เมืองฝูเฉิง ตระกูลหลิ่ว
“ท่านพ่อ ข้าอยากออกไปฝึกวิชาด้วยกันกับน้องสี่!” หลิ่วซานมองบิดาของตนพลางเอ่ยเสียงเบา
“ซานเอ๋อร์ น้องเจ็ดกับน้องหกของเ้าล้วนออกไปฝึกวิชาแล้ว และน้องหกของเ้าออกเดินทางไปไม่ถึงสามวันิญญาพลันแตกสลาย ตอนนี้ท่านอารองยังพาคนออกไปค้นหาศพอยู่มิใช่หรือ? ในบ้านวุ่นวายไปหมดเช่นนี้ เ้ากับซือเอ๋อร์อย่าเพึ่งไปฝึกวิชาเลย!” หลิ่วเจียงส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย
“แต่ข้ารู้สึกว่าหากข้าไม่ไป ข้าอาจพลาดจากโชควาสนาบางอย่าง! อ๊ะ...” ขณะพูด วูบหนึ่งหลิ่วซานรู้สึกปวดใจ คล้ายของที่เดิมควรเป็ของตนถูกใครแย่งชิงไปดื้อๆ
“ซานเอ๋อร์ เ้าเป็อะไร?” หลิ่วเจียงก้าวเข้ามาดูลูกสาวตนอย่างร้อนรน
“ไม่ ไม่มีอะไรเ้าค่ะ แค่ปวดใจขึ้นมาวูบหนึ่ง!” หลิ่วซานใบหน้าซีดเผือดพลางส่ายศีรษะแล้วเอ่ย
แปลก เมื่อครู่นั่นเป็ความรู้สึกอะไร ทำไมข้าถึงรู้สึกว่ามีคนแย่งชิงของๆ ข้าไปเล่า?
“หลายวันมานี้เ้าตามออกไปค้นหาศพน้องหกของเ้าอยู่ตลอด คิดว่าคงเหนื่อยไม่ไหวแล้ว กลับห้องไปพักผ่อนสักหน่อยเถิด เื่จะออกไปฝึกวิชาน่ะ รอผ่านไปสักหลายวันก่อนค่อยว่ากัน!”
“เ้าค่ะ ท่านพ่อ!” หลิ่วซานจับหน้าอกตน หมุนตัวเดินออกไป
……...
หลิ่วซือที่กำลังติดตามบ่าวรับใช้กับผู้คุ้มกันของตระกูลหลิ่วค้นหาศพน้องเล็กอยู่บนเขาสัตว์อสูรนอกเมือง ฉับพลันก็รู้สึกเจ็บหน้าอกวูบหนึ่ง สีหน้าซีดขาวไปชั่วครู่
“พี่สี่ ท่านเป็อะไร?” หลิ่วอู่มองเห็นหลิ่วซือที่อยู่ข้างกายพลันสีหน้าซีดขาว รีบร้อนเข้ามาประคอง
“ไม่เป็ไร แค่ปวดใจนิดหน่อยเท่านั้น” หลิ่วซือโบกมือพลางตอบกลับ
แปลก เมื่อครู่นั่นเป็ความรู้สึกอะไร แปลกนัก คล้ายกับมีคนแย่งของที่เป็ของตนไป
แม้หลิ่วซือไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงรู้สึกเช่นนี้ แต่นางััได้เลือนรางว่าไม่ใช่เื่ดีแน่นอน
……...
สามเดือนให้หลัง
หลิ่วเทียนฉีขี่อสูรอาชาไปเมืองฝูเฉิงอย่างสบายๆ าแที่ขารักษาสามเดือนก็หายสนิท เขาออกจากเมืองฝูเฉิงมานานครึ่งปี บิดาแทบจะส่งข้อความมาทุกสามวัน เป็ห่วงความปลอดภัยยิ่งนัก ส่วนเขาก็ส่งความคิดถึงที่มีต่อบิดาผ่านข้อความเช่นกัน พร้อมกล่าวไปว่าจะกลับบ้านให้เร็วที่สุด
หลิ่วเทียนฉีหยิบแผนที่มาพินิจดู
“ที่นี่น่าจะเป็หมู่บ้านเถาหยวน ผ่านหมู่บ้านนี้ไป เดินทางอีกสามร้อยลี้ก็กลับถึงเมืองฝูเฉิงแล้ว” เขาบอกกับตนเองแล้วเก็บแผนที่ ตบอสูรอาชาเบาๆ
“เ้าขาวเอ๋ย เ้าลำบากหน่อยนะ อีกเดี๋ยวออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ บินสักหนึ่งชั่วยาม คิดว่าไม่เกินฟ้ามืดพวกเราก็กลับถึงบ้านแล้ว!” หลิ่วเทียนฉีลูบแผงคอของอสูรอาชา ทำหน้าประจบเอาใจหารือกับอีกฝ่าย
อสูรอาชาร้องฮี่ทีหนึ่งคล้ายตอบรับนายของตน
“ฮ่าๆๆ ไม่เลวนี่ ฉลาดเอาเื่” หลิ่วเทียนฉีตบหัวม้าเบาๆ ยิ้มพลางเอ่ยชมอสูรพันธสัญญา
เขาขี่อสูรอาชาเดินไปข้างหน้าต่อ ทันใดนั้น เงาร่างคุ้นตาร่างหนึ่งในป่านอกทางเข้าหมู่บ้านก็ดึงดูดสายตาไว้
หลิ่วเทียนฉีมองใบหน้าน้อยที่เครื่องหน้างามเหมาะเจาะ ลำคอระหงงดงามนั่นก็ยกมุมปากยิ้ม คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเด็กหนุ่มรูปงามผู้สวมเสื้อป่านเนื้อหยาบเมื่อสามปีก่อนคนนั้นที่นี่ พรหมลิขิตจริงๆ หนอ!
“เ้าขาว หยุดสักเดี๋ยว!” หลิ่วเทียนฉีะโลงจากอสูรอาชา ก้าวเท้ามาถึงข้างกายเด็กหนุ่มที่อยู่ใต้ต้นไม้
เวลานี้เด็กหนุ่มรูปงามที่สวมเสื้อป่านเนื้อหยาบกำลังสะลึมสะลือ นั่งเอนพิงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ ใบหน้างามแดงก่ำ บนเสื้อผ้าที่มีรอยปะชุนเต็มไปด้วยเื
หลิ่วเทียนฉีก้มตัวลง นั่งยองๆ ตรงหน้าอีกฝ่าย ดันหัวไหล่เขาเบาๆ “ตื่นสิตื่น ตื่นๆ...”
หลิ่วเทียนฉีเรียกติดกันหลายหน แต่เด็กหนุ่มไม่มีทีท่าว่าจะตื่นสักนิด
“เฮ้ เ้าตัวเล็ก เ้าาเ็หรือ? เ้าแข็งแกร่งมากมิใช่หรือไง? ทำไมยังได้รับาเ็อีกเล่า?” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางแตะเืบนเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มเล็กน้อย พอลองดมก็พบว่ากลิ่นคาวฉุนนั่นไม่ใช่เืคนแต่เป็ของสัตว์อสูร
“เฮ้ เ้าตัวเล็ก บ้านเ้าอยู่ที่ไหนน่ะ? ให้ข้าส่งเ้ากลับบ้านไหม?” หลิ่วเทียนฉีเขย่าหัวไหล่อีกฝ่ายพลางเอ่ยถาม
แต่ไม่ว่าเขาจะเขย่าหรือผลักอย่างไรก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา
“เอาเถอะ เห็นแก่ที่เ้างดงามเช่นนี้ ข้าจะช่วยสักครั้งก็แล้วกัน!” พูดถึงตรงนี้ หลิ่วเทียนฉีก็อุ้มเด็กหนุ่มขึ้นมาจากพื้น เก็บอสูรอาชาแล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านเถาหยวน