ปล่อยให้ศัตรูมีทางรอด
ชิวซานอวิ๋นกล่าวอย่างเหยียดหยาม “เป็การเคลื่อนไหวที่ดี แต่ระดับทักษะของเ้ามีประโยชน์สำหรับข้าหรือไม่?”
เสาพลังสีม่วงลอยขึ้นจากพื้นดินก่อนจะกลายเป็เสาลมหมุน ทันใดนั้นแสงกระบี่ของหนิงเทียนก็ฉีกขาดออกจากกัน
“ทักษะเก้าร่างเถาวัลย์ั กระบี่เลื่อนลอยไร้แก่นสังหาร”
ท่าทีของหนิงเทียนกลายเป็ซับซ้อนอย่างยิ่ง ปลายนิ้วของเขาเปลี่ยนปราณกระบี่ให้เป็แสง ซึ่งสั่นคลอนทักษะของชิวซานอวิ๋นเพียงเล็กน้อย
หนิงเทียนกระเด็นไปด้านหลังและมีเืทะลักออกจากมุมปาก แต่คราวนี้ชิวซานอวิ๋นกลับเปล่งเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวออกมา หมัดซ้ายของเขาราวกับถูกเข็มทิ่มแทง เส้นพลังงานในร่างก็ปูดนูนขึ้นจนเกือบจะะเิออกมาจากปราณกระบี่
“ทำไม? รู้สึกเจ็บหรือ? หมัดของเ้าไม่แรงพอหรือเ้าอ่อนแอเกินไปกันแน่?” หนิงเทียนถามพลางใช้สัตตบุษย์งอกงามทุกย่างก้าวผสานกับทักษะเคลื่อนย้ายมวลสารของทหาริญญา ทั้งหมดล้อมรอบร่างของชิวซานอวิ๋นราวกับผีสาง ก่อนจะใช้ทะลวงพันชั้นร่วมกับวิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่น ซึ่งทำให้ชิวซานอวิ๋นกรีดร้องโหยหวน
ทันใดนั้นหนิงเทียนก็ััได้ถึงภยันตรายและล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากยามนี้ผลึกโบราณกำลังปรากฏขึ้นบนหัวของชิวซานอวิ๋น
ชิวซานอวิ๋นเปิดแหวนมิติพร้อมหยิบถุงมือออกมาสวม จากนั้นก็พูดข่มขวัญว่า “ตายเสียเถอะเ้าหนู!”
ถุงมือนี้เป็อาวุธิญญาประเภทหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีเพียงการเสริมพลังเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมการป้องกันที่แข็งแกร่งอีกด้วย ดังนั้น วิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่นของหนิงเทียนจึงไม่สามารถเจาะทะลุถุงมือได้
เมื่อเป็เช่นนี้จุดเด่นของวิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่นจึงถูกระงับไป และการปราบศัตรูโดยอาศัยพละกำลังเพียงอย่างเดียวก็เป็เื่ยากสำหรับหนิงเทียน
“เ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะสังหารเ้าไม่ได้หรือ?” หนิงเทียนพูดพลางหยิบพู่กันิญญาหลากสีออกมาแล้วเริ่มวาดลวดลายด้วยทักษะจิตรกรรมิญญาไร้ลักษณ์ ทันใดนั้นดอกไม้ ต้นไม้ ต้นหญ้า และเถาวัลย์ต่างก็ทยอยปรากฏขึ้นกลางอากาศ เมื่อรวมกับการโจมตีผ่านทักษะเคลื่อนย้ายมวลสารแล้ว ชิวซานอวิ๋นก็เริ่มสบถคำสาปแช่ง
ในด้านความแข็งแกร่ง หนิงเทียนนั้นด้อยกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด ท้ายที่สุดชิวซานอวิ๋นก็เป็ถึงอัจฉริยะของสำนักอินทนิล แม้หนิงเทียนจะสามารถกำราบผู้อยู่ในขอบเขตผนึกดาราขั้นเก้าได้ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้มีสายเืพิเศษเช่นชิวซานอวิ๋น อีกทั้งยังมีขอบเขตที่ห่างชั้นกันมาก ความท้าทายในครานี้จึงสูงขึ้นแบบก้าวะโ
“เงาอินทนิลแยกร่าง!” ชิวซานอวิ๋นคำรามด้วยความโกรธก่อนจะแยกร่างออกเป็แปดร่าง เขาใช้พละกำลังทั้งหมดสังหารดอกไม้ ต้นไม้ ต้นหญ้า และเถาวัลย์ จากนั้นก็พุ่งเข้าหาหนิงเทียนอย่างรวดเร็ว
ทว่าหนิงเทียนก็ไม่ได้ยอมแพ้ ซ้ำยังหัวเราะเยาะเย้ยอย่างบ้าคลั่ง
ทันใดนั้นสัญญาณเตือนถึงอันตรายก็เกิดขึ้นในใจของชิวซานอวิ๋น เขาจึงกระตุ้นพลังของผนึกโบราณเพื่อปกป้องตนเองตามสัญชาตญาณ
วินาทีต่อมาน้ำเต้าเจ็ดสีก็ปรากฏขึ้น แสงสีเงินบานสะพรั่งหมุนวนพร้อมส่งพลังบดขยี้แผ่กระจายออกไปทุกทิศทาง
ชิวซานอวิ๋นส่งเสียงคำรามอย่างดุเดือด ผนึกโบราณเข้าต่อต้านน้ำเต้า การปะทะของทั้งสองฝ่ายทำให้เกิดความปั่นป่วนในห้วงอากาศ ทั้งยังเกิดคลื่นกระแทกอย่างรุนแรงจนทั้งคู่กระเด็นออกจากกัน
ทางด้านซูอวิ๋นและหลิวจินอวิ๋นที่เฝ้าดูการต่อสู้ พวกเขาพบว่าพลังโดยรวมของหนิงเทียนไม่อาจเทียบชิวซานอวิ๋นได้ แต่ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขานั้นช่างน่าหวาดหวั่นราวกับเขามีร่างกายเป็ะและยากที่จะทำลาย ซึ่งก็เป็ข้อสันนิษฐานที่แม่นยำอย่างยิ่ง
การอยู่ยงคงกระพันเป็การอาศัยพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหนิงเทียน ทั้งยังเป็อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดสำหรับศัตรูเช่นกัน
ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ผู้คนตื่นตระหนก ราวกับมีคนเคาะโลงศพและส่งสัญญาณบางอย่างออกมา
สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความชั่วร้าย แสงสว่างอันโกลาหลและหมอกทึบค่อยๆ ปกคลุมรอบหุบเขาบดบังทัศนวิสัยของผู้คนจนมองไม่เห็นว่าก้นบ่อใหญ่เพียงใด
หนิงเทียนชะงักไปครู่หนึ่งแล้วมองชิวซานอวิ๋นอย่างเ็า ก่อนจะเปลี่ยนมาสนใจโลงศพไม้สีดำแทน
เขาพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ทว่าด้วยความแข็งแกร่งในยามนี้เขายังไม่สามารถปราบชิวซานอวิ๋นได้ นอกจากนี้อีกฝ่ายยังมีผลึกโบราณคอยปกป้องร่างกาย จึงไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่จะสังหารเขา
แม้ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นห้าจะสามารถจัดการผู้บำเพ็ญจื๋อซิวขอบเขตผนึกดาราขั้นเก้าได้ ทว่าเมื่อพบกับอัจฉริยะหยวนซิวแล้วสถานการณ์กลับไม่สู้ดีนัก
ชิวซานอวิ๋นเก็บผลึกโบราณลงไปแล้วแสดงสีหน้าน่าเกลียดอย่างยิ่ง การอยู่ต่อหน้าศิษย์สำนักต่างๆ แต่กลับสังหารหนิงเทียนไม่สำเร็จเช่นนี้ นับเป็เื่น่าอายอย่างมาก
โชคดีที่ซูอวิ๋นรีบเข้ามากระซิบบางอย่างที่ข้างหูเสียก่อน เขาจึงรู้สึกโล่งใจมากขึ้น
“โลงศพนั้นน่ากลัวยิ่งนัก เราสามารถใช้มันในการยืมมีดฆ่าคนได้”
เมื่อนึกถึงคำพูดของนาง ดวงตาของชิวซานอวิ๋นก็เปล่งประกายด้วยแสงประหลาด และคลายกังวลเื่หนิงเทียนเป็การชั่วคราว
โลงศพไม้สีดำนั้นน่าพิศวงและชวนขนลุก แต่ตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณบนฝาโลงก็ยังคงนิ่งสนิท ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความเรียบง่ายแสนลึกลับ
ยามนี้กล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตของหนิงเทียนเริ่มเคลื่อนไหวเล็กน้อย นอกจากมันจะสนใจตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณแล้ว ยังดูเหมือนมันจะััถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยได้อีกด้วย
หนิงเทียนมุ่งความสนใจไปที่ตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณ และยังคงสอดส่องมองหาเถาวัลย์หัวผีพันิญญาเช่นเดิม
มันซ่อนอยู่ที่ใดกันแน่?
ยามนี้มีคนอยู่ในหุบเขาไม่ถึงสี่สิบคน ทั้งยังมีสตรีอยู่น้อยมาก นอกจากซิ่งอวี่เจวียนและซูอวิ๋นแล้วก็มีศิษย์ซิงซิวอีกสองนางเท่านั้น โดยหนึ่งในนั้นก็คือนางที่สวมผ้าคลุมหน้าและชุดสีม่วง ซึ่งสายตาของนางมักหยุดมองหนิงเทียนเป็ครั้งคราว
ตึง! ตึง! ตึง!
ไม่นานก็มีเสียงประหลาดส่งออกมาจากโลงศพไม้สีดำอีกครั้ง ราวกับภายในกักขังปีศาจเอาไว้
“ดูนั่น! ดวงตาเปลี่ยนไปอีกแล้ว”
ลูกตาภายในเปลวเพลิงของตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง สีของรูม่านตาต่างไปจากเดิมและแปรเปลี่ยนเป็สีม่วง ตลอดจนเปลวเพลิงสีฟ้าก็ค่อยๆ กลายเป็สีม่วงเช่นกัน
“เหตุใดจึงเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นมาได้?”
ศิษย์จื๋อซิวทั้งหลายงุนงงราวกับคนธรรมดาที่ตื่นเต้นกับเหตุการณ์และไม่เข้าใจความลึกลับใดๆ ส่วนบรรดาศิษย์ซิงซิวผู้มีพลังจิตที่แข็งแกร่งและเชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบทุกประเภทก็กำลังบันทึกการเปลี่ยนแปลงของตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณและพยายามค้นหากฎเกณฑ์
ทันใดนั้นดวงตาของหนิงเทียนก็เป็ประกาย กล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตในร่างสั่นไหวก่อนจะปล่อยพลังลึกลับออกมา และชี้นำไปที่ดวงตาในเปลวเพลิงของตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณจนเขาสับสนเล็กน้อย
ตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณนี้ก็ดูไม่ธรรมดา ทว่าเหตุใดกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตกลับสนใจดวงตาที่แปลกประหลาดและน่าสยดสยองในเปลวเพลิงเล่า?
นี่คงไม่ใช่การวางเกวียนหน้าม้า[1]หรอกนะ?
โลงศพไม้สีดำสั่นะเือย่างแ่เบา เสียงครูดและเสียงเคาะยังคงดังออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ผู้คนโดยรอบรู้สึกกระสับกระส่าย
ซิ่งอวี่เจวียนจ้องมองมันอยู่นานแต่ก็ไม่เห็นสิ่งใด นางจึงเบือนหน้าไปทางอื่น ทันใดนั้นนางก็หลุดอุทานออกมา “พวกเ้าดูนั่น!”
พลันรอบหุบเขามีหมอกหนาทึบเข้าปกคลุมมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังมีดวงตาประหลาดปรากฏในสายหมอกราวกับปีศาจที่จับจ้องเหยื่อและพร้อมที่จะพุ่งเข้ามาทุกเมื่อ
สายหมอกผสานกับแสงแห่งเปลวเพลิง วัตถุแปลกปลอมคล้ายมนุษย์บิดตัวและลอยไปมาราวกับิญญาชั่วร้าย พร้อมส่งเสียงหัวเราะผะแ่อย่างน่าสยดสยอง
ฉากนี้ช่างเหลือเชื่อราวกับอยู่ในห้วงความฝัน ซึ่งเป็การโจมตีทางจิตใจที่สร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัยให้ผู้พบเห็น
หนิงเทียนเหลือบมองอย่างเ็า เขาไม่แปลกใจเลยและสามารถคาดเดาได้ว่าปรากฏการณ์แปลกประหลาดทั้งหมดคือนิมิตของที่แห่งนี้
สิ่งที่หนิงเทียนไม่เข้าใจจริงๆ ก็คือ ยามนี้เถาวัลย์หัวผีพันิญญาซ่อนตัวอยู่ที่ใด? และมันเข้ามาในบ่อน้ำโดยไม่ได้รับอันตรายจากหมอกแห่งความโกลาหลได้อย่างไร?
---------------------------------------
[1] วางเกวียนหน้าม้า (本末倒置) หมายถึง การไม่จัดลำดับความสำคัญ การวางลำดับความสำคัญสลับกัน หรือการกระทำที่กลับหัวกลับหาง
