วันรุ่งขึ้น
หลังลังเลอยู่สักพักเธอก็โทรหาซูอี้เฉิง แต่ที่น่าแปลกใจก็คือเขารับสายเธอ ถ้าเป็เมื่อก่อนหากเธอโทรไปเช้าขนาดนี้เขาคงตัดสายด้วยความรำคาญ
“นายพอจะมีเวลาหรือเปล่า”เธอเงียบไปก่อนเอ่ยปากถาม “มารับฉันไปบริษัทหน่อยสิ”
ซูอี้เฉิงกำลังเดินไปเอารถอยู่พอดี
วันนี้เขานัดกับลู่เป๋าเหยียนกับเพื่อนอีกไม่กี่คนไว้แล้วว่าจะไปเล่นบาสด้วยกันนึกไม่ถึงว่าลั่วเสี่ยวซีจะโทรมา
ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไรจู่ๆ เขาก็รู้สึกหงุดหงิดที่ลั่วเสี่ยวซีพยายามอย่างเอาเป็เอาตายขนาดนี้น้ำเสียงที่ตอบเธอของเขาจึงเต็มไปด้วยความประชดประชัน
“แผลที่เท้าของเธอหายแล้วหรือไง”
“วันนี้ฉันไปฟังอบรมอย่างเดียวเท้าเจ็บก็ไม่เป็ไร” ลั่วเสี่ยวซีี้เีต่อล้อต่อเถียงกับเขา “นายจะมาไหม? ถ้าไม่มาฉันจะได้เรียกพี่ผู้จัดการมารับ”
ซูอี้เฉิงเปิดประตูรถก่อนจะเข้าไปนั่ง
“รอฉันสิบนาที”
“อื้อฝากซื้อข้าวเช้ามาด้วยนะ” ลั่วเสี่ยวซีได้ทีเอาใหญ่“ก๋วยเตี๋ยวหลอดเ้าใต้อพาร์ทเมนต์นะ ฉันเอาไส้หมูแดงอบน้ำผึ้งกับไข่ต้มชาฟองหนึ่ง”
ซูอี้เฉิงกัดฟันตอบ“ลั่วเสี่ยวซี อย่าทำตัวได้คืบจะเอาศอกแบบนี้”
“แค่นี้ก็เรียกว่าได้คืบจะเอาศอกแล้วเหรอ”ลั่วเสี่ยวซีขำ “งั้นนายก็ทำตัวได้คืบจะเอาศอกกับฉันบ้างสิ!”
ซูอี้เฉิงวางสายอย่างหงุดหงิดก่อนจะโทรหาเสิ่นเยว่ชวนบอกว่าเขาติดธุระไปไม่ได้แล้ว
“เมื่อวานยังบอกว่าว่างอยู่เลยนี่?” เสิ่นเยว่ชวนเดาถูกเผง“ไม่ใช่ว่าโดนลั่วเสี่ยวซีตามติดแจหรอกนะ? ไม่สิ ใครๆ ก็รู้ว่าเธอตามนายได้ที่ไหนไม่งั้นนายคงตกเป็ของเธอไปนานแล้ว”
ใช่ ถ้าจะให้พูดตามจริงคราวนี้ไม่ใช่ลั่วเสี่ยวซีตามตื๊อเขา แต่เป็เขาเองที่ตบปากรับคำเธอ
ซูอี้เฉิงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเขาวางสายก่อนจะขับรถออกไป
ไม่นานก็มาถึงใต้อพาร์ทเมนต์ของลั่วเสี่ยวซีที่ด้านหน้ามีร้านขายก๋วยเตี๋ยวหลอดเ้าหนึ่ง
ปกติลั่วเสี่ยวซีกับเจี่ยนอันเป็พวกชอบสรรหาของอร่อยเพราะฉะนั้นเ้านี้คงจะรสชาติไม่เลว แล้วก็เป็ไปตามคาด ในร้านแทบจะไม่มีที่นั่งแถมยังมีคนต่อแถวกันยาวเหยียด
ซูอี้เฉิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเขาไม่ได้ต่อคิวซื้อของกินมานานมากแล้ว
แต่เมื่อตนรับปากลั่วเสี่ยวซีเอาไว้แล้วจึงต้องจำใจเดินเข้าไปต่อที่หางแถว ก่อนจะตกเป็เป้าสายตาของหญิงสาวทุกคนที่นั่นแม้แต่คนที่นั่งกินในร้านยังอดมองออกมาไม่ได้ เขาจึงได้แต่มองตรงไปยังหัวแถวอย่างอดกลั้น
“คุณรีบหรือเปล่าคะ”หญิงสาวผู้กล้ารายหนึ่งเอ่ยทัก “ถ้ารีบล่ะก็มาต่อคิวข้างหน้าฉันก็ได้นะคะ”
เขายิ้มอย่างเกรงใจ“ผมไม่รีบครับ ขอบคุณ”
“ไม่เป็ไรค่ะ!”หญิงสาวจ้องเขาอย่างเปิดเผย เธอใช้สองมือเท้าคางก่อนทำท่าแอ๊บแบ๊วราวกับเด็กสาวตัวน้อยซูอี้เฉิงจึงโค้งศีรษะตามมารยาทพลางยิ้มน้อยๆ จากนั้นจึงเบนสายตาออกมา จู่ๆ เขาก็คิดถึงลั่วเสี่ยวซี
หลังเจอกันเป็ครั้งที่สองลั่วเสี่ยวซีก็บอกเขาว่าเธอชอบเขาถ้าจะปฏิเสธเธอก็ไม่เป็ไร เดี๋ยวเธอจะตามจีบเขาเอง
เขานึกว่าเธอแค่ล้อเล่นแต่เธอกลับรุกหน้าเข้าหาเขาไม่หยุดโดยใช้เหตุผลที่ว่า
“ก็นายหล่อสุดๆ ไปเลยนี่ ฉันชอบมองหน้านาย”
หลังจากนั้นทุกครั้งที่เจอหน้าลั่วเสี่ยวซีก็มักจะมองจ้องเขาไม่วางตาสายตาของเธอหยุดอยู่ที่เขาราวกับโดยกาวติดเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น ดวงตาคู่งามที่ปนรอยยิ้มจางทำให้คนที่ไม่เคยเกรงกลัวสายตาของใคร กลับไม่กล้าสบตาเธอ
ความชอบที่บริสุทธิ์และร้อนแรงของเธอฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่นั้นตอนนั้นซูหงเยวี่ยนกำลังโจมตีเขาอย่างหนักทุกหนทางเขาจึงเผชิญหน้ากับแรงกดดันมหาศาล ทำให้ต้องเตือนตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าอย่าปล่อยให้เื่ความรักมาเป็ตัวถ่วงดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเมินสายตาและความรู้สึกของลั่วเสี่ยวซี
ตอนนี้พอลองคิดดูแล้วแรงกดดันมากแค่ไหนเขาก็ไม่เคยหนีมีเพียงสายตาของลั่วเสี่ยวซีเท่านั้นที่เขาไม่พร้อมต้อนรับมันจนกว่าธุรกิจของเขาจะลงตัว
เขาไม่อยากคิดถึงเหตุผลว่าเพราะเหตุใดเขาจึงทำแบบนั้น
“คุณ้าสั่งอะไรคะ”
เสียงของพนักงานเรียกซูอี้เฉิงให้กลับมาจากอดีตเมื่อสิบปีที่แล้วเขาสั่งก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้หมูแดงกับไข่ต้มชาอย่างละสองที่และเสี่ยวหลงเปาอีกหนึ่งชุด
“ทั้งหมดสี่สิบห้าหยวนขอบคุณค่ะ”
เมื่อเปิดกระเป๋าสตางค์ซูอี้เฉิงก็พบว่าตนไม่ได้พกเงินสดมาจึงถามทางร้านไปว่ารับบัตรเครดิตหรือไม่ แต่พนักงานกลับยิ้มพลางส่ายหน้า
“ขอโทษด้วยค่ะที่นี่ไม่รับบัตรค่ะ”
ขณะที่เขากำลังลังเลว่าจะเรียกผู้ช่วยให้มาช่วยจ่ายเงินดีหรือไม่ทันใดนั้นก็มีคนเรียกชื่อเขา
“ผอ.ซูครับ”
เสียงของรองผู้จัดการที่บริษัทดังขึ้นเขากำลังเดินเข้ามาในร้านด้วยสีหน้าช็อกๆ ซูอี้เฉิงจึงเอ่ยปากถาม
“มีแบงก์ย่อยบ้างหรือเปล่าครับ”
รองผู้จัดการรับรู้เื่ราวทุกอย่างั้แ่เมื่อครู่เขาจึงหยิบแบงก์ห้าสิบหยวนส่งให้กับพนักงานแคชเชียร์ ก่อนจะถามซูอี้เฉิงอย่างอึ้งๆ
“ผอ.ซู อาหารเช้านี่...ซื้อให้คุณหนูลั่วเหรอครับ?”
สายตาของซูอี้เฉิงสื่อชัดว่าข้องใจรองผู้จัดการจึงอธิบาย
“ผมพักอยู่ที่ชั้นล่างของห้องคุณหนูลั่วน่ะครับเลยมักเจอเธอบ่อยๆบางครั้งก็มากินข้าวด้วยกัน”
ซูอี้เฉิงขมวดคิ้วลั่วเสี่ยวซีกินข้าวกับใครก็ได้อย่างนั้นเหรอ? ไม่คิดจะเลือกเลยหรือไง?
ไม่ช้าพนักงานก็ยื่นอาหารที่สั่งมาให้ซูอี้เฉิงเอ่ยขอบคุณรองผู้จัดการก่อนจะออกจากร้านไป
ลั่วเสี่ยวซีพักอยู่ที่ห้อง 1603 เมื่อเขาออกจากลิฟต์มาก็เห็นประตูห้องกำลังเปิดอยู่ใจเขากระตุกก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในห้อง
“ลั่วเสี่ยวซี!”
“ฉันอาบน้ำอยู่”เสียงของลั่วเสี่ยวซีดังออกมาจากห้องน้ำ “เสร็จแล้วๆ”
ประตูห้องน้ำเปิดออกลั่วเสี่ยวซีก็เดินหน้าสดออกมาด้วยรอยยิ้มร่าทว่าแววตาของซูอี้เฉิงกลับดูไม่สบอารมณ์เท่าไร
เธอถามอย่างไม่เข้าใจ“นายเป็อะไร?”
“เวลาอาบน้ำต้องเปิดประตูทิ้งไว้หรือไง”ซูอี้เฉิงเริ่มทำการอบรม “ลั่วเสี่ยวซีเธอรู้จักระวังตัวบ้างได้หรือเปล่า”
“ก็ฉันกลัวว่านายจะมาตอนฉันอาบน้ำพอดีนี่นายไม่ชอบรอใครไม่ใช่หรือไงฉันก็กลัวว่านายจะวางอาหารเช้าทิ้งไว้แล้วหนีกลับน่ะสิ” ลั่วเสี่ยวซีปล่อยมือออกจากผมก่อนจะเดินตรงมา
“ว่าแต่นายร้อนใจอะไรเป็ห่วงฉันงั้นเหรอ?”
เธอแย้มยิ้มอย่างซุกซนทว่าซูอี้เฉิงยังคงหงุดหงิด เขายัดถุงอาหารใส่มือเธอ
“ฉันเป็ห่วงสติปัญญาเธอมากกว่า”
“เื่นั้นนายไม่ต้องห่วงหรอก”ลั่วเสี่ยวซีหิ้วอาหารเช้าเข้าไปในห้องอาหาร ก่อนจะพูดไปพลางแกะห่ออาหาร
“ฉันรู้จักคนเกือบหมดทั้งตึกไม่เกิดเื่อะไรหรอกน่าอีกอย่างที่พ่อซื้อห้องนี้ให้ฉันก็เพราะวางใจเื่ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่”
พูดจบลั่วเสี่ยวซีก็พบว่าซูอี้เฉิงซื้อเสี่ยวหลงเปามาให้เธอด้วยแถมของที่เธอสั่งไปยังงอกมาเพิ่มอีกหนึ่งชุด
เธอถามอย่างแปลกใจ“นายยังไม่ได้กินข้าวเช้าเหมือนกันเหรอ”
ซูอี้เฉิงเดินเข้ามาก่อนตอบ“เพราะใครล่ะ”
“นายเป็คนรับปากเองนะฉันไม่ได้บังคับนายสักหน่อย” ลั่วเสี่ยวซียื่นตะเกียบให้เขา “นายจะมาโทษฉันได้ยังไง”
ไม่ให้โทษเธอ?
ถ้าไม่ใช่เพราะเธอป่านนี้เขาคงนั่งเพลิดเพลินกับอาหารเช้าอยู่บนสนามหญ้าเขียวขจีอย่างสบายใจไปแล้ว
แต่ที่ลั่วเสี่ยวซีพูดก็ถูกเขาเป็คนรับปากเธอเอง
ซูอี้เฉิงทำใจไว้แล้วว่าวันนี้ของเขาคงไม่ได้ผ่านไปอย่างสงบสุขแน่ๆ
ลั่วเสี่ยวซีอ่านสีหน้าซูอี้เฉิงออกทันทีว่าเขากำลังหงุดหงิดจึงเลือกที่จะก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าจะดีกว่า
ตานี่ปกติก็ดูเป็สุภาพบุรุษที่สุขุมนุ่มลึกอยู่หรอกแต่พอโมโหขึ้นมาเธอเองก็เอาไม่อยู่เหมือนกันนี่เป็สาเหตุหนึ่งที่พนักงานในบริษัทต่างก็เกรงกลัวเขา
หลังกินอาหารเสร็จก็เป็เวลาแปดโมงสิบห้านาทีพอดีลั่วเสี่ยวซีจึงเดินไปสวมรองเท้ากีฬา
“ไปกันเถอะ”
วันนี้เธอสวมชุดกีฬาทั้งตัวเตรียมพร้อมไว้แล้ว
ถ้าเป็เมื่อก่อนเธอมักยึดคติที่ว่า “ต้องสวยทุกวินาที” ด้วยเหตุนี้ทุกเช้าเธอจึงแต่งหน้าแต่งตัวอย่างประณีตอยู่เสมอเธอมักจะสวมชุดเดรสตัวสวยไปที่บริษัทก่อนจะเปลี่ยนเป็ชุดออกกำลังกายแต่ตอนนี้มาลองคิดดูแล้วที่เกิดเื่เมื่อวานขึ้นก็เพราะเธอแต่งตัวแบบนั้นไม่ใช่เหรอ?
เพราะฉะนั้นต่อจากนี้เธอคงต้องเพลาๆลงหน่อย ซูอี้เฉิงคงไม่บังเอิญไปเจอเธอแบบนั้นได้ทุกวันหรือต่อให้เขาเจอเธอก็ไม่แน่ว่าเขาจะเข้ามาช่วยเธอทุกครั้ง
หลังรถเคลื่อนตัวไปได้ไม่นานลั่วเสี่ยวซีก็พบว่าซูอี้เฉิงไม่ได้ขับรถตรงไปยัง Lu Media เธอจึงเอ่ยปากถามเขาอย่างสงสัย
“นายจะพาฉันไปไหน”น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ซูอี้เฉิงตอบเสียงเย็น“โรงพยาบาล”
ลั่วเสี่ยวซีนิ่งไป“ฉันนึกว่านายจะใช้โอกาสนี้พาฉันไปที่ไหนสักที่ ทำอะไรกับฉันสักหน่อยซะอีก”
“...” ซูอี้เฉิงเลือกที่จะเมินคำพูดของเธอไป
ที่พาเธอไปโรงพยาบาลก็เพราะต้องล้างแผลและเปลี่ยนยาซึ่งไม่ใช่กระบวนการที่เจ็บตัวมากนักคราวนี้ซูอี้เฉิงจึงไม่ได้เข้ามาในห้องตรวจเป็เพื่อนลั่วเสี่ยวซีหมอหญิงยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ย
“คุณหนูลั่วคุณชายซูเขาดูแคร์คุณมากนะคะ”
ลั่วเสี่ยวซียิ้มอย่างไม่ตอบรับหรือปฏิเสธก่อนบ่นใจ
ซูอี้เฉิงไม่ว่าจะปฏิเสธเธอหรือทำอะไรก็ตั้งใจไปหมดแต่เธอล่ะหวังจริงๆ ว่าเขาจะปฏิบัติกับเธอเกินเลยมากกว่านี้สักนิด
“เมื่อวานเขาตั้งใจยั่วโมโหเพื่อเบนความสนใจคุณแน่ๆเลยค่ะ” หมอหญิงกล่าว “ก่อนหน้าที่ดิฉันจะนำเศษกระจกออกมาคุณดูกลัวมากตอนนี้ลองคิดดูดีๆ สิคะว่าเมื่อวานตอนฉันดึงพวกมันออกมา คุณรู้สึกตัวบ้างไหม”
เธอไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดจริงด้วยตอนนั้นเธอโมโหซูอี้เฉิงแทบบ้า ใจคิดแต่จะยอกย้อนเขา พอรู้ตัวอีกทีหมอก็จัดการทำแผลให้เธอเรียบร้อยแล้ว
แต่มันอาจจะแค่บังเอิญล่ะมั้ง? ซูอี้เฉิงคงคิดอยากจะเยาะเย้ยเธอจริงๆมากกว่า ที่เธอถูกเบนความสนใจไปอาจจะแค่เื่บังเอิญ
เธอไม่อยากเชื่อว่าซูอี้เฉิงจะเป็ห่วงเธอเพราะสิ่งที่เขาทำเป็ประจำคือดูถูกสติปัญญาไม่ก็ความสามารถทุกๆ ด้านของเธอ
หลังล้างแผลใส่ยาใหม่แล้วเรียบร้อยลั่วเสี่ยวซีก็เดินโขยกเขยกออกไปซูอี้เฉิงยืนรอหน้านิ่งอยู่ด้านนอกเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่สักอย่าง
เธอไม่เคยเห็นเขาในมุมนี้และเดาไม่ออกว่าเขาคิดอะไรกันแน่จึงเดินเข้าไปสะกิด
“คิดอะไรอยู่ไปกันได้แล้ว”
ซูอี้เฉิงหยุดคิดก่อนจะพาลั่วเสี่ยวซีไปส่งที่ Lu Media
“ขอบใจนะ”
ลั่วเสี่ยวซีแกะเข็มขัดนิรภัยออกก่อนจะลงจากรถแต่จู่ๆ ซูอี้เฉิงก็เรียกเธอไว้ด้วยน้ำเสียงร้อนใจ
“เสี่ยวซี”
“หือ?” ลั่วเสี่ยวซีหันหน้ากลับไป“อะไร?”
ซูอี้เฉิงคิดอะไรอยู่มิอาจทราบได้แต่แล้วมือที่กุมพวงมาลัยของเขาก็เริ่มคลายลง ก่อนน้ำเสียงจะกลับมาเป็ปกติ
“ไม่มีอะไรเธอเข้าไปเถอะ”
“งั้นฉันไปนะ”
ลั่วเสี่ยวซีปิดประตูรถก่อนจะค่อยๆเดินเข้าบริษัท ไม่ช้าพวกเพื่อนร่วมงานก็สังเกตเห็นความผิดปกติจึงเข้ามาถามไถ่อาการของเธอ เธอบอกไปแค่ว่าเมื่อคืนไม่ระวังเลยเผลอไปเหยียบเศษกระจกเข้าเพื่อนร่วมงานทั้งหลายจึงช่วยกันพยุงเธอให้เข้าไปข้างในเธอได้รับความเป็ห่วงจากทุกคนตลอดทาง
ลั่วเสี่ยวซีเป็คนร่าเริงแจ่มใสใครๆ ต่างก็ชื่นชอบ
คนที่อยู่ด้านนอกอย่างซูอี้เฉิงลดหน้าต่างลงมองตามหลังเธออย่างลืมตัวจนกระทั่งเธอเดินลับสายตาไปแล้ว เขาจึงหยิบบุหรี่ออกมาจุดอย่างคล่องแคล่วเมื่อบุหรี่แตะริมฝีปากเขาก็นึกไปถึงคำพูดของูเี่อัน
“ทุกๆ ปีบุหรี่พรากชีวิตคนไปมากมายพี่คะ เพื่อที่พี่จะสามารถอยู่กับน้องไปได้ตลอดชีวิต พี่เลิกบุหรี่ได้หรือเปล่า? หนูเคยเจอคนที่สูบบุหรี่จนต้องตายด้วยโรคมะเร็งมาแล้วพวกเขาจากไปโดยไม่มีโอกาสได้อยู่เคียงข้างคนที่พวกเขารักถึงเวลาไม่ใช่แค่พี่เท่านั้น คนข้างกายพี่เองก็ต้องเ็ปไปด้วย”
ตอนนั้นทั้งชีวิตของเขาไม่มีใครอีกแล้วนอกจาูเี่อัน
ทว่าตอนนี้...
สุดท้ายซูอี้เฉิงจึงดับบุหรี่ในมือก่อนจะขับรถออกไป
