ค่าตอบแทนในการทำอาหารประเภทหมักของสกุลหูให้สิบสองเหวินต่อหนึ่งวัน ไม่รวมอาหารกลางวัน
หากเร่งทำงานจะได้ราวๆ สี่เดือน ค่าตอบแทนของทุกเดือนอยู่ที่ประมาณสามร้อยหกสิบเหวิน แต่ต้องดูจำนวนวันในการทำงานอย่างละเอียดอีกที
เมื่อทำงานเสร็จสี่เดือน ฟู่เหรินที่มาช่วยงานทุกคน ส่วนใหญ่ล้วนถือเงินค่าตอบแทนได้ถึงหนึ่งเหลียงสี่ร้อยกว่าเหวินแล้ว เงินนี้สำหรับสตรีชาวเกตรกรที่รู้จักทักษะการทำงานเพียงอย่างเดียว นับว่าเป็รายได้ที่จำนวนเงินไม่น้อยเลย
รวมเข้ากับสกุลหูมีสวัสดิการที่ดี ทุกเดือนเมื่อถึงคราวคิดบัญชีค่าตอบแทน ล้วนเพิ่มสิ่งของให้อีกไม่น้อย เช่น กระดูกหมู หนังหมู ไขมันหมู...
ก่อนวันฉลองปีใหม่ยังมอบของขวัญส่งท้ายปีที่มีมูลค่าไม่น้อยให้อีกหนึ่งชุดด้วย
หากเปรียบเป็เงิน อย่างน้อยก็ต้องมีค่าถึงสี่ร้อยหรือห้าร้อยเหวินเลยทีเดียว
เจินจูไม่คุ้นเคยกับภรรยาบุตรคนที่สองของครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านสักเท่าไร เพียงบังเอิญเคยพบอยู่สองสามครั้ง ราวกับเป็ฟู่เหรินที่มีอุปนิสัยเก็บตัว การติดต่อกับผู้อื่นดูห่างเหินอยู่เล็กน้อย
ช่างไม่เหมือนคนในครอบครัวของหัวหน้าหมู่บ้านอย่างมากเลยจริงๆ
เจินจูยิ้ม กล่าวกับเลี่ยวซื่อที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่กล่าวหรือทำเสียงอะไรออกมา “อาสะใภ้รองสกุลจ้าว ครอบครัวข้ายังขาดกำลังคนอยู่อีกหนึ่งคน แต่สถานที่ทำงานในการทำอาหารหมักมีกลิ่นแรงอย่างมากนะเ้าคะ ทำงานจนมือมันเลื่อม วันๆ เพียงหั่นเนื้อกับกรอกไส้ เกรงว่าท่านจะทำได้ไม่ค่อยคุ้นชินนัก”
“ไอ๊หยา ไม่มีทาง เจินจู อาสะใภ้รองของเ้านี่นะ อยู่บ้านก็มีฝีมือการทำงานดี อาหารสามมื้อของที่บ้านล้วนเป็นางจัดการอย่างเป็ระเบียบอยู่คนเดียว งานในครัวรับรองได้เลยว่าทำได้ปราดเปรียวนัก” หวงซื่อรีบแย่งตอบเพราะลูกสะใภ้คนรองของนางผู้นี้ไม่ชอบพูดจา พบคนก็ล้วนไม่คุ้นชินกับการทักทาย
เจินจูไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง จะว่าไปแล้วครอบครัวสกุลหูกับครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านมีความเป็ไปได้ที่จะกลายมาเป็ญาติที่เกี่ยวดองจากการที่ลูกหลานแต่งงานกันมาก หากจ้าวไป่ิสอบได้ดีมีความก้าวหน้า ชีวิตความเป็อยู่ในวันข้างหน้าของชุ่ยจูก็จะผ่านไปได้ด้วยดีเช่นกัน
หากสามารถช่วยได้ ย่อมต้องช่วยอยู่แล้ว
“เอาล่ะเ้าค่ะ อาสะใภ้รอง พรุ่งนี้ตอนเช้าท่านทานข้าวเช้าเสร็จก็มารายงายตัวที่ลานบ้านด้านข้างนะเ้าคะ พรุ่งนี้ท่านย่าของถู่วั่งจะมาพร้อมท่านเช่นกัน นางก็เป็คนงานรับจ้างที่เชิญมาใหม่ของปีนี้ด้วย พอพวกท่านไปหาท่านย่าของข้าพร้อมกัน นางจะจัดงานให้พวกท่านเองเ้าค่ะ” ในเมื่อตัดสินใจว่าจะช่วย เช่นนั้นต้องบอกเื่ราวให้ชัดเจน “แต่พวกเราต้องคุยกันก่อน ปีที่แล้วเื่ของพวกอาสะใภ้หลิวเอ้อร์พวกท่านคงทราบแล้ว การเข้ามาในสถานที่ทำงานของสกุลหู ต้องทำตามกฎระเบียบของบ้านสกุลหู ถ้ารู้สึกไม่สบายใจสามารถขอลาออกได้ อย่าทำเื่ที่ทำลายหน้าตาของทุกคนเด็ดขาดนะเ้าคะ”
บนใบหน้าหวงซื่อกับเลี่ยวซื่อปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาให้เห็นทันที เลี่ยวซื่อจึงพูดจาขึ้น พร้อมกล่าวรับรอง “เจินจู เ้าวางใจ อาสะใภ้รองไม่ใช่คนเช่นนั้น ไม่มีทางทำเื่ไร้ศักดิ์ศรีเหมือนพวกนางสองคนแน่นอน จะทำงานเหมือนกันกับผู้อื่น ปฏิบัติตามกฎระเบียบด้วยเช่นกัน”
“ใช่แล้ว อาสะใภ้รองของเ้าเป็คนมีกฎระเบียบที่สุด หากนางมีอะไรไม่เข้าใจ หรือทำเื่อะไรผิด พวกเ้าต่อว่าได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องกังวล” หวงซื่อพยักหน้าออกมาด้วยความเบิกบานใจ
ในเมื่อเื่ราวตกลงกันดีแล้ว หวงซื่อก็ลุกขึ้นแล้วบอกลาอย่างรู้สถานการณ์ดี
กระทั่งสองคนออกจากบ้านสกุลหู รอยยิ้มบนใบหน้าของหวงซื่อก็หุบลงทันที
“ท่านแม่ เป็อะไรหรือเ้าคะ?” เลี่ยวซื่อเห็นแม่สามีสีหน้าไม่เบิกบาน อดกังวลอยู่ในใจไม่ได้
“เมื่อครู่เด็กสาวสกุลหูกล่าวว่า พรุ่งนี้เช้าย่าของถู่วั่งจะไปรายงานตัวพร้อมเ้า” หวงซื่อกลัดกลุ้มใจนัก ย่าของถู่วั่งอายุมากกว่านางหนึ่งปี สกุลหูก็ยังรับไว้ด้วย “หากรู้เร็วกว่านี้ ข้าไปทำงานที่บ้านสกุลหูด้วยจะดีตั้งเท่าไร สองคนสามารถหาเงินทองได้ตั้งสองส่วนเลยนะ”
เลี่ยวซื่อได้ฟังดังนั้นอดผ่อนคลายจิตใจลงไม่ได้ “ท่านแม่ ท่านไปคงไม่ค่อยเหมาะ ท่านก็เป็ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้าน แล้วยังเป็ย่าของซิ่วฉาย นับเป็คนที่มีฐานะทางสังคมจะไปเป็คนรับจ้างบ้านสกุลหูได้อย่างไรเ้าคะ ส่วนข้าไม่เหมือนกัน ข้าเป็เพียงอาสะใภ้ของไป่ิ รับจ้างทำงานไม่ได้ทำให้เขาเสียหน้า แต่ท่านไม่ได้นะเ้าคะ”
หวงซื่อแสดงใบหน้าลำพองใจออกมา นั่นน่ะสิขณะนี้หลานชายตนเป็ซิ่วฉาย ขอแค่สอบเข้าเป็จวี่เหรินได้ เช่นนั้นก็สามารถเข้ารับราชการเป็ขุนนางและยังเป็เกียรติแก่ครอบครัวอีกด้วย
ไม่ผิด นางเป็ย่าแท้ๆ ของไป่ิ ไม่สามารถทำให้เขาเสียหน้าได้เพียงเพราะเงินเล็กน้อยนั่น
เลี่ยวซื่อเห็นสีหน้าแม่สามีอิ่มอกอิ่มใจ ก็รู้ว่านางล้มเลิกความคิดจะไปรับจ้างหาเงินแล้ว
เลี่ยวซื่อผ่อนลมหายใจหนึ่งที เหม่ยเยว่เพิ่งอายุสองปีจำเป็ต้องมีคนดูแล หากแม่สามีไม่ช่วยดูลูก เช่นนั้นจะดีต่อนางได้อย่างไร อีกอย่างนางออกมาทำงานนอกบ้าน ส่วนงานของที่บ้านก็มีไม่น้อย หากแม่สามีไม่ทำและตนเองต้องออกมาทำงานทั้งวันเช่นนี้ กลับไปแล้วยังต้องทำงานในบ้านต่ออีก นางกลัวว่าตนเองจะเหนื่อยจนทนไม่ไหวเอาได้
แม่สามีอยู่บ้านเลี้ยงลูกให้ ตนเองถึงจะทำงานอยู่ข้างนอกด้วยความสบายใจหมดห่วง
กำลังคนที่รับมาใหม่สองคนได้กำหนดลงแล้ว เจินจูไม่จำเป็ต้องเป็ทุกข์เื่การทำอาหารหมักอีก
สองปีนี้ในสถานที่ทำอาหารหมักล้วนเป็หวังซื่ออยู่ควบคุม นางเพียงต้องโม่เครื่องเทศให้ละเอียดและแบ่งใส่ห่อให้ดี งานอื่นๆ หวังซื่อล้วนไม่ต้องให้ผ่านมือนาง
สถานที่ทำอาหารหมักอยู่ในลานบ้านเดิมที่สกุลหูสร้างขึ้น
ครอบครัวหลิงเสี่ยนสามคนอาศัยอยู่บริเวณลานด้านหน้า ส่วนด้านหลังแยกออกไปเล็กน้อยใช้เป็สถานที่ทำอาหารหมัก ทุกคนต่างก็เข้าออกทางประตูด้านหลัง จึงไม่รบกวนครอบครัวผู้าุโแน่นอน
ห้องเรียนเล็กของผู้าุโหลิงก็เป็หนึ่งในห้องที่อยู่ข้างห้องโถงส่วนหน้าบ้านด้วย หลังอาหารเย็นนักเรียนสูงวัยของสกุลหูรวมกับจ้าวหงซานและหลิ่วฉางผิงห้าคน จะไปนั่งรวมกันอยู่ในห้องข้างห้องโถงที่มีแสงเทียนสว่างไสวอย่างตระหนักได้ และเริ่มทบทวนบทเรียนและการบ้านของผู้าุโหลิงด้วยความงุนงง
ตอนแรกการสั่งสอนนักเรียนที่อายุเกินกว่าจะเรียนเหล่านี้ สำหรับหลิงเสี่ยนในใจค่อนข้างขัดแย้งอยู่มาก ชายอายุไม่น้อยห้าคนการเคลื่อนไหวเงอะงะ ท่าทางการถือพู่กันล้วนต้องปรับแก้ให้ถูกหลักอยู่นาน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงตัวอักษรที่เขียนเลยว่าจะไม่น่ามองแค่ไหน
แต่ด้วยหลักการที่ยึดถือว่ารับเงินค่าตอบแทนคนมาแล้วก็ต้องทำงานให้เขา หลิงเสี่ยนจึงสอนคนที่ไม่เคยได้รับการศึกษาไม่กี่คนนี้ด้วยความจริงจัง
มุ่งมั่นมาสามปี นึกไม่ถึงเลยว่าจะเห็นผลที่ได้ค่อนข้างมาก
แม้แต่ชายชราสกุลหูที่อายุใกล้เคียงกัน ยังล้วนสามารถเขียนบทประพันธ์ค่อนข้างยาวหนึ่งบทได้อย่างไหลลื่น
พอมองย้อนกลับมาที่บุตรชายของเขาสองคน เทียบกับคนสูงอายุไม่ได้เลย ลายมือยังไม่น่ามองอยู่เช่นเคย
ส่วนอีกสองคนคุ้นเคยกันดีที่มาช่วยสกุลหูทำงานตลอดทั้งปี เล่าเรียนได้ดีมากยิ่งกว่าสามคนของสกุลหูเสียอีก
โดยเฉพาะหลิ่วฉางผิงผู้นั้น เล่าเรียนเขียนตัวอักษรนับได้ว่าโดดเด่นกว่าในบรรดาห้าคน แน่นอนว่าก็เป็คนสูงในกลุ่มคนเตี้ย [1] เมื่อเทียบกับอีกสี่คนแล้วดีกว่านิดหน่อยเท่านั้นเอง
ด้านข้างก็มีหลิงซีและพานเสวี่ยหลันมาเรียนด้วยเช่นกัน
แม้พวกเขาอาจไม่มีวันได้รับการอภัยโทษ แต่หลิงเสี่ยนหวังว่าเด็กทั้งสองคนจะสามารถได้รับการสั่งสอนที่ดีได้ ซึ่งจะไม่ส่งผลเสียต่ออนาคตของพวกเขาอย่างแน่นอน
ปีนี้หลิงซีและพานเสวี่ยหลันต่างก็อายุสิบห้าปี หลิงเสี่ยนได้คิดไว้นานแล้วว่าฐานะของพวกเขาค่อนข้างพิเศษเช่นนี้ สำหรับเื่การแต่งงานของแต่ละคนเป็ไปได้ลำบากยิ่ง เขาเห็นว่าเด็กสองคนใช้ชีวิตมาด้วยกันและยังเติบโตมาด้วยกัน ครอบครัวประสบกับความขมขื่นเหมือนกันทั้งสิ้น จึงรอให้ทั้งสองคนอายุครบสิบหกปีและตัดสินใจให้แต่งงานกัน
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เขาถามเด็กทั้งสองคนมาแล้ว
พานเสวี่ยหลันไม่มีความคิดเห็นอย่างไร หลิงเสี่ยนพานางออกมาจากสภาพแวดล้อมเลวร้ายเช่นนั้นได้ นางรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณอย่างยิ่งแล้ว หากว่า ตอนแรกเขาปล่อยนางไว้ในสถานที่เนรเทศ นางอาจลงนรกไปตามหาบิดามารดานานแล้วก็ได้
หลิงซีก็ไม่มีความคิดเห็นอย่างไรเช่นกัน เขารักและเคารพเชื่อฟังท่านปู่มาโดยตลอด
อีกอย่างเติบโตมาพร้อมกันกับพานเสวี่ยหลัน สองคนต่างก็มีความผูกพันทางจิตใจอยู่ไม่น้อย
ด้วยเหตุนี้การแต่งงานของพวกเขาจึงกำหนดลงอย่างน้ำมาคลองก็เกิด [2]
ตอนนี้แค่รอ... ปีหน้าเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้วก็เลือกวันมงคลแต่งงานได้พอดี
...ปลายปีเป็่ที่บ้านสกุลหูยุ่งอยู่กับงานมากที่สุด
แค่งานในสถานที่ทำอาหารหมัก หูฉางหลินกับหูฉางกุ้ยสองพี่น้องก็ยุ่งกันไม่ได้หยุดแล้ว ดังนั้นฟืนข้ามฤดูหนาวจึงเหมือนกับปีที่ผ่านๆ มา คือรับซื้อกับเหล่าชาวบ้าน
งานนี้เจินจูมอบหมายให้อาชิงกับผิงอันไปรับซื้อตอนเที่ยงและตอนเย็นของทุกวัน
พอคำพูดของสกุลหูแพร่ออกไป บรรดาชาวบ้านในหมู่บ้านก็เริ่มเข้าป่าไปตัดต้นไม้กันอย่างคึกคัก
ฟืนที่ตากแห้งดีแล้ว หนึ่งหาบให้สิบเหวิน เป็ราคาเดียวกับที่ชาวบ้านหาบไปขายที่ตลาดนัดในเมือง
หมู่บ้านละแวกใกล้เคียงจะมากน้อยอย่างไรก็ล้วนติดกับเทือกเขา นอกจากครอบครัวร่ำรวยมั่งคั่งจำนวนหนึ่งก็มีน้อยคนนักที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อฝืนไปใช้
ชาวบ้านต้องหาบไปบนถนนที่ยาวไกล ฟืนหนึ่งหาบก็ไม่เบาเลย การหาเงินจากการขายฟืนก็ไม่ง่ายอีก
แต่บ้านสกุลหูอยู่ทางเข้าหมู่บ้าน ราคารับซื้อฟืนก็เหมือนกับที่เอาไปขายถึงในเมือง ชาวบ้านไม่ใช่คนโง่ จึงรู้ว่านี่เป็สกุลหูให้สิทธิพิเศษแก่คนในหมู่บ้านตนเอง
ด้วยเหตุนี้พวกเขาทั้งหมดจึงเริ่มขึ้นูเาไปโค่นป่าไม้ หลังผึ่งแดดให้แห้งก็หาบมาขายแลกเงินยังสถานที่กำหนดไว้
มีชาวบ้านที่สมองว่องไว เริ่มตัดต้นไม้กักตุนฟืนไว้ั้แ่เข้าฤดูใบไม้ร่วง
รอให้ข่าวรับซื้อฟืนแพร่ออกมาจึงรีบหาบไปขายทันที พอฟืนเปลี่ยนมือไปก็สามารถทำเงินได้เป็กลุ่มแรก
ครอบครัวสกุลหูรับซื้อฟืนเป็จำนวนมากทุกปี ไม่เพียงนำไปใช้ในบ้านตัวเอง แต่ยังมีบ้านเก่าสกุลหู บ้านซิ่วฉายหยาง บ้านอาจารย์ฟาง บ้านของหลิงเสี่ยน และในสถานที่ทำอาหารหมักด้วย
อาชิงกับผิงอันทำงานนี้เป็ครั้งที่สองแล้ว
สำหรับระดับความแห้งและปริมาณของฟืน ในใจของพวกเขาล้วนมีความเข้าใจอย่างชัดเจน หากพวกชาวบ้านที่แอบคิดไม่ดีเล่นกลลวง ้าหลอกขายของที่ดูเหมือนคุณภาพดี หรือเอาฟืนชื้นที่ตากไม่แห้งมาสมทบให้เต็มจำนวน พวกเขาสามารถดูออกได้ทั้งหมด
ในฐานะที่อาชิงก็เป็อาจารย์สอนการต่อสู้ เป็แบบอย่างในการเรียนรู้ที่ดีมานาน ย่อมมีความน่าเกรงขามในการสั่งสอนนักเรียน
เขาใบหน้าเล็กแต่นิ่งขรึม ดวงตาเ็า มือหนึ่งหิ้วฟืนอันหนักหน่วง เท้าหนึ่งข้างถีบออกไปไกล ทำเอาชาวบ้านที่เล่นเ้าเล่ห์ใกันจนใบหน้าซีดขาว เดิมคิดว่าเด็กสองคนไม่รู้ความ เลยอยากใช้ฟืนชื้นตบตาให้ผ่านไป กลับลืมฐานะของอาชิงที่เป็อาจารย์การต่อสู้ที่มีทักษะฝีมือไม่ธรรมดา ไม่สามารถล่วงเกินได้ง่ายๆ
ภายหลังมาจึงไม่มีคนกล้าหลอกขายของที่ดูเหมือนคุณภาพดีอีก และตัดต้นไม้มาตากแห้งแต่โดยดี ฟืนที่สกุลหูรับซื้อมีจำนวนมาก ไม่มีผู้ใดสามารถนำมาเติมเต็มห้องฟืนของสกุลหูรวดเดียวได้
ฝนฤดูใบไม้ร่วงตกลงมาสองวัน ในที่สุดท้องฟ้ายามเช้าตรู่ในวันที่สามก็ปรากฏเค้าลางของดวงอาทิตย์ออกมาให้เห็น
หูฉางหลินกับหูฉางกุ้ยเริ่มต้นวันที่วุ่นวายแต่เช้าตรู่ ตอนนี้สกุลหูเลี้ยงล่ออยู่สองตัว พวกเขาต่างคนต่างก็พาผู้ช่วยหนึ่งคนแยกย้ายกันไปตามแต่ละหมู่บ้านเพื่อเลือกซื้อหมู
บนเกวียนมีกรงไม้ที่ทำขึ้นเป็พิเศษ นำมาใช้ขังหมูโดยเฉพาะ
เจินจูจับแผ่นกระดานเกวียน นั่งอยู่ข้างขอบเกวียน
ใน่เช้าตรู่หูฉางกุ้ยไปส่งเจินจูเข้าเมืองเป็พิเศษ และถือโอกาสซื้อไส้เล็กและเกลือในเมืองกลับไปด้วย
“ท่านพ่อ อีกเดี๋ยวท่านกับท่านอาเจิ้งไปตลาดซื้อของกันเลยนะเ้าคะ ข้าจะไปฝูอันถังขายเขากวางเหล่านี้ แล้วค่อยไปหาพวกท่าน” เจินจูตบตะกร้าไม้ไผ่ข้างกายเบาๆ ด้านในใส่เขากวางป่าอยู่แปดคู่ ล้วนเป็ผลงานของเสี่ยวจินในระยะนี้
“เจินจู เ้ารอพ่ออยู่ฝูอันถังนี่แหละ อย่าวิ่งไปทั่ว พวกข้าซื้อของเสร็จจะไปหาเ้าเอง” หูฉางกุ้ยรีบห้ามนาง
เจินจูจนปัญญา บิดาสกุลหูต้องคิดถึงเื่เมื่อสองเดือนก่อนขึ้นมาอย่างแน่นอน
นางเป็เหมือนยามปกติ ที่มักติตตามบิดาสกุลหูเข้าเมือง และสองคนต่างก็แยกย้ายกันไปซื้อของ เดิมทีก็ราบรื่นอย่างมาก ผลสุดท้ายเื่อยู่ตรงที่นางกำลังจะเตรียมตัวไปหาหูฉางกุ้ย...
มีชายหนุ่มแต่งกายชุดผ้าไหมอย่างคุณชายมาขวางนางไว้
อายุวัยดั่งลูกกระวานสิบสี่ปี ร่างสูงโปร่งสะโอดสะองงามพริ้งดั่งดอกไม้งาม เมื่อเดินอยู่ในเมืองเล็กๆ ต่างมีสายตาตกตะลึงในความงามมองมาที่นาง แต่เจินจูไม่ได้ให้ความสนใจเลย
ทว่าการถูกคนขวางไว้นี่นับเป็ครั้งแรก
ชายผู้นั้นท่าทางอายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี ผิวขาวบริสุทธิ์ใบหน้างดงาม สายตาเต็มไปด้วยความตะลึงกับสิ่งตรงหน้า
บนถนนใหญ่มักมีคนเดินผ่านไปมา เจินจูมองเขาด้วยสีหน้าตามปกติ
“คุณชายท่านนี้ ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเ้าคะ?”
เชิงอรรถ
[1] คนสูงในกลุ่มคนเตี้ย หมายถึง โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม แต่ไม่ได้ล้ำเลิศอะไรมากมาย
[2] น้ำมาคลองก็เกิด หมายถึง เมื่อเงื่อนไขต่างๆ ในเื่ใดเื่หนึ่งเหมาะสม เื่นั้นก็จะบรรลุผลไปได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้