“บรรยากาศแบบนี้น่ากลัวไปหน่อย ฉันขอเข้าใกล้นายอีกนิดได้ไหม?”
“ยังใกล้กว่านี้ได้อีกเหรอ…”
“ถ้ากอดโยตะ ก็คงเข้าใกล้ได้มากกว่านี้นะ”
“จริงๆ เลย… นี่ไม่ใช่หนังที่เธอเลือกเองเหรอ?”
เพราะฉันมองหน้าจอทีวีอยู่จึงไม่เห็นสีหน้าของโยตะ แต่ก็รับรู้ได้ว่ามีคำบ่นเล็กน้อยปนอยู่ในน้ำเสียงของเขา
โยตะไม่ได้พูดตอบกลับมาชัดเจน ทว่าเริ่มขยับตัวเพื่อให้ฉันสามารถจับมือเขาได้ง่ายขึ้น
ภาพเก่าๆ ที่มีเสียงอึกทึกในจอทีวีและบรรยากาศเย็นเยียบชวนขนลุกค่อยๆ หายไปในเวลานี้
แม้ว่าตาของฉันจะยังคงมองไปข้างหน้า แต่ก็ยังแยกความสนใจไปบนหน้าอกอุ่นของโยตะที่ขยับขึ้นลง
“โยตะเคยดูหนังเื่นี้ไหม”
“ไม่ ฉันไม่ชอบดูหนังสยองขวัญ”
“ใช่เหรอ? ฉันไม่กล้าดูหนังสยองขวัญคนเดียว… แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังชอบดูมากอยู่ดี”
เมื่อก่อนตอนที่ยังเป็นักเรียนฉันมักจะหาเพื่อนดูด้วยกัน แต่พอเริ่มอยู่คนเดียวก็ไม่มีโอกาสได้ดูอีกเลย
อีกด้านหนึ่งก็คือ หากดูหนังคนเดียวตอนนี้คงอดไม่ได้ที่จะศึกษาทักษะและเทคนิคการแสดงเ่าั้ เผื่อวันไหนตัวเองมีโอกาสได้ยืนบนเวทีนั้นบ้าง
เราสองคนแนบชิดกันให้บรรยากาศของการเดตขึ้นมาเล็กน้อย ดูเหมือนจะทำให้ฉันปล่อยวางอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับงานทั้งหมดและจดจ่อกับการดูหนังเพียงอย่างเดียว
ทุกครั้งที่มีฉากน่าขนลุก ฉันก็ยิ่งขดตัวมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
โดยเฉพาะฉากสยองขวัญที่โผล่มากะทันหันยิ่งทำให้ฉันตื่นตระหนกจนต้องคว้าเสื้อผ้าของโยตะไว้เพื่อหาสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ
แต่ปฏิกิริยาของโยตะดูไม่สะทกสะท้านผิดปกติ ไม่ว่าฉากน่ากลัวแค่ไหนเขาก็ไม่มีท่าทีาอะไรมากนัก
จนกระทั่งหนังฉายมาถึง่ไคลแม็กซ์แรกของครึ่งหลัง แม้ฉากจะเปลี่ยนเป็ภาพที่สว่างขึ้น แต่การแสดงที่สมบูรณ์แบบพร้อมกับเอฟเฟกต์เสียงก่อนหน้านี้ก็ยังทำให้ฉันลืมไม่ลง
ฉันที่กลัวจนไม่รู้ว่าจะทำยังไงก็เผลอส่งเสียงร้องออกมาและละสายตาจากฉากตรงหน้าเป็ครั้งแรก
ฉันเงยหน้าขึ้นมองโยตะ สายตาของเขายังคงมองตรงไปข้างหน้าโดยไม่หวั่นไหว
ส่วนฉันในเวลานี้แทบจะเบียดตัวเข้าไปข้างโยตะ หดเท้าขึ้นมาบนโซฟาโดยไม่ไดสนใจสภาพตัวเองเลยสักนิด
“โยตะ… ทำไมน่ากลัวขนาดนี้นะ”
“ถ้าเธอกลัวขนาดนั้นก็ไม่ต้องดูเถอะ”
“ไม่เอาหรอก ดูมาจนถึงตรงนี้แล้ว ฉันอยากดูให้จบ”
โยตะไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่ในใจเขาคงกำลังตำหนิว่าฉันหาเื่ใส่ตัวอยู่แน่ๆ
ความรู้สึกเย็นะเืบนตัวยังคงทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดฉันก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขอร้องอย่างไร้ยางอายอีกครั้ง
“ฉันขอนั่งข้างหน้านายได้ไหม?”
“อะไรอีก?”
“ก็มันน่ากลัวจริงๆ นี่นา… ถ้ามีคนอยู่ข้างหลังคงทำให้ฉันสบายใจขึ้นเยอะเลย”
ไม่รอให้โยตะตอบตกลง ฉันก็ปีนเข้าไปในอ้อมแขนอุ่นของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตก่อน
ฉันไม่แม้แต่จะเอ่ยขออนุญาตจากเขาอีกก็จับขากางเกงทั้งสองข้างของตัวเองไว้แน่น
หลังจากที่มีโยตะอยู่ข้างหลังไม่ว่าฉากตรงหน้าจะน่ากลัวแค่ไหนฉันก็ยังรู้สึกสบายใจเล็กน้อย
แม้หลังจากนั้นจะยังคงมีฉากน่ากลัวอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดถึงโยตะที่อยู่ข้างหลังฉันก็ไม่ได้รู้สึกกลัวขนาดนั้นแล้ว
แน่นอนว่าฉากที่น่ากลัวที่สุดก็ยังทำให้ฉันต้องหาที่หลบโดยไม่รู้ตัวอยู่ดี
ฉันจับมือโยตะโดยไม่คิดอะไรมากนักแถมยังอยากให้เขาโอบเอวฉันไว้ด้วย
เดิมทีฉันคิดว่าโยตะจะปฏิเสธ แต่เขากลับยอมให้ฉันทำตามใจ ส่วนฉันก็ไม่เกรงใจอะไรเขาอีก ระยะห่างของเราจึงแนบชิดเข้ามามากขึ้น
ต้องขอบคุณโยตะที่ยอมตามใจฉัน ถึงได้ดูหนังจนจบเื่โดยไม่วิ่งหนีไปไหนและยังสนุกไปกับตอนจบของหนังอีกด้วย
“สมกับเป็หนังเก่าที่คลาสสิกจริงๆ…”
“อืม ทำออกมาดี”
“ฉันใกลัวแทบตาย โยตะไม่กลัวเลยเหรอ?”
“ไม่ถึงกับว่าไม่กลัวเลย”
ฉันปล่อยมือโยตะออกเพื่อไม่ให้เขาต้องกอดฉันไว้อีก ในขณะที่ชื่นชมความกล้าของโยตะฉันก็พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คเวลา
เมื่อรู้ว่าไม่ได้กินเวลาอ่านหนังสือปกติของโยตะก็รู้สึกปลาบปลื้มอยู่ในใจ
“ยังดีที่ใช้เวลาไม่นาน คงไม่ทำให้นายเสียเวลาใช่ไหม?”
“ถ้าเธอกังวลเื่แบบนี้ก็อย่าชวนฉันดูหนังกับเธอั้แ่แรกสิ”
“แฮ่… ฉันก็หุนหันพลันแล่นไปหน่อย”
ฉันหันไปมองสีหน้าที่ดูไม่มีความสุขของโยตะ เพราะฉันบังคับเขาให้ดูหนังด้วยกันก็เลยรู้สึกติดค้างเขาอยู่สักหน่อย
สำหรับเขาที่ยอมความเอาแต่ใจของฉัน ฉันคิดว่าจำเป็ที่จะต้องแสดงความขอบคุณบ้าง
“โยตะมีของที่ชอบกินไหม”
“ถามเื่นี้ทำไม?”
“นายตอบมาก็พอแล้ว”
ในตอนแรกโยตะไม่เต็มใจที่จะตอบ แต่หลังจากฉันบังคับให้ตอบพร้อมกับจิ้มเบาๆ ที่อกแกร่ง ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวและยอมตอบออกมา
“ข้าวแกงกะหรี่… หยุดจิ้มได้แล้ว”
“ง่ายกว่าที่ฉันคิดไว้อีก ถ้ามีโอกาสฉันจะทำให้นายกินเป็การตอบแทนนะ”
“ได้”
“ไอ๊หยา…”
ยากมากที่เขาจะพูดตรงๆ แบบนี้จนฉันเกือบจะหลุดออกมา แต่ยังดีที่กลั้นเอาไว้ได้ กลัวว่าหากพูดออกไปแล้วโยตะจะงอนอีก
ทว่าโยตะเต็มใจยอมรับของตอบแทนแบบนี้ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้วล่ะ
ฉันเคยคิดว่าถ้าเขาไม่อยากได้สิ่งนี้ก็จะให้ของหวานอร่อยๆ แทน แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่จำเป็ต้องใช้ไม้ตายนั้น
“ถ้าอย่างนั้นไม่รบกวนนายอ่านหนังสือแล้ว ฉันกลับไปอาบน้ำก่อนนะ”
“อืม”
ฉันหยิบกระเป๋าแล้วลุกขึ้น เดิมทีฉันยังอยากทำเื่อย่างว่าต่อแต่ดันบอกไปว่าจะกลับก่อน ทว่าท่าทีลังเลของโยตะนั้นดูเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่พูดไม่ออก รวมถึงการแสดงออกของเขาก็ซับซ้อน เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ฉันไม่อาจเข้าใจ
“โยตะ?”
“ไม่มีอะไร เธอรีบกลับเถอะ”
“อืม อืม ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนนะ?”
ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงใช้ประโยคบอกเล่าแฝงคำถามไปแบบนั้น ฉันมักรู้สึกว่าโยตะเหมือนอยากให้ฉันอยู่ต่อ
แต่ก็ไม่รู้ว่าข้อสรุปของตัวเองถูกต้องหรือไม่ นอกเสียจากว่าโยตะจะพูดออกมา ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่กล้าพูดอะไรที่ไม่มั่นใจออกไปเช่นกัน
“ฝันดี”
“อืม ฝันดีเช่นกันนะโยตะ”
และนี่ก็คือบทสนทนาสุดท้ายก่อนที่ฉันจะออกจากบ้านของโยตะ แม้จะรู้สึกอยู่ตลอดว่าท่าทีของโยตะต่างไปจากเดิม แต่ฉันก็ตัดสินใจกลับบ้านก่อน
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นท่าทางครุ่นคิดของโยตะ หากเขา้าอะไร ฉันคิดว่าท้ายที่สุดเขาก็ต้องบอกฉันตรงๆ อยู่แล้ว
เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันก็ถอดเสื้อคลุมที่เพิ่งใส่ไปเมื่อครู่ออก หลังจากดูตารางงานของอีกสองสามวันข้างหน้าฉันก็ไปอาบน้ำ
ระหว่างขัดผิวฉันมักจะคิดถึงตอนที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับโยตะ แม้ว่าหลังจากพวกเราทำกันเสร็จแล้วจะทำความสะอาดยากสักหน่อย แถมยังรู้สึกเหนียวแปลกๆ ตลอดทั้งวันก็ตาม
ทว่าตอนนี้ฉันกำลังใฝ่หาจุดสูงสุดของความสุข ในหัวว่างเปล่าไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น คิดแค่เพียงอยากให้โยตะสอดใส่เข้ามาให้ลึกที่สุด
อีกทั้งสีหน้าและท่าทีของโยตะในตอนนั้นมักทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะััเขาให้ลึกซึ้งมากกว่าที่เคย
