ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าอินเหิงคือ นางเซี่ย ปกติแล้วนางกลัวหนังงูเหล่านี้เช่นกัน แต่ยามนี้นางกลับไม่กะพริบตา เอาแต่จ้องอินเหิงอย่างแน่วแน่
ทันใดนั้นนางเซี่ยก็เอ่ยถาม “คำพูดที่ท่านกล่าวกับพวกนางเมื่อครู่จริงใจกระมัง?”
อินเหิงค่อยๆ เก็บหนังงูพลางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ฮูหยินหมายถึงประโยคใดหรือขอรับ?”
นางเซี่ยไม่ซักอีก แค่เดินผ่านเขาไปวางตะกร้าไว้ข้างประตูครัว
อินเหิงลูบหนังงูในมือด้วยนิ้วยาวเรียว เลิกคิ้วกล่าวว่า “น่าจะยัดอันใดเข้าไปข้างใน จะได้ดูสมจริงหน่อย ขอถามว่าฮูหยินมีเข็มกับด้ายหรือไม่ขอรับ?”
นางเซี่ยกล่าว “มีก็มี แต่ข้าไม่มีทางช่วยเ้าเย็บของน่าขยะแขยงแบบนี้แน่”
อินเหิงกางหนังงูออกตรงหน้านางเซี่ย กล่าวอย่างจริงใจ “มองบ่อยๆ ประเดี๋ยวสองตาก็คุ้นชิน”
นางเซี่ยถือว่าเข้าใจแล้ว บรรดาเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนในหมู่บ้านคงหมายตาอินเหิง และอาศัยจังหวะที่เมิ่งอู่ไม่อยู่ในเรือน แอบมาพูดจายุแยงเขาเป็พิเศษ
นางเซี่ยมองอินเหิงพลางตริตรองอย่างไม่สบอารมณ์ บุรุษผู้นี้นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นก็ยังไม่วายดึงดูดผึ้งดึงดูดผีเสื้อ
เพื่อเลี่ยงไม่ให้เื่เยี่ยงนี้เกิดขึ้นอีก ดูคล้ายว่าต้องทำอะไรสักอย่างที่น่ากลัวออกมาแล้ว
เป็อย่างที่อินเหิงกล่าวจริงๆ คราแรกเห็นหนังงูก็รู้สึกว่าน่าสะพรึง แต่พอมองด้วยสองตาบ่อยครั้งเข้า ก็เริ่มคุ้นชินเล็กน้อย
นางเซี่ยจึงหยิบเข็มกับด้าย รวมถึงเศษผ้าที่เหลือจากการตัดเย็บเสื้อผ้าคราวก่อนออกมานั่งเย็บหนังงูกับอินเหิงอยู่ใต้ชายคา โดยยัดเศษผ้าเข้าไปในหนังงู แล้วเย็บปิด
แสงลอดใต้ชายคาอาบย้อมชายเสื้อของเขาให้สว่างขึ้น
ข้อต่อกระดูกนิ้วมือของเขาชัดเจน งดงามยิ่ง เล็บถูกตัดแต่งอย่างประณีต ปลายนิ้วอบอุ่น
นางเซี่ยมองเข็มเย็บผ้าในมือเขา ลังเลที่จะเอ่ยวาจาอยู่หลายครั้ง
ตามความคิดของนางเซี่ย บุรุษไม่แตะต้องสิ่งของเหล่านี้ แต่อินเหิงไม่เพียงแตะต้อง เขายังเรียนรู้วิธีเย็บหนังงูอย่างตั้งใจ และทำอย่างใจเย็น
ทันใดนั้นอินเหิงก็เอ่ยวาจา “หากวันหนึ่งคำพูดเ่าั้กลายเป็คำพูดที่จริงใจ ฮูหยินจะเชื่อหรือไม่?”
นางเซี่ยตะลึงลาน นางรู้ว่าเขาหมายถึงถ้อยคำที่เขากล่าวไว้ก่อนหน้านี้ แท้จริงแล้วนางเซี่ยไม่ใส่ใจว่านั่นเป็ถ้อยคำจริงใจหรือไม่ แต่กลับใส่ใจว่าเขาจะทำเช่นไรในอนาคต
เขาจะให้อันใดเมิ่งอู่ได้บ้าง? เขาจะดีต่อเมิ่งอู่ตลอดไปหรือไม่?
สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องจากไป กลับไปสู่เส้นทางของตนเอง ยามนั้นอาอู่ของนางสมควรจะทำเช่นไร?
นางเซี่ยไม่อยากจะคิด ในอนาคตหลังเขาจากไป นางไม่้าให้เมิ่งอู่ต้องอยู่เพียงลำพัง และรอคอยการกลับมาของอีกคนหนึ่งอย่างไร้จุดหมายเนิ่นนาน
นางเซี่ยเบื้อใบ้อยู่ครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า “นางเป็เพียงเด็กสาวชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น”
“ขอรับ” อินเหิงหลุบคิ้วตาลง ตั้งใจเย็บหนังงูพลางกล่าวเบาๆ “หากข้ามีใจให้นาง ย่อมไม่สนว่านางเป็ผู้ใด”
···
ครั้งสุดท้ายที่เมิ่งอู่เข้าเมืองก็ผ่านไประยะหนึ่งแล้ว ครานี้เมิ่งอู่เข้าเมืองอีกครั้ง นางจึงคุ้นเคยกับเส้นทางดี
ในเมืองย่อมจะขาดเื่ซุบซิบนินทาของเหล่าคุณชายคุณหนูชนชั้นสูงไปไม่ได้
คราวนี้ก็ยังคงเป็เื่ราวเกี่ยวกับซวี่เฉินฟางบุตรชายคนรองตระกูลซวี่
เมิ่งอู่จำได้ว่า ครั้งก่อนซวี่เฉินฟางล่วงเกินเหล่าหญิงรับใช้ในเรือน ทำให้ตระกูลซวี่ขับไล่หญิงรับใช้ที่คอยปรนนิบัติเขาออกทั้งหมด และรับหมัวมัวสูงวัยจำนวนมากเข้ามาแทน
คราวนี้เมื่อเมิ่งอู่แอบฟังก็รู้ว่า ให้ตายเถิด ช่างประเสริฐนัก ซวี่เฉินฟางนั่นถูกขับออกจากเรือนตระกูลซวี่แล้ว
ได้ยินมาว่าซวี่เฉินฟางเป็คนไม่เอาไหน ไม่ต้องพูดถึงเื่ที่เขาชอบเที่ยวหอคณิกาและเสเพล ประมุขของตระกูลซวี่้าให้เขาเรียนรู้การค้าขาย แต่เขากลับเรียนรู้เพียงการใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย
ประมุขของตระกูลซวี่หรือก็คือบิดาบังเกิดเกล้าของเขา มอบร้านขายยาแห่งหนึ่งให้เขาดูแลจัดการ แต่เขากลับไม่เคยปรากฏตัวที่ร้านนานหลายเดือน พอถึงเวลาตรวจสอบบัญชีพบว่าขาดทุนไปหลายพันตำลึงเงิน
ว่ากันว่าประมุขของตระกูลซวี่โกรธจนล้มป่วย คุณชายใหญ่ซวี่จึงออกมาเรียกร้องความยุติธรรม บรรดาลุงของตระกูลซวี่ ลูกพี่ลูกน้องข้างล่าง และคนอื่นๆ ล้วนเห็นพ้องต้องกันเรียกร้องให้ขับไล่ซวี่เฉินฟางที่เป็เสมือนเนื้อร้ายออกจากตระกูล
ดังนั้นซวี่เฉินฟางจึงถูกขับออกจากเรือนแล้ว
แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้รับผลกระทบ ยังคงไปค้างคืนที่หอคณิกากับโฉมงามคนเดิมที่เขาชื่นชอบ คาดว่าพอเงินที่เขามีอยู่ในมือหลายก้อนถูกใช้จนหมด ก็จะถูกคนขับไล่ออกจากหอคณิกาเช่นกันกระมัง
จะมีสักกี่คนที่คุ้นเคยกับคนแบบเขาที่ไม่ต้องทำอันใดเลยแต่กลับมีทุกอย่าง? ก็แค่บุตรที่เกิดจากการที่ประมุขของตระกูลซวี่ไปมีสัมพันธ์สวาทกับหญิงคณิกาคืนเดียว ยังคิดว่าตนเป็คุณชายรองแห่งตระกูลซวี่จริงๆ หรือ?
มีคนมากมายในเมืองที่ทนเขาไม่ได้ ส่วนใหญ่ล้วนรอดูว่าเขาจะพบจุดจบเมื่อใด
เดิมซวี่เฉินฟางโชคดี เพราะตระกูลซวี่ยอมรับเขา แต่ยามนี้เขาเคราะห์ร้ายแล้ว พอออกจากเรือนตระกูลซวี่ เขาก็ไม่เหลืออันใดเลย
ทว่าน่าแปลก ผ่านไปเนิ่นนานขนาดนี้ ไยคุณชายรองซวี่ยังใช้เงินที่เหลืออยู่ไม่หมดสักที? ไฉนยังไม่ถูกขับไล่ออกมา?
หอคณิกาที่ซวี่เฉินฟางมักไปเยี่ยมเยือนบ่อยที่สุดคือ ชุนเหมียนปู้เจวี๋ยเสี่ยว [1] โฉมสะคราญที่เขาชื่นชอบเป็หญิงงามของหอนางโลมนามขาน เฟิ่งอู๋
ปกติแล้วเฟิ่งอู๋ไม่เคยรับแขกค้างคืน แต่ซวี่เฉินฟางกลับสามารถค้างคืนที่นั่นกับนางทุกคืน
ชุนเหมียนปู้เจวี๋ยเสี่ยวยังเก็บห้องพักที่ดีที่สุดเอาไว้หนึ่งห้องโดยเฉพาะ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ซวี่เฉินฟางตลอดเวลา
ยอดพธูคนอื่นๆ ในหอนางโลมล้วนอยากเข้าตาของซวี่เฉินฟางบ้าง ซวี่เฉินฟางก็ปฏิบัติต่อพวกนางอย่างอ่อนโยนเสมอ
ซวี่เฉินฟางชอบมาที่นี่ บางครั้งเขาก็นอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ยาวตลอดทั้งบ่าย ใช้พัดคลี่ในมือแง้มหน้าต่างบานหนึ่ง แล้วมองดูผู้คนพลุกพล่านที่สัญจรไปมาบนถนน
เฟิ่งอู๋ดีดพิณให้เขาฟัง บางครั้งก็สนทนากับเขา หยอกล้อเขาพร้อมยิ้มสดใส
บุรุษรูปงามกับโฉมสะคราญอยู่ด้วยกันในห้องเดียวกันนานวัน แล้วไม่มีอันใดเกิดขึ้น พูดออกมาก็ผู้ใดเชื่อ
เขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางหญิงงามทั้งวัน จึงมีกลิ่นหอมติดตัวนิดหน่อย ชายเสื้อสีแดงที่ระออกมาจากเก้าอี้ยาวนั้นแลดูนุ่มนวลมาก ท่าทางที่เขานอนไขว่ห้างอย่างเอื่อยเฉื่อย งามยิ่งกว่ายอดพธูทุกคนในหอคณิกาเสียอีก
ยามนี้เขาถูกขับออกจากเรือน สมควรจะเป็่เวลาที่ตกต่ำที่สุด
แต่เฟิ่งอู๋กลับไม่เห็นท่าทางหดหู่สิ้นหวังของเขาแม้แต่น้อย นี่เื่ตลกอันใด เขาคือคุณชายรองซวี่นะ
ต่อให้วันหนึ่งเขาไม่มีอาหารกิน ต้องไปเป็ขอทานข้างถนน เขาก็ยังคงยิ้มสง่างาม
ขณะนั้นเด็กชายคนหนึ่งเคาะประตูก่อนเข้ามากระซิบบางอย่างข้างหูซวี่เฉินฟาง
ซวี่เฉินฟางค่อยๆ หรี่ตา แววตาทอประกายวาบก่อนเผยรอยยิ้มออกมา
เขาลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้าน โน้มร่างสูงโปร่งไปที่หน้าต่าง แล้วมองออกไปข้างนอก กล่าวว่า “วันนี้มีตลาดนัด คนเยอะเป็พิเศษเลยนะ”
ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ดีอักโข
ซวี่เฉินฟางคว้าสายรัดสีอ่อนที่ผูกม่านไว้มามัดเรือนผมดำยาวของตนเองไว้หลังศีรษะลวกๆ ก่อนกล่าวว่า “อยู่ที่นี่นานเกินไป รู้สึกเหมือนขึ้นสนิมนิดหน่อย สมควรออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้างแล้ว”
เสียงพิณของเฟิ่งอู๋หยุดลง นางเงยหน้ามองเขา ลุกขึ้นยืนก่อนกล่าวติดตลก “จริงด้วย หากคุณชายรองยังไม่ออกไป คนข้างนอกเ่าั้คงคิดว่าหญิงงามแห่งหอคณิกาผู้นี้เลี้ยงดูท่าน”
ซวี่เฉินฟางยิ้มเอ่ย “จุๆ ได้รับการเลี้ยงดูจากหญิงงามแห่งหอคณิกา ฟังแล้วแปลกใหม่ดี”
เฟิ่งอู๋กล่าว “ข้าเลี้ยงดูคุณชายรองไม่ไหวหรอกเ้าค่ะ ปกติแล้วล้วนแต่เป็คุณชายรองที่เลี้ยงดูข้ามาโดยตลอด”
จากนั้นซวี่เฉินฟางก็เดินจากไปอย่างองอาจสง่างาม เฟิ่งอู๋เฝ้ามองเขาเดินออกจากห้อง ตลอดเวลานี้ไม่เห็นเขาหันหลังกลับมามองสักครั้ง
กล่าวว่าเขาเ้าชู้เสเพล เขาก็เคยทุ่มเงินจำนวนมหาศาลให้นาง กล่าวว่าเขาเ็าและไร้หัวใจ เขาก็จากไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ซวี่เฉินฟางเดินออกจากประตูใหญ่ของชุนเหมียนปู้เจวี๋ยเสี่ยว ก่อนหรี่ตามองแสงสูรเหนือศีรษะ จากนั้นก็เดินผ่านตรอกโคมแดงที่ยังเงียบสงบตอนกลางวันไปพร้อมกับชุดสีแดง
ในขณะนั้นเมิ่งอู่กำลังขายสมุนไพรอยู่ที่ร้านขายยาของตระกูลซวี่ แน่นอนว่าผู้ดูแลยังจำนางได้ เขากำลังตรวจสอบสมุนไพรชั้นดีที่นางนำมาขาย จากนั้นก็ทำทีเป็ดีดลูกคิด เหลือบมองเสื้อผ้าของเมิ่งอู่ ก่อนเสนอราคาที่จัดว่าเป็ธรรมสำหรับนาง
คราวนี้เมิ่งอู่นำสมุนไพรมาขายจำนวนมาก ผู้ดูแลจึงจ่ายเงินให้นางห้าตำลึงเงิน
แท้จริงแล้วหากนำของเหล่านี้ไปขายต่อให้ตระกูลใหญ่ในเมือง ราคาจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
เพียงแต่ยามนี้เมิ่งอู่ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะต่อรองราคา
เมิ่งอู่เก็บเงินแล้วเดินออกจากร้านขายยาตระกูลซวี่ ก่อนไปซื้อของใช้จำเป็ในตลาด
ครั้งก่อนซวี่เฉินฟางสั่งให้ผู้ดูแลร้านขายยาแจ้งให้เขาทราบหากเมิ่งอู่มาที่นี่ ไม่ต้องพูดถึงว่ายามนี้ซวี่เฉินฟางถูกขับออกจากตระกูลซวี่แล้ว ต่อให้เขาไม่ถูกขับออก ผู้ดูแลก็มิอาจปล่อยให้เขาพบเจอเมิ่งอู่ได้ง่ายๆ
มิเช่นนั้นเื่ราคาสมุนไพรจะไม่ถูกเปิดโปงหรอกหรือ?
แต่เมิ่งอู่เพิ่งเดินเล่นในตลาดได้ไม่นาน นางก็รู้สึกว่าตนเองถูกใครบางคนจับจ้องอีกครั้ง
ครานี้นางรีบซื้อน้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชู และของใช้จำเป็ในเรือนจำนวนมาก
ส่วนเตียง โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ นางให้ช่างไม้หลี่ในหมู่บ้านช่วยทำให้ แต่ต้องซื้อมุ้ง ฟูก หรืออะไรทำนองนั้น ดังนั้นนางจึงวิ่งไปกลับประตูเมืองหลายรอบ เพื่อขนของที่ซื้อมาเป็มัดๆ ไว้บนเกวียนวัวของลุงหลิว
โชคดีที่เมืองนี้ไม่ใหญ่ วิ่งไปวิ่งมาสองเที่ยวก็ไม่ลำบากมาก
จากนั้นนางก็ไปที่ร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปอย่างตื่นเต้น เพื่อซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้อาเหิง
ขณะซวี่เฉินฟางเดินมาถึงหน้าร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป เงยหน้าก็เห็นเมิ่งอู่กำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่ในร้านอย่างละลานตา
นางเลือกเสื้อผ้าสีขาวและเป็เสื้อผ้าสำหรับบุรุษทั้งหมด
คราวนี้เมิ่งอู่ซื้อเสื้อผ้าสีขาวให้อินเหิงถึงสองชุด ลวดลายปักที่แขนเสื้อแตกต่างกัน จากนั้นนางก็เลือกผ้าอีกสองสามพับ จ่ายเงิน ก่อนเดินออกจากร้านด้วยความพึงพอใจ
เมื่อออกจากร้าน เมิ่งอู่เกือบชนใครบางคน สิ่งแรกที่พุ่งเข้าตานางคือชุดสีแดงชุดนั้น
นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ไม่ผิด เรือนกายสูงโปร่ง หน้าอกแบนราบ มองขึ้นไปอีกมีลูกกระเดือก ผิวขาวราวหยก คิ้วตาของเขาเจือยิ้ม เรือนผมยาวดำขลับถูกมัดด้วยสายรัดไว้หลังศีรษะลวกๆ ปอยผมบางส่วนระอยู่บนชุดสีแดง นับว่าเป็ตัวก่อหายนะจริงๆ!
ยิ่งกว่านั้นยังคล้ายผู้ที่นางพบเจอครั้งก่อนมาก!
ไม่สิ เป็คนคนเดียวกันต่างหาก
เพียงแต่ยามนี้เขาดูสบายๆ และเกียจคร้านยิ่งกว่าครั้งก่อน ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายที่แฝงด้วยความหมายลึกซึ้งชวนให้คนสับสนั้แ่ศีรษะจรดเท้า คำว่างดงามเพียงคำเดียวคงไม่พอ
เมิ่งอู่อดกลั้นอย่างยากลำบากที่จะถอนสายตาออกจากเขา ก่อนเดินเลี่ยงเขาไปเงียบๆ
ขณะเดินผ่านเขาไป ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ “ข้าไม่ใช่ปีศาจร้ายสักหน่อย เ้ามองข้ามากขึ้นจะเป็ไรไป ข้าจะกินเ้าหรืออย่างไร?”
……….
[1] แปลว่า หลับใหลในฤดูใบไม้ผลิจนรุ่งสางโดยไม่รู้ตัว