เมื่อใกล้ถึงประตูทางเข้าหมู่บ้าน ชวีเสี่ยวปอก็จูงจักรยานและเดินเข้าไป เขาหยุดฝีเท้าและมองคุณลุงยามที่อยู่หน้าประตูพักหนึ่ง คุณลุงที่กำลังอัดบุหรี่เข้าไปเต็มปอด ครั้นถูกเขาจ้องอยู่เช่นนั้นก็รู้ไม่พอใจ อีกฝ่ายโผล่ศีรษะออกมาจากในป้อมยามแล้วเอ่ยถามชวีเสี่ยวปอว่ามีเื่อะไรหรือเปล่า
ชวีเสี่ยวปอรีบเดินหนีทันที
ตอนนี้เป็เวลาสี่ทุ่มครึ่งแล้ว
ชวีเสี่ยวปอภาวนาขอให้เมื่อเขากลับถึงบ้านจะยังเห็นว่ามีกลุ่มคนกำลังเล่นไพ่นกกระจอกอยู่ในห้องรับแขก เพราะเขาจะได้หลบเลี่ยงการซักถามจากคุณนายเวินลี่แม่ของเขาได้อย่างสบายใจ จนกระทั่งเขาเห็นรถแลนด์โรเวอร์คันนั้นจอดอยู่ในโรงรถ
"ลูกรักกลับมาแล้ว...หน้าไปโดนอะไรมา!"
ก็นั่นแหละ
ชวีเสี่ยวปอเพิ่งเปลี่ยนรองเท้าได้เพียงข้างเดียว เวินลี่ก็ขมวดคิ้วมุ่นเดินตรงมาทางนี้อย่างรวดเร็ว ชวีเสี่ยวปอไม่ได้พูดอะไร เขาเอียงศีรษะเล็กน้อยและเกร็งคางเอาไว้แน่น ไม่้าให้เธอเห็น แต่เวินลี่ก็ประคองใบหน้าของลูกชายไว้ ไม่ยอมให้เขาขัดขืนใดๆ
ความจริงชวีเสี่ยวปอมีรอยแผลบนใบหน้าเพียงเล็กน้อยซึ่งไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่หากเป็เวินลี่ แม้จะไม่มีอะไรก็ทำให้เป็เื่ใหญ่โตได้ นี่เป็เหตุผลที่ชวีเสี่ยวปอไม่อยากจะกลับบ้าน เขาทนไม่ได้ที่แม่ทำเหมือนเขายังเป็เด็กน้อยที่ดูแลตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะต่อหน้าชวีอี้เจี๋ย
“แม่ครับ ผมขอเปลี่ยนรองเท้าก่อนนะ” ชวีเสี่ยวปอดันแขนของเวินลี่ออกเป็เชิงให้เธอปล่อยมือได้แล้ว
“มีเื่ชกต่อยมาเหรอ?” ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนโซฟามองชวีเสี่ยวปอั้แ่ที่เขาเดินเข้าประตูมาแล้ว ชวีอี้เจี๋ยในฐานะนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงในท้องถิ่น ใบหน้าที่มักปรากฏอยู่ตามสื่อท้องถิ่น แม้จะอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ก็ยังคงถูกพูดถึงและให้ความสนใจ "สมัยยังเป็หนุ่ม เขาต้องหน้าตาหล่อเหลาแน่ๆ เลย"
ชวีเสี่ยวปอถอดแบบโครงหน้าและสันจมูกโด่งคมมาจากชวีอี้เจี๋ยได้อย่างสมบูรณ์ นั่นทำให้เขารังเกียจตัวเองเวลาที่ยืนอยู่หน้ากระจกมาตลอด
เขาเกลียดร่างกายทุกส่วนของตัวเองที่เหมือนชวีอี้เจี๋ย แต่เขากลับไม่มีทางกำจัดพวกมันออกไปได้
“พ่อเขาถามลูกอยู่นะ”
แม้ความสัมพันธ์ระหว่างชวีเสี่ยวปอและชวีอี้เจี๋ยจะเ็าต่อกันมานานหลายปีแล้ว แต่ในสายตาของเวินลี่ เธอคิดว่าจะต้องมีทางกลับมาเป็เหมือนเดิมได้อย่างแน่นอน เธอลูบหลังชวีเสี่ยวปอ ตอนนี้ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าชวีเสี่ยวปอมีเื่ชกต่อยมาจริงๆ หรือไม่ เธอเอ่ยว่า "เมื่อ่บ่ายพ่อของลูกเพิ่งกลับมาจากฮ่องกง พอลงเครื่องปุ๊ปก็รีบกลับมาทันทีเลย พ่อเขาซื้อของมาฝากลูกตั้งเยอะแน่ะ คราวก่อนลูกบอกว่าชอบเครื่องเล่นวิดีโอเกมไม่ใช่เหรอ? พ่อเขาก็ซื้อมาให้ด้วยนะ วางไว้ที่ห้องลูกหมดแล้ว"
เื่เครื่องเล่นวิดีโอเกม คงเป็เื่เมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่แล้วบนโต๊ะอาหารเย็นที่เขาเพียงเอ่ยออกไปอย่างนั้นโดยไม่ได้ใส่ใจอะไร แม้แต่ตัวชวีเสี่ยวปอเองก็ยังลืมไปแล้ว
เขาเหลือบมองชวีอี้เจี๋ย ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคาดหวังให้เขาพูดอะไรบางอย่าง
“ไม่ได้มีเื่ชกต่อยอะไรหรอกครับ ตอนเรียนพละไม่ทันระวังเลยชนกันน่ะ” ชวีเสี่ยวปอเอ่ยอย่างคลุมเครือ “ขอบคุณครับพ่อ”
"ไม่เป็ไร!" ชวีอี้เจี๋ยดูดีใจอย่างเห็นได้ชัด น้ำเสียงเวลาเอ่ยออกมาก็ดังมากกว่าเมื่อครู่ แน่นอนว่าคนที่มีความสุขที่สุดคือเวินลี่ ท่าทางการแสดงออกของชวีเสี่ยวปอทำให้เธอพอใจมาก เธอไม่สนใจอีกแล้วว่าจะต้องจัดการกับาแบนใบหน้าของชวีเสี่ยวปอหรือไม่ แต่หันกลับไปนั่งลงข้างๆ ชวีอี้เจี๋ยและลงมือปอกส้ม
เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป ชวีเสี่ยวปอก็เห็นถุงชอปปิงต่างๆ วางกองอยู่บนโต๊ะหนังสือ หากเป็ยามปกติชวีเสี่ยวปอคงจะเปิดออกดูทีละชิ้น ทว่าวันนี้เขากลับโยนกระเป๋านักเรียนลงบนพื้น จากนั้นก็ขึ้นไปนอนลงบนเตียง ไม่แม้แต่จะถอดเสื้อผ้า
สิ่งที่ชวีอี้เจี๋ยมีไม่ขาดเลยก็คือเงิน
ั้แ่เด็กชวีเสี่ยวปอเข้าใจเื่นี้เป็อย่างดี
เขาสามารถมีหุ่นยนต์ทรานส์ฟอเมอร์สมากมาย จนคนวัยเดียวกันยังต้องอิจฉา รวมถึงเสื้อผ้าและรองเท้าแบรนด์เนมหลากหลายยี่ห้อ ทั้งยังสามารถอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ได้ ทุกครั้งที่ชวีอี้เจี๋ยโทรเข้ามา เขาก็จะได้รับค่าขนมรายเดือนที่มากพอที่จะซื้อรถยนต์ได้ถึงสองคัน
แต่เงื่อนไขของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ชวีเสี่ยวปอก็จำเป็ต้องแบกรับสถานะหนึ่งเอาไว้
แต่จริงๆ แล้วมันเหมือนกับรอยแผลที่ถูกตีตราเอาไว้ ไม่อาจลบออกได้เสียมากกว่า
นั่นคือการเป็ลูกชู้
ชวีเสี่ยวปอคิดว่าตัวเองน่าจะเผลอหลับไป แต่ก็รู้สึกว่าหลับไม่สนิทเท่าไรนัก ดังนั้นเมื่อลืมตาขึ้นมาจึงรู้สึกวินเวียนศีรษะ เขาเกือบจะคิดว่าเป็เช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว แต่ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นมา กลับพบว่ารอบข้างยังคงมืดสนิท เขาจึงผ่อนคลายลงและทิ้งตัวลงบนเตียง
เสียงจากทีวีที่ชั้นล่างหายไปแล้ว ดูเหมือนพ่อกับแม่จะเข้านอนแล้ว
ชวีเสี่ยวปอพลิกตัวไปมาอยู่ในความมืด ขณะที่กำลังจะถอดเสื้อผ้าออก จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าทำไมตัวเองถึงตื่นขึ้นมา
เหมือนว่าเมื่อครู่โทรศัพท์กำลังสั่นอยู่
แสงบนหน้าจอนั้นทำให้พื้นที่เล็กๆ ในห้องสว่างขึ้นมา ชวีเสี่ยวปอมองข้อความที่ถูกส่งมาจากเซี่ยเจิง พลางขยี้ตา
“ขอบใจนะ แต่ฉันขอโทษ”
จุดจบของเื่ราวน้ำเน่าทั้งหมดในวันนี้
"ต้องผิดพลาดตรงไหนแน่ๆ เลย"
ซือจวิ้นวิเคราะห์การสารภาพรักที่ล้มเหลวของชวีเสี่ยวปอตามความเป็จริง แต่หลังจากเอ่ยประโยคนี้จบก็ไม่แสดงท่าทีอะไรอีก เขาเพียง้าหาเหตุผลที่ชวีเสี่ยวปอจะยอมรับได้ ทว่าด้วยคลังคำศัพท์ในสมองของเขาเห็นได้ชัดว่าไม่อาจทำภารกิจนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้
“ไม่มีอะไรหรอก” ชวีเสี่ยวปอยืนพิงราวบันไดที่อยู่รอบๆ สนามหญ้าและแสร้งทำเป็โคลงศีรษะไปมา “ฉันสบายดี”
"ใครถามนาย" ซือจวิ้นเกือบจะไม่หลุดหัวเราะออกมาแล้ว ชวีเสี่ยวปอไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยที่ต่อให้ตายก็จะรักษาหน้าเอาไว้อย่างแน่นอน "ปอเอ๋อร์ นายรู้ไหมว่ารอยคล้ำรอบดวงตาของนายแทบจะลามไปถึงคางอยู่แล้ว"
ไร้สาระ
ชวีเสี่ยวปอชูนิ้วกลางให้ซือจวิ้น เขารู้หรอกน่า เขายังรู้สึกเสียใจอยู่เลยว่าทำไมเมื่อคืนนี้เขาถึงไม่หลับไปจนรุ่งสาง ทำไมถึงได้ตื่นขึ้นมาดูโทรศัพท์มือถือตอนกลางดึกด้วยและทำไมพอดูโทรศัพท์มือถือแล้วถึงนอนไม่หลับ
เขายังคงรู้สึกไม่พอใจ
"ทำไมล่ะ? ขอเหตุผลหน่อยสิ"
แต่ชวีเสี่ยวปอทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น เขาไม่ได้ส่งข้อความนั้นตอบกลับไป
ก็ใช่ ไม่ว่าจะตอบกลับไปอย่างไร มันก็จะกลายเป็ปัญหาที่ทำให้เด็กสาวต้องมาอธิบายอยู่ดี กลับกันหากทำอะไรให้มันรวดเร็วและชัดเจนไปเลยคงจะดีกว่า เพราะตัวเองที่เอาแต่พิรี้พิไรราวกับสาวน้อยที่เพิ่งเข้าใจความรักเช่นนี้ช่างน่าเบื่อสิ้นดี
“งั้นคืนนี้ก็อยู่เป็เพื่อนฉันสิ” ชวีเสี่ยวปอเด้งตัวออกมาจากราวบันได พลางยกมือขึ้นทำท่าชนแก้ว “ยังไงซะ พรุ่งนี้ก็เป็วันหยุด”
"ตกลง" ซือจวิ้นรีบตอบรับทันที "งั้นไปอพาร์ทเมนท์บ้านฉันปะ? ไม่มีใครอยู่ ซื้อเบียร์มาดื่มกันให้สุดขั้วไปเลย"
ทั้งสองคุยกัน พลางเดินไปทางอาคารเรียน ขณะที่เพิ่งเดินขึ้นบันไดไป พวกเขาพลันหยุดฝีเท้าลงอย่างพร้อมเพรียงกัน
เช่นเดียวกับคนที่กำลังจะเดินลงบันไดมา
"พี่ปอ ห้องอาจารย์หัวหน้าระดับชั้นอยู่ชั้นบนห้องขวามือ"
ซือจวิ้นแอบเกี่ยวเสื้อของชวีเสี่ยวปอ พลางกระซิบอยู่ข้างหลังเขา
แม้อาการบวมจะลดลงแล้ว แต่รอยฟกช้ำบนใบหน้าของเซี่ยเจิงยังคงอยู่และกลายเป็แผลตกสะเก็ดอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาและเ็า ดูโหดร้ายขึ้นเล็กน้อยอย่างบอกไม่ถูก เขาเองก็ตกตะลึงที่เห็นชวีเสี่ยวปอเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้มีท่าทางเหมือนกับชวีเสี่ยวปอ อีกฝ่ายแยกเขี้ยวยิงฟันราวกับจะข่มขู่ เซี่ยเจิงพลันเลิกคิ้ว พลางเดินลงไปสองขั้นบันไดและยังคงวางท่า
"ถ้าไม่เป็ไรแล้ว ฉันรออยู่นะ"
หลังจากเอ่ยจบก็กระแทกไหล่ชวีเสี่ยวปอและเดินลงไปชั้นล่างโดยไม่หันกลับมามอง
"ไอ้บ้าเอ๊ย"
ชวีเสี่ยวปอยืนอยู่บนบันได พลางบิดข้อนิ้วเสียงดังกรอบแกรบ ท่าทางของเซี่ยเจิงบวกกับรอยบากที่คิ้วนั้นของเขา พลันปรากฏคำๆ หนึ่งขึ้นมา ‘ยั่วโมโห’ หรือท่าทางที่ไม่เห็นคู่ต่อสู้อยู่ในสายตาอะไรทำนองนั้น
“ถ้าฉันไม่จัดการไอ้หมอนั่นให้เละ ฉันไม่ยอมแน่!”
"ได้ๆ ๆ ฉันจะช่วยนายจัดการเขาเอง" ซือจวิ้นรีบหลังดันชวีเสี่ยวปอให้ขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว "ไม่ต้องใจร้อนไปหรอกน่า วันจันทร์นายจะไปอ่านเรียงความสำนึกผิดนะ คงไม่ได้อยากจะโดนไล่ออกใช่ไหมล่ะ"
“นายเห็นไหม?”
สวีเจียงค่อยๆ ล้างมืออยู่ใต้ก๊อกน้ำ
“เห็นอะไร?” เซี่ยเจิงเอ่ยถาม
"ชวี... ชวีเสี่ยวปอ เขาชื่อนั้นใช่ไหม" สวีเจียงจิ๊ปาก "ฉันรู้สึกว่าเขาข่มอารมณ์โกรธเอาไว้"
"คงงั้นมั้ง" เซี่ยเจิงสะบัดข้อมืออย่างไม่เห็นด้วย "อยู่ๆ ก็ไม่พอใจมาต่อยคนอื่นเขาตั้งหลายหมัด จะให้ฉันอยู่เฉยหรือไง" ท่าทางของชวีเสี่ยวปอที่จ้องเขม็งเขาเมื่อครู่พลันแวบเข้ามาในความคิด จู่ๆ ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายเหมือนกับอะไรบางอย่าง
"นี่ เฝยตุยเอ๋อร์เป็ไงบ้าง?"
"ไม่เป็ไรแล้ว ฉันเปลี่ยนไปโรงพยาบาลสัตว์อีกที่หนึ่งน่ะ" เฝยตุยเอ๋อร์เป็สุนัขพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้ที่สวีเจียงเลี้ยงไว้ เพราะให้กินอาหารมากจนเกินไป หากไม่ใช่เพราะขาสั้นก็คงถูกบอกว่าอ้วนเหมือนกับโคนมไปแล้ว เมื่อหลายวันก่อนเผลอกินอะไรไม่ดีเข้าไปเลยท้องเสีย “ทำไมถามถึงมันขึ้นมาล่ะ?”
"นายไม่รู้สึกว่าชวีเสี่ยวปอคล้ายกับเฝยตุยเอ๋อร์เหรอ?" เซี่ยเจิงเลียนแบบท่าทางแยกเขี้ยวยิงฟันของชวีเสี่ยวปอ แต่เขาไม่มีฟันเขี้ยว จึงทำได้เพียงยิงฟัน "แบบนี้น่ะ"
"ให้ตายเถอะ เซี่ยเจิง ขอร้องล่ะ พอเหอะ!" สวีเจียงหัวเราะจนแทบจะหงายหลัง "นายนี่มันสุดยอดจริงๆ ด่าคนอื่นโดยไม่ต้องมีคำหยาบได้"
"ก็จริงนี่" เซี่ยเจิงอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองอีกฝ่าย "นายยังล้างมือไม่เสร็จอีกเหรอ ที่ฉี่ไปโดนเมื่อกี้น่ะ? อายุแค่ไม่เท่าไหร่เองก็เล็งไม่โดนแล้ว รีบไปรักษาเลยนะจะได้ไม่ต้องกังวล"
"ไอ้บ้า" สวีเจียงยกมือไปทางเซี่ยเจิงจนน้ำกระเด็นไปโดนใบหน้าของเขา จากนั้นจู่ๆ ก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ "อ้อ เมื่อวานคุณน้าว่ายังไงบ้าง? ได้ดุอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” มุมปากที่กำลังฉีกยิ้มพลันหุบลงแทบไม่ทัน
ที่จริงแล้วตอนที่กลับบ้านเมื่อวานเซี่ยเจิงคิดอยากจะสวมหน้ากากเอาไว้สักอัน อย่างน้อยก็พอจะปกปิดาแบนใบหน้าของเขาได้สักระยะหนึ่ง แต่สวีเจียงบอกว่ายิ่งปกปิด ยิ่งเห็นได้ชัดและคงหนีไม่พ้น
เซี่ยเจิงเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
แต่คิดไม่ถึงว่าแม่ของตัวเองจะตอบสนองรุนแรงขนาดนี้ เธอกอดเซี่ยเจิงและร้องไห้โดยไม่ขยับไปไหนอยู่สิบห้านาที กระทั่งเงยหน้าขึ้นมา เสื้อบริเวณหน้าอกของเซี่ยเจิงก็เปียกชื้นไปหมด
"่นี้คุณน้า…ไม่ค่อยดีเหรอ?" การพูดถึงหัวข้อนี้ยังคงค่อนข้างหนักใจเช่นเดิม สวีเจียงจึงระมัดระวังเป็พิเศษ
"ดีขึ้นมากแล้วละ" เซี่ยเจิงส่ายศีรษะ "แค่บางครั้งพอถ้ายืนกรานที่จะไม่กินยา ฉันก็จะตามใจแม่ เพราะถ้าบังคับให้แม่กินยาก็จะยิ่งทรมานมากกว่า อาจเพราะว่าเมื่อวานเห็นฉันเป็แบบนั้นก็เลยควบคุมอารมณ์ไม่อยู่น่ะ"
"อืม ดีแล้วแหละ" สวีเจียงตบไหล่เซี่ยเจิงเบาๆ "ไม่เป็ไรก็ดีแล้ว"
“จะเกิดเื่อะไรได้ล่ะ ตราบใดที่เซี่ยรุ่ยเซินไม่กลับมาก็จะไม่มีทางเกิดเื่อะไรขึ้นหรอก” เซี่ยเจิงเอ่ยประชดตัวเองเล็กน้อย
"เขาคงไม่ได้..." เมื่อได้ยินชื่อนี้สวีเจียงดูประหม่ายิ่งกว่าเซี่ยเจิงเสียอีก
“สามเดือนแล้วสินะ?” เซี่ยเจิงหลุบตาลง พลางครุ่นคิดถึงความทรงจำ “ถ้าเขากล้ากลับมาน่ะนะ”
วันจันทร์วันแห่งการเข้าแถวเคารพธงชาติ
อย่างไรทุกครั้งผู้อำนวยการก็ต้องพูดถึงยี่สิบนาที หากเป็ยามปกติเวลานี้ชวีเสี่ยวปอคงจะยืนหลับตาและงีบหลับไปแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าวันนี้ทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะอีกครู่หนึ่งต้องขึ้นไปอ่านเรียงความสำนึกผิดอีกทั้งเขาก็ถูกเหลาหม่าพามายืนอยู่ด้านข้างโพเดียมตั้งนานแล้ว
ด้างข้างเป็เซี่ยเจิงและยังมีอีกสองสามคนจากห้องอื่นที่ต้องมาอ่านเรียงความสำนึกผิดด้วย
น่ารำคาญชะมัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เซี่ยเจิงที่กำลังยืนมองพวกเขาสองคนอยู่ไม่ไกล
เื่อกหักที่พี่ปอบอกว่า "ไม่เป็ไร" แต่จริงๆ แล้วต้องใช้เวลาอยู่นานถึงจะสามารถเยียวยาได้
ในที่สุดผู้อำนวยการก็กล่าวจบ
“ชวีเสี่ยวปอ” เหลาหม่าร้องเรียก “ไปสิ”
"ครับ? อะไรนะครับ?" ชวีเสี่ยวปอเพิ่งแอบมองเซี่ยเจิงและกำลังทำท่าทางเก้ๆ กังๆ พลันถูกเหลาหม่าเรียกจนใ
“ขึ้นไปอ่านไงเล่า!” เหลาหม่ากัดฟัน
"เอ่อ ผม..." ชวีเสี่ยวปอที่้าจะเดินขึ้นไปด้านหน้า กลับพบว่าเซี่ยเจิงเดินนำหน้าเขาไปแล้วหนึ่งก้าว เขาจึงได้แต่พึมพำอย่างไม่พอใจ "เหอะ ต้องทำตัวเด่นด้วยเหรอ?"
“หุบปากและตั้งใจฟังให้ดี” เหลาหม่าจ้องเขาเขม็ง
"เรียนอาจารย์ที่เคารพและสวัสดีนักเรียนทุกคน ผมเซี่ยเจิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ ห้องหกครับ"
เรียงความสำนึกผิดน่ะ ยังไงก็คงแตกต่างกันไม่เท่าไร ชวีเสี่ยวปอไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ยินอะไรจากเซี่ยเจิง แต่ได้ยินมาว่าเซี่ยเจิงเป็เด็กเรียนเก่งและนี่อาจเป็ครั้งแรกที่เขาอ่านเรียงความสำนึกผิดต่อหน้าอาจารย์และนักเรียนทั้งโรงเรียน ครั้นนึกถึงเื่นี้ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกมีความสุขไม่น้อย
แววตาของเขาเหม่อลอย แต่ท้ายที่สุดก็จับจ้องไปที่เซี่ยเจิงซึ่งอยู่ไม่ไกล
เซี่ยเจิงตั้งใจฟังเป็อย่างดี ปอยผมด้านซ้ายถูกทัดไปด้านหลังใบหูของเธอ ทำให้ชวีเสี่ยวปอมองเห็นแววตาสดใสของเซี่ยเจิงและริมฝีปากที่ถูกเม้มอยู่เป็ระยะๆ ได้อย่างชัดเจน
ั้แ่วันนั้นที่เซี่ยเจิงส่งข้อความตอบกลับมา พวกเขาทั้งสองก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย แม้โรงเรียนจะมีขนาดใหญ่เช่นนี้ แต่ก็มี่เวลาที่เจอหน้ากันอยู่บ้าง หลายครั้งที่ทั้งสองเดินผ่านหน้ากันไปเช่นนั้น เพราะรู้สึกประหม่า จนแทบจะแสร้งทำเป็ว่าอีกฝ่ายเป็เพียงอากาศ
แต่ตอนนี้เมื่อได้มองดูเซี่ยเจิง ชวีเสี่ยวปอก็ยังมีความรู้สึกเสียใจอยู่พอสมควร
ไม่จำเป็
ไม่จำเป็ต้องทำแบบนี้นี่นา อย่างน้อยก่อนที่จะสารภาพรัก ทั้งสองก็ยังเป็เพื่อนที่สามารถทักทายกันเมื่อเจอกันและพูดคุยหยอกล้อกันได้ตามใจชอบ แต่ถึงอย่างนั้นชวีเสี่ยวปอก็ไม่เสียใจกับจดหมายรักไร้สาระฉบับนั้น เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คนที่ไม่เอาไหนที่ถึงขนาดต้องปิดบังความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง
รอให้เสร็จเื่ตรงนี้ก่อนแล้วกัน
หากเสร็จแล้วก็ไปคุยกับเซี่ยเจิงซะ ถึงเธอจะไม่ชอบเขาก็ไม่เป็ไร ถึงจะเป็แฟนกันไม่ได้ แต่เขาก็ไม่อยากเสียเพื่อนที่ดีคนหนึ่งไป
ชวีเสี่ยวปอดีดนิ้วอย่างพึงพอใจ
"ทำอะไรน่ะ!"
แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมหูของเหลาหม่าถึงได้ดีนัก เพียงได้ยินการเคลื่อนไหวเล็กน้อยนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "เงียบๆ หน่อย"
ชวีเสี่ยวปอคลายปมในใจของตัวเองได้แล้ว ดังนั้นคำตำหนิของเหลาหม่าจึงไม่มีผลอีกต่อไป ใบหน้าบึ้งตึงแปรเปลี่ยนเป็ทะเล้นพลางเอ่ยว่า "ครับ"
หลังจากเซี่ยเจิงลงมาก็ถึงตาของชวีเสี่ยวปอ เขาอ่านเรียงความสำนึกผิดที่ไปคัดลอกมาจากอินเทอร์เน็ตและแก้ไขให้เป็ภาษาของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาจนจบ จากนั้นจึงลงมาจากเวทีอย่างสบายใจ ทว่าหลังจากลงมาก็ถูกเหลาหม่าเรียกตัวเอาไว้
แต่เขายังคงมุ่งความสนใจไปยังเซี่ยเจิงที่ยืนอยู่ด้านข้างเหลาหม่า อีกฝ่ายทำท่าทางนิ่งเฉย ดูไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ แต่เมื่อเห็นสีหน้าใจดีแปลกๆ ของเหลาหม่า ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกหนาวจนตัวสั่นและรู้สึกปวดปัสสาวะขึ้นมาที
"ยืนตรงนี้" เหลาหม่าขยับออกไปให้มีที่ว่างเป็เชิงบอกให้ชวีเสี่ยวปอไปยืนอยู่ข้างๆ เซี่ยเจิง
"ไม่นะ ไม่ ไม่เอา" ชวีเสี่ยวปอปฏิเสธอยู่ในใจซ้ำๆ แต่เห็นได้ชัดว่าเหลาหม่าไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยเขาไป ชวีเสี่ยวปอจึงทำได้เพียงก้าวไปข้างหน้าอย่างเอื่อยเฉื่อย
“การอ่านเรียงความสำนึกผิดก็จบลงแล้ว” เหลาหม่ากระแอมในลำคอ “ที่ฉัน้าจะบอกก็คือ จุดประสงค์หลักของอาจารย์ไม่ได้ให้พวกเธอเขียนเรียงความสำนึกผิด แต่เพื่อให้พวกเธอเข้าใจความผิดของตัวเองอย่างชัดเจน"
มาอีกแล้ว
นี่คือวิธีการสั่งสอนของเหลาหม่า ไม่ว่าจะทำผิดพลาดในรูปแบบใด บทสรุปสุดท้ายจะต้องอยู่เหนือไปอีกขั้น
ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้
“พวกเธอในฐานะนักเรียนชั้นปีเดียวกันก็ควรช่วยเหลือและรักกัน รู้ไหมว่าอาจารย์น่ะอิจฉาพวกเธอมากแค่ไหน? เมื่อพวกเธอก้าวเข้าสู่สังคมและพัวพันกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนมากมายก็จะรู้ว่ามิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมชั้นในโรงเรียนนั้นบริสุทธิ์และมีค่ามากแค่ไหน”
ชวีเสี่ยวปอไม่คิดจะสนใจคำพูดของเหลาหม่า ในตอนแรกเขาก้มศีรษะลงและมองไปยังปลายรองเท้าของตัวเองจากนั้นก็หลับตาลง
"เอาล่ะ ฉันพูดจบแล้ว" ในที่สุดเหลาหม่าก็เอ่ยจบ "เอาอย่างนี้ พวกเธอสองคนจับมือกันหน่อย ถือเสียว่าคืนดีกันแล้ว"
ชวีเสี่ยวปอ "?"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้